อวี้ถังนอนบนเตียงอย่างหมดอาลัยตายอยาก อีกฟากของฉากกั้นห้อง หมอหวังไป๋ผู้ที่ใบหน้าขาวซีด ตัวอ้วนฉุ เผยยิ้มจนแทบมองไม่เห็นดวงตากำลังพูดกับอวี้เหวินอยู่ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด! เด็กผู้หญิง ตั้งแต่เล็กก็ถูกเลี้ยงประคบประหงมในห้องหับ จู่ๆ ตามเจ้าออกมากินดื่มซี้ซั้ว ท้องไส้จึงรับไม่ไหว ไม่จำเป็นต้องกินยาอะไร งดอาหารสองวันก็เพียงพอแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องเพลาๆ พวกอาหารเผ็ดลงหน่อย”
อวี้เหวินรู้สึกเสียใจไม่น้อย ค้อมกายผงกศีรษะ กล่าวรับทราบ
หวังไป๋ยังคงจำพวกเขาได้ ถามด้วยรอยยิ้ม “อาการป่วยของนายหญิงพวกเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ? เหล่าหยาง คนผู้นั้นอย่ามองว่าเขาหน้านิ่งเย็นชาเลย นั่นเป็นเพราะฝีมือการรักษาของเขายอดเยี่ยม มากความความสามารถ ยาที่เขาจ่ายให้ย่อมไม่มีอะไรผิดพลาด”
แม้ว่าครั้งที่แล้วเขาและหยางโต่วซิงจะไปรักษาอาการป่วยให้คนสกุลเฉิน แต่คนที่จ่ายยากลับเป็นหยางโต่วซิง
อวี้เหวินรีบร้อนกล่าว “ภรรยานั้นสำนึกบุญคุณของท่านทั้งสอง! ไม่กี่วันก่อนยังไปวัดขอพรให้ท่านทั้งสองอยู่สุขกายสบายใจ หากไม่ใช่ว่าท่านทั้งสองกำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองที่สุดของชีวิต ก็คงจะมอบป้ายอวยพรอายุยืนให้แล้ว!”
“ฮ่าๆ!” หวังไป๋หัวเราะเสียงดัง “ข้าไม่เป็นไรหรอก แต่หยางโต่วซิงกลับหมกมุ่นในชื่อเสียงเกียรติยศ ชอบเรื่องพวกนี้เป็นที่สุด ครั้งหน้าหากเจ้าพบเขา ย่อมต้องบอกเขา ภายนอกเขาอาจทำหน้าเรียบนิ่ง แต่ในใจต้องดีใจจนเนื้อเต้นแน่นอน”
บัณฑิตดูแคลนกัน เพื่อนร่วมอาชีพโค่นล้มกันก็มีไม่น้อย
คำพูดนี้ไม่ว่าใครก็ยากจะรับปาก
อวี้เหวินต่อบทสนทนาอย่างอ้อมแอ้ม “ท่านทั้งสองต่างเป็นคนที่มีภาระรัดตัว สามารถเจอกันหนึ่งครั้งก็นับว่าเป็นวาสนาแล้ว ไหนเลยจะพบเจอบ่อยๆ ได้”
“นั่นก็ไม่แน่” หวังไป๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลายวันมานี้นายหญิงใหญ่สกุลเผยอาการไม่ค่อยดี หยางโต่วซิงนั้นแทบจะอยู่ที่หลินอันแล้ว พวกเจ้ามีเรื่องอันใด ก็สามารถไปขอพบที่จวนสกุลเผยได้”
ครั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าป้ายชื่อของสกุลเผยก็เรียกเขาออกมากลางดึกหรอกรึ?
