เฉียนเพ่ยอิงจูงซ่งฝูหลิง ซ่งฝูหลิงจูงเฉียนหมี่โซ่ว พวกเขาทั้งสามคนอยู่ท้ายขบวนด้านหลัง โดยอยู่ด้านหลังซ่งหลี่เจิ้งกับซ่งฝูเซิงอีกที
หนึ่งคือ ต้องการเดินช้าๆ เพราะถ้าบนภูเขามีเหตุการณ์ผิดปกติ พวกนางเดินช้าๆ จะได้สามารถหันหน้าวิ่งหนีออกไปก่อนได้
สองคือ เพราะซ่งฝูหลิงดึงเฉียนเพ่ยอิง นางดึงกระโปรงของแม่ที่สวมอยู่จนขาด
มันถูกฉีกกว้างถึงยี่สิบเซนติเมตรและยาวประมาณเมตรกว่า ด้านหนึ่งรอยฉีกเรียบ แต่อีกด้านถูกฉีกรุ่ยจนเป็นเชือกผ้าสองเส้น
ตอนนี้กระโปรงสีฟ้าหายไปในพริบตา ทำให้เห็นกางเกงออกกำลังกายสีดำของเฉียนเพ่ยอิง
ซ่งฝูหลิงนั่งยองๆ ตรงหน้านาง ใช้เชือกผ้าที่ฉีกมาจากกระโปรงมาพันขาเฉียนเพ่ยอิงให้เป็นชั้นทั้งสองข้าง
พันแบบไหนกันน่ะ เฉียนเพ่ยอิงคิด นี่เป็นการแต่งกายเหมือนกองกำลังทหารสู้รบในอดีตสองหมื่นห้าพันลี้ฉังเจิง
ซ่งฝูหลิงพันไปก็ถามแม่ของนางไปด้วย “แน่นไหม?”
“ไม่แน่น”
“หลวมไหม?”
“พอได้อยู่”
ซ่งฝูหลิงปาดเหงื่อบนหน้าผาก “ท่านลองเดินสองก้าว ดูสิว่างอขาได้ไหม ถ้าแน่นเกินไปจะเดินไม่สะดวก หลวมไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เพื่อป้องกันเส้นเลือดขอด มัดขาไว้แบบนี้ เวลาเดินนานๆ ก็จะได้ไม่ปวดเมื่อย ต่อไปท่านก็พันแบบนี้ให้พ่อของข้า”
เฉียนเพ่ยอิงเดินไปสองเก้า “ได้ กำลังพอดี เจ้ารีบลุกขึ้นมา ข้าจะพันให้เจ้าและปิดช่องรองเท้า พวกมดและแมลงต่างๆ จะได้ไม่ไต่กางเกงคลานเข้าไปดูดเลือดเจ้า”
เฉียนหมี่โซ่วฟังแล้วเกิดความไม่สบายใจ โดยเฉพาะท่านย่าหม่าที่ด่าพวกเขาอยู่ด้านหน้าว่าชักช้าอืดอาด เขาใช้มือเล็กสอดผสานเข้ากับมือของซ่งฝูหลิงและเงยหน้าพูด “พี่สาว รีบหาเวลาพันให้ข้าด้วยนะ”
“สบายใจได้ ข้าไม่มีทางลืมเจ้าแน่นอน”
เฉียนเพ่ยอิงก็พูดออกมา “เจ้าทำไมไม่เตือนข้าก่อน”
ซ่งฝูหลิงครุ่นคิด สับสนขนาดนี้ แค่โศกเศร้ากับชีวิตที่รันทด ก็เสียใจไปเกือบครึ่งวันแล้ว
เถียนสี่ฟาที่อยู่ด้านหน้าสุด ตะโกนบอกทุกคน “ถึงแล้ว ถ้ำที่ข้าพูดถึง เมื่อก่อนข้าออกล่าสัตว์ ก็ได้พักที่นี่ชั่วขณะหนึ่ง”
