พลังอำนาจเกรียงไกร โดย ProjectZyphon

เมื่อฮ่องเต้ต้าหลีเหยียบลงบนบันไดขั้นสุดท้าย ก้าวขึ้นไปบนหอสูง ร่างของเขาก็พลันหายวับไป

มองไกลๆ มาจากตำแหน่งที่ซ่งจ่างจิ้งและขันทีสองคนของฝ่ายผู้ตรวจฎีกายืนอยู่ พื้นหินเรียบที่มีขนาดเท่าแค่ลานตากธัญพืชของบ้านชาวไร่ เดิมทีควรว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใด ทว่าชายสวมชุดคลุมมังกรที่อยู่ในพื้นที่มองไป กลับเห็นเป็นหอสูงสิบกว่าจั้ง ไม่ใช่สิ่งปลูกสร้างจากไม้ที่เห็นได้ทุกหนแห่งในเมืองหลวงของต้าหลี แต่ประกอบขึ้นจากหยกขาวราคาแพงเกินกว่าจะคิดคำนวณ ด้านล่างของหอเรือนแขวนกรอบป้ายที่เขียนด้วยอักษรตัวใหญ่สีทองสามตัวว่า “ป๋ายอวี้จิง” (นครหยกขาว)

ประตูใหญ่ของหอสูงเปิดออกเองอย่างเชื่องช้า ฮ่องเต้ต้าหลีเดินเข้าไปข้างใน เห็นเพียงว่ามีกระบี่เล่มใหญ่ที่โอบล้อมด้วยสายฟ้าสีขาวแลบปลาบอย่างบ้าคลั่งลอยอยู่ ตลอดทั้งชั้นล้วนเต็มไปด้วยสายฟ้าเป็นเส้นๆ ที่พุ่งวูบวาบอยู่ทั่ว ฮ่องเต้มองเมินสายฟ้าที่ฟูมฟักปณิธานกระบี่แหลมคมเหล่านั้น เขาก้าวยาวๆ ไปข้างหน้า เดินขึ้นบันไดสู่เบื้องบน สายตาประดุจกลุ่มขุนนางในราชสำนักที่พอเห็นเจ้าเหนือหัวก็พากันหลบเลี่ยงหลีกทาง

ชั้นที่สองก็มีสภาพใกล้เคียงกัน มีเพียงกระบี่บินเล่มเดียวที่ลอยอยู่ตรงกลาง เพียงแต่ต่างจากตัวกระบี่ที่กว้างใหญ่ของกระบี่บินในชั้นแรก นั่นคือกระบี่บินของที่แห่งนี้เป็นสีเขียวเข้มและโปร่งใสตลอดทั้งเล่ม ตัวกระบี่เรียวยาวดุจกิ่งหลิวต้นวสันต์ ในหอเรือนเหมือนมีกระแสน้ำสีเขียวไหลเอื่อยเกิดเป็นริ้วกระเพื่อมเล็กๆ

ฮ่องเต้ต้าหลีเดินขึ้นด้านบนต่อไป มองเผินๆ สภาพในชั้นที่สามไม่มีอะไรพิเศษไปจากความงดงามแปลกตาของสองชั้นแรก ทั้งไม่มีกระบี่บินพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามลอยตัวอยู่ แล้วก็ไม่มีแสงประหลาดอันเป็นสภาพแวดล้อมที่ช่วยหล่อเลี้ยงกระบี่ ทว่าชายสวมชุดคลุมมังกรที่ก่อนหน้านี้ไม่หยุดเดินแม้แต่ก้าวเดียว กลับหยุดชะงักลงครู่หนึ่งในชั้นนี้ เขาหรี่ตามองไปรอบด้านอย่างละเอียด แล้วหัวเราะเบาๆ พลางพูดว่าหาเจ้าเจอแล้ว ครั้นจึงเดินไปหยุดอยู่เบื้องใต้ผนังที่ห่างไปไม่ไกล โน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อย สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาคือกระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งที่เหมือนกับเข็มเย็บผ้า ทว่ากระบี่บินเล็กจ้อยเพียงเท่านี้กลับมีดาบกระบี่สีเทาอ่อนที่สลักสองคำว่า “เสาค้ำ” เอาไว้

ของเล่นชิ้นเล็กที่ไม่สะดุดตาเล่มนี้กลับมีชื่อที่ยิ่งใหญ่เกินตัว

ชั้นที่สี่คือกระบี่ยาวโบราณเรียบง่ายที่ตัวกระบี่สลักอักขระยันต์ไว้เต็มพื้นที่ ชั้นห้าคือกระบี่ใหญ่ที่ใหญ่จนน่าเหลือเชื่อ สูงพอๆ กับบุรุษของต้าหลี เขียนคำว่าสยบขุนเขาเอาไว้

