บทที่ 40 เปิดเผย

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

แสงสว่างในห้องเริ่มมืดลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลานี้อวี้ถังพบว่าตะวันคล้อยลงแล้ว 

 

 

นางหยัดกายขึ้น ขยี้ตาที่ปวดอยู่บ้าง ก่อนจะออกจากประตู เรียกบ่าวรับใช้คนหนึ่งเข้ามาถาม “นายท่านอวี้และคุณชายอวี้กลับมาหรือยัง?” 

 

 

“ยังขอรับ!” บ่าวผู้นั้นตอบ ก่อนอวี้ถังจะเห็นเถ้าแก่รองถงเดินเข้ามา 

 

 

เขาและเถ้าแก่ใหญ่ถงคล้ายกันมาก ไม่ใช่รูปลักษณ์ แต่เป็นกิริยาท่าทาง ต่างให้ความรู้สึกเป็นมิตรและรู้จักพูดจา 

 

 

เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมกำลังจัดการบัญชีอยู่ที่โต๊ะด้านหน้า 

 

 

เขาถามเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยม “เถ้าแก่เนี้ยไม่อยู่รึ? คุณหนูสกุลอวี้เป็นอย่างไรบ้าง? ข้าตั้งใจจะเข้ามาถามนานแล้ว ปรากฏว่าวันนี้ที่ร้านกลับยุ่งวุ่นวาย ไม่มีเวลาให้ปลีกตัว” 

 

 

ธรรมเนียมระหว่างชายหญิงนั้นเข้มงวด 

 

 

เถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมก็ไม่อาจไปเยี่ยมดูอวี้ถังเช่นกัน “คงจะไม่เป็นไรแล้วกระมัง? ก่อนหน้านี้ยังได้ยินจากเด็กในโรงเตี๊ยมว่าคุณหนูสกุลอวี้ออกไปซื้อของมา…ไปเดินเล่นได้ คงจะดีขึ้นไม่น้อยแล้ว” แต่แท้จริงแล้วดีหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เช่นกัน พูดจบ เขาก็ให้คนเรียกเถ้าแก่เนี้ยออกมา 

 

 

เถ้าแก่เนี้ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดีขึ้นแล้ว ดีขึ้นแล้ว! เพียงแค่ไม่ค่อยมีชีวิตชีวา แต่ไม่ว่าใครไม่ได้กินอะไรทั้งวันก็คงจะไม่มีชีวิตชีวาด้วยกันทั้งนั้น!” 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” เถ้าแก่รองถงมีท่าทีโล่งใจ “นายท่านสามของพวกเรารู้ว่าข้าใช้ป้ายชื่อของเขาเชิญหมอมารักษาคุณหนูอวี้แล้ว ถึงเวลานั้นหากนายท่านสามเอ่ยถามเรื่องสกุลอวี้ขึ้นมา ข้าก็รู้แล้วว่าควรจะตอบอย่างไร!” จากนั้นเขาก็ถามถึงอวี้เหวินและอวี้หย่วน จึงรู้ว่าพวกเขาทั้งสองออกไปแต่เช้าตรู่ ยังไม่ได้กลับมา “เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปเยี่ยมคุณหนูอวี้แล้ว หากนายท่านและคุณชายอวี้กลับมา ท่านช่วยแจ้งให้พวกเขาหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะมาเยี่ยมพวกเขาอีกครั้ง” 

 

 

เถ้าแก่และเถ้าแก่เนี้ยรับปาก ก่อนจะส่งเถ้าแก่รองถงออกไป 

 

 

อวี้ถังก็อายเกินกว่าจะออกไปทักทาย จึงย้อนกลับไปในห้องตัวเอง 

 

 

— 

 

 

ยามที่ฟ้ามืด อวี้เหวินก็กลับมาเป็นคนแรก 

 

 