คนสกุลอวี้ตกตะลึง ก่อนจะดีใจขึ้นมาทันควัน
มีหมอที่มีชื่อเสียงเช่นนี้อยู่ใกล้ๆ แม้บางครั้งอาจจะไม่ได้เรียกหา แต่กลับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
อวี้เหวินขอบคุณแล้วขอบคุณอีก หยอกหวังไป๋ให้หัวเราะ ก่อนจะส่งเขากลับไป ยามที่กลับมา แม้ว่าจะเป็นต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่หน้าผากก็มีเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด “เฮ้อ คนมีชื่อเสียงพวกนี้ คบค้าสมาคมยากคนแล้วคนเล่า”
อวี้หย่วนรีบรินชาให้อวี้เหวิน ก่อนจะขอบคุณเถ้าแก่รองถง
เถ้าแก่รองถงเห็นว่าที่นี่ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ก็กล่าวลาทั้งรอยยิ้ม “หากมีเรื่องอันใดก็ให้เด็กในโรงเตี๊ยมไปส่งข่าวที่ร้านค้าด้านหน้าได้ คนบ้านเดียวกัน พบกันข้างนอกก็ควรให้ความช่วยเหลือกัน ท่านอย่าได้เกรงใจไป”
อวี้เหวินและอวี้หย่วนรีบเอ่ยขอบคุณ ส่งเถ้าแก่รองถงออกจากประตูด้วยตัวเอง “รอสักสองวันคนของพวกเราดีขึ้นแล้ว ข้าจะไปขอบคุณกับนายท่านสามสกุลเผยอีกครั้ง”
นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องที่เถ้าแก่รองถงตัดสินใจได้
เขาตอบรับด้วยรอยยิ้ม พูดว่า ‘ดูแลลูกสาวให้ดีๆ’ ก่อนจะกลับไปพักผ่อน
เมื่อรู้ว่าอวี้ถังไม่เป็นอะไรแล้ว ใจที่แขวนกลางอากาศของอวี้เหวินและอวี้หย่วนก็ร่วงลงมา อวี้หย่วนถึงขนาดกล่าวหยอกล้อนาง “ใครใช้ให้เจ้าไม่รู้จักบันยะบันยัง ยามนี้คงรู้จักควบคุมแล้วกระมัง?”
อวี้ถังนอนมองอวี้หย่วนอย่างไร้เรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้น
อวี้หย่วนรู้สึกว่านางน่าสงสารอยู่บ้าง เดินไปรินน้ำร้อน ก่อนจะพยุงนางขึ้นดื่มน้ำ
อวี้ถังปิดปากแน่น กล่าวขอร้องกับญาติผู้พี่อย่างน่าสงสาร “ข้าดื่มน้ำไปสองกาแล้ว หากดื่มอีก ท้องคงกลายเป็นถุงหนังใส่น้ำแล้ว”
“สมน้ำหน้า!” อวี้เหวินได้ยินก็กล่าวยิ้มๆ “ใครใช้ให้เจ้าไม่เชื่อฟัง?”
อวี้ถังเถียงกลับเสียงดัง “ข้าไม่เชื่อฟังหรือท่านไม่ได้กำชับข้า ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าของพวกนั้นจะร้ายแรงขนาดนี้ ข้ากลับไปจะรายงานท่านแม่ บอกท่านแม่ว่าท่านพาข้าออกมา กลับไม่ดูแลข้า ให้ข้ากินซี้ซั้ว”
“เจ้ากล้ารึ!” อวี้เหวินไม่อยากให้คนสกุลเฉินเดือดเนื้อร้อนใจจริงๆ “หากเจ้ากลับไปกล้าปริปากฟ้องแม่เจ้าแม้แต่คำเดียว คราวหลังข้าไปไหนก็จะไม่พาเจ้าไปด้วยอีกแล้ว”
อวี้ถังส่งเสียงในลำคอแสดงความไม่พอใจ จากนั้นก็ต่อรองกับบิดา “เช่นนั้นท่านกลับไปก็อย่าบอกว่าข้ากินอาหารจากตลาดกลางคืนจนปวดท้อง”
อวี้เหวินงงงัน
อวี้หย่วนหัวเราะ “ท่านอา ท่านตกหลุมพรางอาถังแล้ว นางไม่อยากให้ท่านบอกคนอื่นว่านางกินอาหารจากตลาดกลางคืนจนปวดท้อง”
อวี้เหวินหัวเราะขึ้นมา ดีดหน้าผากอวี้ถัง “เจ้าเด็กมากเล่ห์ ข้าและพี่ชายเจ้าจะปิดปากเงียบ เจ้าพอใจแล้วหรือยัง?”