ฮ่องเต้ต้าหลีเดินขึ้นสู่ชั้นบนของหอเรือนอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายมาถึงชั้นที่สิบถึงได้หยุดเดิน ในชั้นนี้มีหนึ่งผู้เฒ่าสองหนุ่มสาวยืนอยู่ ผู้เฒ่าใบหน้าดำเกรียม ผิวพรรณยับย่น เรือนกายสูงใหญ่ สวมชุดสีขาว ศีรษะสวมกวานสูง ในดวงตาที่ลึกล้ำคู่นั้นมีปราณสีม่วงที่คนนอกมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าไหลหายไปอย่างรวดเร็ว

ข้างกายผู้เฒ่ามีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งยืนอยู่ ซึ่งก็คือคู่นายบ่าวในตรอกหนีผิงของเมืองเล็กถ้ำสวรรค์หลีจู ซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุย เด็กหนุ่มสวมชุดผ้าแพรรัดเข็มขัดหยก มีมาดของหนุ่มน้อยผู้สง่างามอันดับหนึ่งแห่งต้าหลีแล้ว มีเพียงสิ่งเดียวที่ขัดแย้งกับความงดงามทั้งหมด นั่นก็คืองูสี่ขาสีเหลืองดินที่นอนหมอบอยู่บนไหล่ของเด็กหนุ่ม มันค่อนข้างจะทำลายบรรยากาศเล็กน้อย ยังดีที่พอมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าศีรษะของมันปูดนูนขึ้นมา เป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต้นที่ดี

ส่วนเด็กสาวจื้อกุยนั้นเหมือนจะสูงกว่าตอนที่อยู่ในตรอกหนีผิงเล็กน้อย รูปโฉมก็งดงามยิ่งขึ้น ตลอดทั้งร่างสาดรัศมีเปล่งปลั่งเรืองรอง มอบความรู้สึกมหัศจรรย์ดั่งแผ่นดินที่แห้งแล้งมานานพบพานหิมะตกแก่ผู้คน

เวลานี้ผู้เฒ่ายืนอยู่ตรงหน้าต่างของชั้นที่สิบ ยื่นมือชี้ไปยังจุดใดจุดหนึ่งของเมืองหลวงพลางอธิบายไขข้อข้องใจให้แก่เด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้ต้าหลีเสด็จมา ผู้เฒ่าก็แค่ผงกศีรษะทักทายเท่านั้น ส่วนฮ่องเต้ต้าหลีเองก็ไม่ถือสา เพียงเดินไปหยุดอยู่ข้างกายซ่งจี๋ซิน คิดจะลูบคลำศีรษะของเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มกลับเบี่ยงตัวหลบฝ่ามือนั้นอย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต สีหน้าของฮ่องเต้ต้าหลีเป็นปกติดังเดิม หลังหดมือกลับมาก็ถามยิ้มๆ ว่า “ซ่งมู่ เรียนวิชาดูปราณกับอาจารย์ลู่มาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว เคยค้นพบใจกลางค่ายกลของค่ายกลใหญ่เมืองหลวงต้าหลีของเราหรือไม่?”

สีหน้าของเด็กหนุ่มเย็นชา น้ำเสียงที่แข็งกระด้างก็ยิ่งแฝงความห่างเหิน “ยังไม่พบ”

ผู้เฒ่าสวมกวานสูงแย้มยิ้ม “การศึกษาฮวงจุ้ย ไหนเลยจะชำนาญการได้ง่ายดายเพียงนั้น แต่ซ่งมู่ก็ถือว่าโดดเด่นมากแล้ว ไม่เป็นรองคนหนุ่มของทวีปอื่นเลยแม้แต่น้อย ประเด็นสำคัญคือกำลังช่วงท้ายของซ่งมู่ดีมาก เพราะเชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณและอนุมาน ไม่ว่าเรียนอะไรก็เปลืองแรงน้อยแต่ได้ผลมาก หลวนจวี้จื่อ (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ที่อยู่ชั้นบนโลกทัศน์กว้างไกลขนาดไหนก็ยังไม่ขี้เหนียวคำชมต่อซ่งมู่ ชมเชยเขาว่า ‘ดั่งถ้วยปะการัง[1]’”

ฮ่องเต้ต้าหลีหัวเราะร่าเสียงดัง “ก็ลูกชายของข้านี่นา”

สาวใช้จื้อกุยถอยหลังไปสองสามก้าว ย่นจมูกสูดกลิ่น

ฮ่องเต้ต้าหลีหันมาด่านางยิ้มๆ “เจ้าตัวหายนะน้อย ช่างไม่เกรงใจกันเลยจริงๆ”