เขามีสีหน้าเหนื่อยล้า ยามที่เถ้าแก่ทักทายเขา รอยยิ้มของเขาก็ดูฝืนไปอยู่บ้าง เขาพูดคุยกับเถ้าแก่พอเป็นมารยาทไม่กี่คำก็กลับห้องไป 

 

 

อวี้ถังได้ยินความเคลื่อนไหว ก็ไปห้องของบิดา 

 

 

“นั่งเถิด!” แววตาของอวี้เหวินแฝงความอ่อนล้า ราวกับมาจากก้นบึ้งในใจ เขานวดขมับ “เจ้าไม่มาหาข้า ข้าก็เตรียมจะไปดูเจ้าอยู่แล้ว วันนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ยังปวดท้องอยู่หรือไม่? ยามที่พวกเราไม่อยู่ เจ้าทำอะไรในโรงเตี๊ยมคนเดียว?” 

 

 

อวี้ถังค่อยๆ ตอบไล่เลียงไป จากนั้นก็รินชาร้อนให้บิดา เวลานี้จึงค่อยนั่งลงด้านข้างเขา “ท่านไปเจอเรื่องอะไรมาใช่หรือไม่?” 

 

 

อวี้เหวินพยักหน้า ยกถ้วยชาแต่กลับไม่ได้ดื่มชา นั่งมองอวี้ถังอย่างนิ่งงัน แววตาดิ่งลึก เห็นได้ชัดว่าว่ามีท่าทีจริงจัง 

 

 

อวี้ถังใจเต้นตึกตัก 

 

 

ตามแผนก่อนหน้านี้ของพวกเขา เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าสนใจของผู้คน บิดาของนางจะไปสืบเรื่องของหลู่ซิ่น ดูว่าการตายของหลู่ซิ่นมีอะไรผิดปกติหรือไม่ ส่วนอวี้หย่วนก็ไปหาอาจารย์สกุลเฉียนผู้นั้น ดูว่าเขาจะสามารถแกะภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ได้หรือไม่ ยามนี้อวี้หย่วนยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าอาจารย์สกุลเฉียนผู้นั้นให้คำตอบอย่างไรกับเขา แต่ดูจากสีหน้าอวี้เหวินแล้ว คงจะไม่ใช่ข่าวดีอะไร 

 

 

นางรวบรวมสติ รอบิดาไตร่ตรองว่าจะพูดเรื่องนี้กับนางอย่างไร 

 

 

คาดไม่ถึงว่าอวี้เหวินจะเงียบไปเนิ่นนาน เวลานี้จึงเอ่ยว่า “อาถัง เจ้าถูกแล้ว! การตายของลุงหลู่เจ้านั้น เกรงว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าคาดเดา!” 

 

 

ได้รับข้อมูลเช่นนี้ อวี้ถังกลับรู้สึกสบายใจขึ้นมา นางกล่าว “หรือลุงหลู่ถูกคนทำร้ายจนตาย?” 

 

 

“ไม่รู้ว่าถูกคนทำร้ายจนตายหรือไม่ แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว เขาไม่ควรตายเช่นนี้” อวี้เหวินบอกอวี้ถังเกี่ยวกับเรื่องที่เขาสืบมาได้อย่างละเอียด “ก่อนหน้าที่ลุงหลู่จะตาย ยังติดหนี้ค่าห้องของโรงเตี๊ยมและค่าสุราของร้านอาหารเล็กๆ ในตรอก นอกจากนี้เขาเพิ่งจะผูกมิตรกับผู้ตรวจการศึกษาที่ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ ได้ยินเถ้าแก่ของโรงเตี๊ยมผู้นั้นกล่าวว่า เขาได้รับการแนะนำจากผู้ตรวจการศึกษาคนนั้น อีกสองวันก็จะไปเรียนหนังสือที่กั๋วจื่อเจี้ยน[1]ในเมืองหลวง…” 

 

 

อวี้ถังขมวดคิ้ว “เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลู่ซิ่วไฉจะคุยโว?” 