“นี่ค่อยใช้ได้หน่อย!” อวี้ถังพึมพำเสียงเบา เพราะดื่มน้ำมากจึงอยากเข้าห้องน้ำอีกครั้ง
อวี้เหวินและอวี้หย่วนพากันหัวเราะ ขอเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมให้ช่วยดูแลอวี้ถัง ก่อนจะกลับห้องของตัวเอง
—
พลิกกายไปมาอยู่ค่อนคืน ยามที่ฟ้าใกล้สว่างอวี้ถังจึงเพิ่งจะหลับสนิท รอจนนางตื่นขึ้นมา ถูกความหิวประท้วงจนตื่นยังไม่ว่า แต่อวี้เหวินและอวี้หย่วนกลับไม่อยู่ในโรงเตี๊ยมอีก
เถ้าแก่เนี้ยเป็นหญิงอายุประมาณสี่สิบปี ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความจริงใจ ยกน้ำร้อนเข้ามาให้นางด้วยรอยยิ้ม “เจ้าดื่มน้ำสักหน่อย ยามที่บิดาและพี่ชายเจ้าออกไปเอาแต่กำชับพวกเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า ไม่อาจให้เจ้ากินอะไร ดื่มได้เพียงน้ำเท่านั้น เจ้าอดทนเสียหน่อยเถิด พรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว”
อวี้ถังรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะกลายเป็นถุงหนังเก็บน้ำแล้ว ในท้องล้วนมีแต่น้ำ ขยับนิดหน่อยก็สั่นกระเพื่อม นางปฏิเสธน้ำจากเถ้าแก่เนี้ย กล่าวถามแทน “ท่านรู้หรือไม่ว่าพ่อและพี่ชายข้าไปที่ใด?”
“เห็นบอกว่าออกไปเดินเล่น” เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่ฝืนใจนาง วางน้ำอุ่นไว้ที่ตั่งตัวเล็กข้างเตียงนางด้วยรอยยิ้ม “บอกว่าหากเจ้าตื่นแล้ว ก็ให้พักผ่อนอยู่ที่นี่ ตอนเย็นพวกเขาจะกลับมา”
หรือไปหาอาจารย์สกุลเฉียนผู้นั้น?
อวี้ถังไม่กล้าถามมากความ กลัวจะถูกคนอื่นรู้ความลับ กล่าวเป็นมารยาทกับเถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมไม่กี่คำ ก็แสร้งหาวหวอดขึ้นมา
เถ้าแก่เนี้ยเห็นก็หยัดกายขึ้นบอกลาทันที “ท่านพักผ่อนเถิด มีเรื่องอะไรก็เรียกหาข้าตรงๆ”
อวี้ถังขอบคุณเถ้าแก่เนี้ย รอจนเถ้าแก่เนี้ยจากไป นางก็ยิ่งรู้สึกหิวกว่าเก่า น่าเสียดายที่ไม่อาจกินอะไรได้
นางนับเงินที่มารดาแอบบิดาเอาใส่กระเป๋าให้นางก่อนออกจากบ้าน คิดว่าครั้งนี้เสียเปรียบจริงๆ
บิดาและพี่ชายไม่อยู่ นางไม่อาจวิ่งเต้นไปทั่วได้ ขังตัวเองอยู่ในโรงเตี๊ยมนั่งนิ่งอยู่ค่อนวัน จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองคล้ายจะย้อนกลับไปมีชีวิตเหมือนอยู่ในคุกของสกุลหลี่ชาติก่อน…เพราะนางเคยรับปากสกุลหลี่ว่าจะครองพรหมจรรย์ นางจึงควบคุมตัวเองอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ถึงจุดหมาย ตั้งใจกับทุกอย่าง ระมัดระวังทุกสิ่ง นางรักษาสัญญา แต่สกุลหลี่กลับทรยศต่อคำพูด…นึกถึงเรื่องพวกนี้ ความไม่พอใจที่ถูกนางกดไว้ข้างในเหล่านั้นก็คล้ายจะแตกทะลัก สาดซัดรุนแรงอย่างไม่อาจหยุดยั้ง
นางไม่อาจนั่งนิ่งอยู่ที่นี่แบบนี้
นางอยากออกไปเดินข้างนอก
ไม่ก็หาเรื่องอะไรให้ตัวเองทำสักหน่อย
ชาติก่อน นางสลัดคืนวันที่กลัดกลุ้มพวกนั้นไปได้อย่างไรนะ?