เด็กสาวทำหน้างงงันไร้เดียงสา ชายวัยกลางคนจึงชี้หน้านาง กล่าวเย้า “ยืมแล้วคืน คิดยืมอีกย่อมไม่ยาก แต่อย่ารู้จักแต่รับไม่มอบกลับคืน ระวังข้าจะส่งเจ้ากลับไปยังบ่อขังมังกรแห่งนั้น อีกอย่างตำหนักฉางชุนของตระกูลเซียนที่อยู่ใกล้กับเมืองหลวงมากที่สุดก็มีบ่อน้ำอยู่หนึ่งบ่อ ถึงเวลานั้นจะให้เจ้าย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่น”

ประโยคล้อเล่นของชายสวมชุดคลุมมังกรกลับทำให้จื้อกุยหน้าซีดขาว รีบขยับปากเล็กน้อยพ่นปราณสีทองเป็นเส้นๆ ออกมา ลมปราณแผ่วเบาล่องลอยที่เป็นดั่งงูตัวเล็กสีทองเหล่านี้พุ่งเข้าไปผสานรวมอยู่กับภาพมังกรบนชุดคลุมของชายวัยกลางคนอย่างรวดเร็ว เหมือนปลาได้น้ำที่แหวกว่ายอยู่ท่ามกลางเส้นด้ายซึ่งเย็บปักเป็นชุดคลุมมังกรงดงามอย่างลิงโลด ชุดคลุมมังกรตัวนั้นจึงขยับไหวเล็กน้อยตามไปด้วยจนเกิดเป็นริ้วแสงหลายระลอก มหาสมุทรที่อยู่ตรงช่วงล่างของชุดคลุมมีฝอยน้ำกระเด็นออกมาเล็กน้อยจริงๆ

ฮ่องเต้ต้าหลีหัวเราะฮ่าๆ “ขี้ขลาดขนาดนี้เชียว ทำไมตอนนั้นถึงได้กล้าระบายอารมณ์ใส่อาจารย์ฉีครั้งแล้วครั้งเล่า?”

สีหน้าของเด็กสาวหม่นหมอง ขยับเท้าไปยืนอยู่ตรงหน้าต่าง สายตามองไปยังเส้นทางลงใต้ ไปจากหอสูง ไปจากวังหลวง ไปจากเมืองหลวง พยายามจะมองให้เห็นบ้านเกิดทิศใต้ที่อยู่ห่างไปไกล

นางไม่ค่อยชอบที่นี่ ไม่ชอบเมืองหลวงต้าหลีที่มีชื่อว่านครมังกรทะยานแห่งนี้

ฮ่องเต้ต้าหลีหุบยิ้ม เอ่ยถามผู้เฒ่า “หลวนจวี้จื่อมั่นใจจริงหรือว่าจะสร้างชั้นที่สิบสามให้กับหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ได้”

ผู้เฒ่าชุดขาวที่แผ่ปราณแห่งเซียนปกคลุมไปทั่วร่างกล่าวเสียงทุ้ม “หากไม่เป็นเช่นนี้ เขาหลวนฉางเหย่จะมาทำอะไรที่ต้าหลี”

ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ มือทั้งคู่เท้าขอบหน้าต่าง มองเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแล้วเอ่ยเย้ยตัวเอง “ถ้าอย่างนั้นก็ดี แม้ข้าจะได้รับการยอมรับจากราชสำนักว่าเป็นโอรสสวรรค์ผู้ประหยัดมัธยัสถ์ อีกทั้งยังถูกฮ่องเต้และกษัตริย์มากมายของบุรพแจกันสมบัติทวีปล้อเลียนอย่างลับๆ ว่าเป็นสตรีแต่งงานแล้วที่เก่งงานบ้านงานเรือน แต่เรื่องใดที่จำเป็นต้องจ่ายเงิน ต่อให้ทุบหม้อขายเหล็กข้าก็พร้อมยอมจ่าย”

ผู้เฒ่ายิ้มอย่างเข้าใจ แล้วเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ขยันหมั่นเพียรมาหลายร้อยปี รายรับที่สกุลซ่งแห่งต้าหลีได้จากถ้ำสวรรค์หลีจู ตอนนี้ล้วนเอามาทุ่มให้กับป๋ายอวี้จิงแห่งนี้หมดแล้ว หากนี่ยังเรียกว่างก บุรพแจกันสมบัติทวีปก็หากษัตริย์ใจกว้างคนที่สองไม่เจออีกแล้ว”

ฮ่องเต้ต้าหลีถาม “แม้ว่าจะดูไม่ค่อยสง่างาม แต่ข้าก็ยังอยากจะยืนยันกับอาจารย์ลู่ให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย ขอแค่อยู่ในแถบพื้นที่ทางเหนือของสำนักศึกษากวานหูในบุรพแจกันสมบัติทวีป รับมือกับนักพรตชั้นสิบคนหนึ่งที่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับต้าหลี หอเรือนแห่งนี้ก็จะปล่อยสิบกระบี่ออกไปได้ในทันที นักพรตชั้นสิบเอ็ด กระบี่สิบเอ็ดเล่ม นักพรตชั้นสิบสอง กระบี่ทั้งหมดสิบสองเล่มบินทะยานออกจากหอเรือน ก็สามารถสังหารคนที่อยู่ไกลนับล้านลี้ได้ในชั่วพริบตาเหมือนกัน?!”