 

 

“ไม่ว่าจะโม้โอ้อวดหรือไม่ แต่ที่เขาเตรียมตัวไปเมืองหลวงคือเรื่องจริง” อวี้เหวินกล่าว “เขายังไปขอยืมเงินจากคนรู้จักหลายคน คิดจะจัดการค่าที่พักและค่าสุราให้เรียบร้อย ทางโรงเตี๊ยมยังพอว่า แต่เถ้าแก่ร้านอาหารผู้นั้นได้ยินว่าเขาจะไปแล้ว กลัวว่าเขาจะเบี้ยวเงินค่าสุราหนีไป จึงส่งลูกชายของตัวเองติดตามลุงหลู่อยู่ตลอด เถ้าแก่ร้านอาหารผู้นั้นบอกว่า เย็นวันนั้นลูกชายของเขาเห็นกับตาว่าลุงหลู่ของเจ้ากลับไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยมแล้ว กลัวว่าลุงหลู่เจ้าจะถูกคนเรียกออกไปเที่ยวเล่นกลางดึก ลูกชายเถ้าแก่ร้านอาหารรอจนถึงกระทั่งเสียงตีกลองบอกเวลายามสอง[2] เมื่อเฝ้าไม่ไหวจริงๆ จึงค่อยกลับไป” 

 

 

“ใครจะรู้ว่าเช้าตรู่ของวันที่สอง กลับพบว่าลุงหลู่ของเจ้าจมน้ำตายในแม่น้ำเถาฮวาไม่ไกลจากโรงเตี๊ยม” 

 

 

“ข้าก็ได้ถามจากเถ้าแก่โรงเตี๊ยมเช่นกัน เถ้าแก่โรงเตี๊ยมสาบานอย่างจริงใจว่าไม่เห็นลุงหลู่เจ้าออกไป” 

 

 

อวี้ถังสั่นสะท้านในใจ 

 

 

อวี้เหวินก็มีท่าทีหดหู่เช่นกัน 

 

 

ทั้งสองคนล้วนรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี ไม่กล้าสืบต่อไป กลัวจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งไม่กล้าแสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร รอให้ภัยร้ายมาเคาะถึงประตูแบบนี้เช่นกัน  

 

 

ชั่วขณะนั้น สองพ่อลูกต่างก็อับจนหนทาง 

 

 

อวี้เหวินทำได้เพียงปลอบใจตัวเอง “บางทีพวกเราอาจจะคิดซับซ้อนเกินไป รออาหย่วนกลับมาค่อยว่ากันเถิด” 

 

 

คนทำการค้าอย่างอาจารย์เฉียน ปกติก็ล้วนระมัดระวังคนแปลกหน้า วันนี้อวี้หย่วนเข้าไป ไม่ได้นำภาพไปด้วย แต่ขอให้สหายคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ส่วนตัวดีกับอาจารย์เฉียนผู้นั้นเป็นคนกลาง ลองขอให้อาจารย์เฉียนช่วยเหลือ 

 

 

ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ก็ยากจะพูด 

 

 

อวี้ถังเห็นบิดาเศร้าโศกอยู่บ้าง จึงกล่าวว่า “ท่านพ่อ ท่านยังไม่ได้กินข้าวเย็นกระมัง? ข้าให้เถ้าแก่เนี้ยยกอาหารขึ้นมาสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ วันนี้โรงเตี๊ยมทอดปลา ข้านั่งในห้องยังได้กลิ่นหอมตลบอบอวล” 

 

 

โรงเตี๊ยมแห่งนี้มีอาหารที่จัดไว้ให้เป็นเวลา ทั้งสามารถสั่งอาหารขึ้นมาได้เช่นกัน 

 

 

พวกอวี้เหวินไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไม่มีอาหารที่จัดไว้แล้ว ทำได้เพียงสั่งขึ้นมาเท่านั้น 

 

 