เกาถูฮู่ใช้ไฟยื่นเข้าไปในถ้ำ “เอาไฟมาหลายๆ อันหน่อย เข้าไปดูข้างในสิว่ามีพวกงูเงี้ยวเขี้ยวขอบ้างหรือไม่”
จากนั้นจึงมีคบไฟห้าหกอันตามเข้าไปส่องไฟให้
เถียนสี่ฟายังคงอยู่ในถ้ำ เขาปลดถุงผ้าที่สะพายไว้แล้วหยิบอะไรข้างในบางอย่างออกมา ก่อนจะโปรยตามพื้นและมุมต่างๆ ภายในถ้ำ
ซ่งหลี่เจิ้งพยุงซ่งฝูเซิงเพิ่งมาถึง ทุกคนก็รีบเปิดทางให้หลี่เจิ้ง
ซ่งหลี่เจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้ำกว้างขวางใช้ได้ คนแก่กับเด็กจะได้มีพื้นที่พักผ่อนแล้ว พวกเจ้าก็เร่งมือหน่อย กางเต็นท์อีกสองหลัง”
เมื่อพูดจบ ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
โดยเฉพาะท่านย่าหม่า นางดูยุ่งวุ่นวายเป็นพิเศษ ยืนอยู่กลางถ้ำไม่ขยับไปไหน
สักพักก็ให้ลูกสะใภ้คนโตรีบนำเสื่อกับสัมภาระไป สักพักก็ด่าทอลูกสะใภ้คนรองว่ามัวมองอะไรอยู่ นางเอ็ดลูกสาวสองคนที่มัวคลำหาอะไรไม่รู้ ให้รีบไปเก็บหญ้าแห้งมา นางร้อนรนจนด่าบุตรสาวของตนเอง ด่าว่าไม่มีลูกกะตา ไม่รู้จักมองหาของ ต้องคอยดูอย่าให้คนอื่นหยิบฉวยสิ่งของไป
ยุ่งวุ่นวายกับการบ่นพึมพำ ในสายตาของซ่งฝูหลิง ท่าทางท่านย่าของนางดูเหมือนคนที่ชอบแย่งชิงที่นอนบนรถไฟในยุคปัจจุบันก็ไม่ปาน
แต่ทำไมซ่งฝูหลิงกับเฉียนเพ่ยอิงถึงไม่โดนด่า เพราะข้างกายพวกเธอมีซ่งฝูเซิงซึ่งเปรียบเสมือน “ป้ายทองอภัยโทษ” นั่นเอง
ซ่งฝูเซิงเริ่มการอบรมกับภรรยาและบุตรสาว “ข้าขอบอกพวกเจ้าไว้ อยู่ในถ้ำ ถ้าง่วงก็นอนพักสักครู่หนึ่ง รอให้พวกเขากางเต็นท์เสร็จแล้วพวกเจ้าก็รีบเข้าไปอยู่ข้างในเต็นท์ ปูแผ่นกันความชื้นของพวกเราไว้ด้านล่าง หลังจากนั้นก็นอนเสีย ข้าจะคอยเฝ้าพวกเจ้าเอง”
“ไปอยู่ในถ้ำไม่ได้หรือ?”
“ตอนข้าเข้าไป ข้ารู้สึกแปลกๆ กระดูกสันหลังเย็นวาบจนขนลุก เจ้าดูกำแพงหินพวกนั้นสิ ไม่มีแสงเล็ดลอดเข้าไปและยังมีตะไคร่น้ำขึ้นปกคลุม ด้านในก็มืดมิด หากนอนเป็นแถวเรียงกันแล้วเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้ากับแม่เจ้าสองคนอยู่ตรงไหน มิเช่นนั้นข้าอาจจะเข้าไปช่วยผิดคน ข้าไม่วางใจ ทนเอาหน่อย เถียนสี่ฟามีฝีมือดีในการทำเต็นท์ รอสักครู่หนึ่งก็เสร็จแล้ว”