ทำปิ่นดอกไม้
ใช่แล้ว ทำปิ่นดอกไม้
ทำปิ่นดอกไม้หลากหลายรูปแบบ
ยามที่นางรับปากสกุลหลี่ คิดว่าเรื่องราวนั้นง่ายดาย คิดว่าชีวิตคนผ่านไปไม่กี่สิบปี พริบตาเดียวกับล่วงลับดับขันธ์แล้ว หากสามารถตอบแทนบุญคุณของครอบครัวลุงใหญ่ ครอบครัวทั้งสองของพวกเขามีครอบครัวหนึ่งที่สามารถปีนขึ้นฝั่งได้ นางเหน็ดเหนื่อยเสียหน่อยจะเป็นไรไป? รอจนนางเริ่มครองพรหมจรรย์จริงๆ จึงค่อยเข้าใจ ที่แท้วันเวลานั้นผ่านพ้นไปอย่างลำบากยากเข็ญ จากฟ้ามืดรอฟ้าสว่าง จากฟ้าสว่างคอยให้ฟ้ามืด จากแสงอาทิตย์ส่องทั่วฟ้านั่งจนตะวันรอนลาลับ สิบห้านาที หนึ่งชั่วยาม นับให้ผ่านพ้นไป นางรู้สึกว่าไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปกับชีวิต มักจะหงุดหงิดใจ ทำเรื่องอะไรก็ทำได้ไม่ดี ทั้งไม่อยากทำ ปลูกดอกไม้ ปักผ้า ทอเสื้อ ล้วนทำมาหมดแล้ว ก็ยังคงรู้สึกแย่
จวบจนถึงเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างในปีหนึ่ง สาวใช้ที่ชื่อไป๋ซิงของสกุลหลี่ผู้นั้นแอบเอาปิ่นดอกไม้กำมะหยี่สีแดงก่ำมาให้นาง ยังกระซิบกับนางว่า “ข้ารู้ว่าท่านไม่อาจสวมได้ แต่ท่านเก็บไว้ได้ หากว่างๆ ก็ควักออกมาชมเล่น”
นั่นเป็นปิ่นดอกไม้ที่แสนจะธรรมดา
ทำเป็นรูปแบบดอกซานฉา[1]
ขนาดประมาณถ้วยสุราเล็กๆ
ลวดที่ทำเป็นก้านดอกไม้นั้นพันระเกะระกะ ปรากฏให้เห็นสนิมประปราย
ไม่มีความบรรจงประณีต
หากเป็นยามที่นางอยู่บ้านเกิด คาดว่าซวงเถาก็คงไม่ซื้อมาเช่นกัน
แต่ก็มีเพียงดอกนี้ที่นางมักหยิบขึ้นมาดูบ่อยๆ
กลีบดอกไม้สีแดงก่ำ แฝงด้วยขนกำมะหยี่บางเบา คาดไม่ถึงว่าจะค่อยๆ บรรเทาความหงุดหงิดใจของนาง
นางเริ่มใช้ผ้าไหมพันรอบก้านดอกไม้ที่ขึ้นสนิม ใช้ผ้าใยป่านสีเขียวทำกลีบเลี้ยงให้ดอกไม้…ภายหลัง นางก็เริ่มทำปิ่นดอกไม้ให้พวกสาวใช้
ผ้าหังโฉว[2] ผ้ากำมะหยี่ ผ้าปักด้ายทอง ผ้าทอเนื้อหยาบ ผ้าฝ้ายเนื้อนิ่ม…ดอกติงเซียง[3] ดอกอวี้จาน[4] ดอกมะลิ ดอกโบตั๋น…ขนาดเท่าถ้วยสุราเล็กๆ ขนาดเท่าฝาแก้ว ขนาดเท่าเล็บมือ…ร้อยด้วยมุกทองแดง มุกเงิน ลูกปัดหลากสี…ภายหลังถึงขั้นเอาของปลอมมาปนของจริง ในเดือนหกได้ทำดอกอวี้หลันไปแขวนบนต้นการบูร…
นางใช้เวลาส่วนมากหมดไปกับการทำปิ่นดอกไม้
อวี้ถังปิดหน้าตัวเอง
ตั้งแต่กลับมาเกิดอีกครั้ง นางรู้สึกว่าตัวเองควรจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ลืมเรื่องในอดีตทั้งหมดให้เสียสิ้น
โดยเฉพาะความคุ้นชินที่บ่มเพาะขึ้นในสกุลหลี่
นางไม่ได้แตะต้องปิ่นดอกไม้อีก ไม่ได้ตามไปล้างแค้นสกุลหลี่ กระทั่งอารามดับทุกข์ที่ตัวเองตาย นางก็ไม่เคยไปดูสักครั้ง