“อย่างไรรออวี้หย่วนกลับมาก่อนเถิด!” อวี้เหวินกล่าวอย่างไม่มีอารมณ์ คล้อยหลังอวี้หย่วนก็กลับมา 

 

 

เขากลับมีท่าทีกระปรี้กระเปร่า กล่าวอย่างดีใจ “ท่านอา อาจารย์เฉียนให้พวกเราไปพบพรุ่งนี้เช้าตรู่ ต้องดูภาพก่อนจึงจะให้คำตอบที่แน่นอนกับพวกเราได้” 

 

 

นี่นับว่าเป็นข่าวดี 

 

 

อวี้เหวินพยายามทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้นมา แต่อวี้หย่วนยังคงมองออกถึงความผิดปกติ 

 

 

อวี้เหวินก็ไม่ได้ปิดบังเขา เล่าความเป็นมาของเรื่องราวให้อวี้หย่วนฟัง 

 

 

อวี้หย่วนมีสีหน้าเคร่งขรึม “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็ต้องระมัดระวังมากขึ้นหน่อย” 

 

 

อวี้เหวินถอนหายใจ “กินข้าวเถิด! ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า[3] เรื่องของพรุ่งนี้ก็ค่อยว่ากันในวันพรุ่งนี้เถิด” 

 

 

อวี้ถังรีบไปสั่งอาหาร 

 

 

กินข้าวเสร็จ เดิมทีตั้งใจจะไปตลาดกลางคืนของถนนเสี่ยวเหอ แต่ทุกคนต่างก็ไม่มีกะจิตกะใจ จึงแยกย้ายกลับห้องพักของตนเอง 

 

 

อวี้ถังทำปิ่นดอกไม้ต่อจนได้ยินเสียงกลองตีบอกเวลายามสาม[4]จึงล้มตัวลงนอน 

 

 

ยามที่นางตื่นขึ้นมาอีกวัน ก็ได้ยินอวี้เหวินกำลังคุยกับเถ้าแก่โรงเตี๊ยม ส่วนอวี้หย่วนนำภาพวาดออกจากประตูไปนานแล้ว 

 

 

แต่ว่าครั้งนี้เขากลับมาค่อนข้างเร็ว 

 

 

ก่อนเวลาอาหารกลางวันก็กลับมา ทั้งยังทิ้งภาพไว้ที่อาจารย์เฉียน 

 

 

สองตาของเขาเป็นประกาย กล่าวเสียงเบากับอวี้เหวินและอวี้ถัง “อาจารย์เฉียนดูภาพแล้ว กล่าวว่าภาพนี้อย่างน้อยที่สุดยังสามารถแกะได้สามชั้น ถามพวกเราว่าอยากจะแกะกี่ชั้น ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องรบกวนเขาอยู่ดี จึงไม่ได้เกรงใจ เขาสามารถแกะได้กี่ชั้นก็เอาตามนั้น แต่ว่า เงินนั้นเยอะกว่าที่คุยไว้ตอนแรก เขาต้องการห้าตำลึง ตอนบ่ายพรุ่งนี้ถึงจะได้ของ” 

 

 

ตั้งแต่เมื่อวานที่อวี้เหวินรู้เรื่องการตายของหลู่ซิ่นก็จิตใจหม่นหมอง ฟังจบก็ตอบรับสั้นๆ ว่า ‘ได้’ ก่อนจะเอาเงินให้อวี้หย่วน 

 

 

อวี้หย่วนนำเงินไป ก่อนจะออกไปอีกครั้ง 

 

 

———————————— 

 

 

 

 

 

[1]กั๋วจื่อเจี้ยน คือสำนักศึกษาระดับสูงสุด ทั้งเป็นหน่วยงานบริหารการศึกษาในสมัยโบราณ 

 

 

[2]ยามสอง เวลาประมาณ 21:00 – 22:59 น. 

 

 

[3]ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า อุปมาว่า ฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ ดังนั้นพยายามทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ 

 

 

[4]ยามสาม เวลาประมาณ 23:00 – 24:59 น