แต่บางเรื่องเกิดขึ้นแล้วก็คือเกิดขึ้นแล้ว สลักลึกอยู่ในใจนาง หลอมรวมกับเลือดเนื้อภายใน
นางไม่อาจเปลี่ยน ไม่อาจลบเลือน
อวี้ถังอยากทำปิ่นดอกไม้อันหนึ่ง
ดอกเล็กๆ สีชมพู ทำกลีบดอกซ้อนเป็นชั้นแบบดอกซานฉา มีแมลงตัวเล็ก ขนาดเท่าถั่วเขียว ดูมีชีวิตเสมือนจริง เกาะอยู่บนดอกซานฉา ปักที่บนผมของนาง
นั่นเป็นการแต่งกายของชาติก่อน ทว่านับตั้งแต่หลี่จวิ้นตาย นางก็ไม่ได้แต่งอีกเลย
อวี้ถังในเวลานี้คล้ายกับนักเดินทางที่กระหายน้ำ ไม่อาจข่มกลั้นต่อความปรารถนาในใจได้
นางหยัดกายขึ้นสางผมแต่งตัว
มองหญิงสาวในกระจกทองเหลืองที่มีแววตาสุกสกาวดุจดวงดารา ใสกระจ่างราวกับสามารถส่องสว่างบนท้องนภาในยามราตรี
นางค่อยๆ เสียบปิ่นดอกไม้ลูกปัดให้ตัวเอง สวมหมวกเหวยเม่า[5]ก่อนจะลุกไปหาเถ้าแก่เนี้ย “แถวๆ นี้มีพวกผ้าไหม ลวดทองแดงขายที่ไหนบ้าง? ข้าอยากทำปิ่นดอกไม้เสียหน่อย”
เถ้าแก่เนี้ยรู้ว่านางเป็นบุตรีสกุลบัณฑิต ส่วนมากสกุลบัญฑิตล้วนต้องการให้สตรีในบ้านเย็บปักถักร้อย ใช้ความรู้ทำมาหากิน นางเพียงมองอวี้ถังด้วยความเห็นใจ ก่อนจะชี้ไปที่ถนนเล็กด้านนอก “จากที่นี่ออกไปเจอสี่แยกให้เลี้ยวซ้าย ตรอกเส้นนั้นขายปิ่นดอกไม้ หวีผม ผ้าเช็ดหน้า กระเป๋าเหอเปา[6]เต็มไปหมด”
ไม่เพียงมีของพวกนี้ขาย แต่ยังมีวัสดุที่ทำของพวกนี้ขายด้วย
มีร้านที่รับของเหล่านี้ ทั้งมีพ่อค้าต่างถิ่นที่ขายของพวกนี้เช่นกัน
เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าสกุลพวกเขาและสกุลเผยคุ้นเคยกัน จึงเรียกบ่าวใช้คนหนึ่งตามนางไปด้วย “ให้เขาช่วยยกข้าวของ คอยนำทาง” เจอพวกลามกบ้ากาม จะได้ช่วยข่มขู่หรือไปเรียกคนมาช่วยได้
อวี้ถังขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนจะออกไปข้างนอกโดยมีบ่าวผู้นั้นคอยนำทาง
เสียเงินไปสามตำลึง ใช้เวลาไปครึ่งวัน นางซื้อลวดทองแดงหนึ่งม้วนใหญ่ มุกทองมุกเงิน ลูกปัดหลากสี ทั้งเศษผ้าประเภทต่างๆ กองหนึ่งกลับมา
ดื่มน้ำเล็กน้อย ก่อนนางจะนั่งอยู่ตรงบานหน้าต่างเริ่มทำปิ่นดอกไม้
อุปกรณ์ที่คุ้นเคย วัสดุที่คุ้นชิน สีสันที่คุ้นตา…ใจของอวี้ถังค่อยรู้สึกสงบลงมา ไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อย ทั้งไม่รู้สึกหิวเช่นกัน
——————————————
[1]ดอกซานฉา ดอกคามิเลีย
[2]ผ้าหังโฉว ผ้าไหมชนิดหนึ่งของหังโจว เนื้อผ้าบางและนุ่ม
[3]ดอกติงเซียง ดอกไลแลค
[4]ดอกอวี้จาน มีสีขาว ลักษณะคล้ายกับดอกซ่อนกลิ่น
[5]หมวกเหวยเม่า หมวกที่มีผ้าตาข่ายคลุมทุกด้าน ยาวจนถึงลำคอ ปิดบังใบหน้าเอาไว้
[6]กระเป๋าเหอเปา กระเป๋าเล็กๆ ที่ปักลวดลายสวยงาม มักพกติดตัวเพื่อใช้ใส่ของกระจุกกระจิก