ผู้เฒ่าแซ่ลู่กล่าวอย่างมาดมั่น “ก็แค่บุรพแจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นแน่!”

ผู้เฒ่าเอ่ยเสริม “ดูปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ บวกกับสรุปรายงานจากสายลับของทุกฝ่าย ชายฉกรรจ์สวมงอบพกดาบผู้นั้นต้องเป็นผู้ฝึกลมปราณห้าชั้นบนแน่นอน มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นชั้นที่สิบเอ็ด แต่ชั้นที่สิบสองก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะอยู่ห่างไกลเกินไป อีกทั้งคนผู้นั้นยังจงใจอำพรางลมปราณ ไม่ว่าจะเป็นการดูดาวคำนวณชะตาของข้า หรือเวทอภินิหารมองไกลด้วยฝ่ามือ ก็ยังคงพร่าเลือนอยู่ดี”

ผู้เฒ่าสะบัดปลายแขนเสื้อเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “แต่ตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนว่า ตอนนี้ป๋ายอวี้จิงมีทั้งหมดสิบสองชั้น หนึ่งชั้นหนึ่งกระบี่บิน แม้ว่าเวทอภินิหารจะยิ่งใหญ่ พลังสังหารไร้ที่สิ้นสุด มากพอจะสยบผู้ฝึกลมปราณของหนึ่งทวีปได้ แต่ทุกครั้งที่กระบี่บินออกจากหอเรือนล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่มหาศาล ต่อให้ต้าหลีเพิ่งจะฮุบกลืนราชวงศ์สกุลหลูที่ร่ำรวยอยู่ทางทิศเหนือมาได้ แต่หากร่ายใช้กระบี่ทีเดียวสิบสองเล่ม ภายในสิบสองปี คิดจะใช้อีกครั้งก็ยังยากเกินความสามารถ เว้นเสียแต่ว่าฝ่าบาทจะยินดียอมรับราคาเป็นกระบี่บินทั้งหมดพังทลายสิ้น”

ชายสวมชุดคลุมมังกรพยักหน้ารับ กระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

ซ่งจี๋ซินพลันถามขึ้นว่า “ตอนนี้หลวนจวี้จื่อยังสร้างชั้นที่สิบสามของหอป๋ายอวี้จิงไม่เสร็จ หากแขกไม่ได้รับเชิญที่ท้าทายต้าหลีคนนั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสาม จะทำอย่างไร?”

ชายสวมชุดคลุมมังกรเพียงคลี่ยิ้ม ไม่ได้ตอบคำถาม

ผู้เฒ่าแซ่ลู่หัวเราะเสียงดังสนั่น แล้วอธิบายอย่างอ่อนโยน “ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสาม? นั่นคือบุคคลที่ต่อให้เป็นทวีปใหญ่ที่สุดในใต้หล้า บ้านเกิดของข้าผู้แซ่ลู่ก็ยังหาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลน แล้วนับประสาอะไรกับที่…มติสวรรค์มิอาจแพร่งพราย ไม่พูดแล้วๆ เจ้ารู้ไว้แค่ว่า แม้แต่หร่วนฉงชั้นที่สิบเอ็ดแห่งศาลลมหิมะก็ยังถือว่าเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่สามารถก่อตั้งสำนักได้เองแล้ว คำว่าสำนักนี้ เป็นคำที่มีน้ำหนักอย่างมาก ต้องมีนักพรตห้าขอบเขตบนบัญชาการณ์เท่านั้นถึงจะเรียกว่าสำนักอะไรๆ ได้ หาไม่แล้วจะถือว่าทำเกินสถานะของตน พวกตาแก่ที่คร่ำครึในกฎเกณฑ์ของลัทธิขงจื๊อเหล่านั้นย่อมโกรธจนหนวดกระดิกตาพองกันเลยทีเดียว”

ฮ่องเต้ต้าหลีเอ่ยเนิบช้า “แม้ว่าหร่วนฉงจะนิสัยไม่ค่อยดีนัก ทำอะไรเด็ดขาดดุดัน ไม่สนใจคบค้าสมาคมกับผู้ใด จนทำให้ตระกูลเซียนดั้งเดิมของต้าหลีวิพากษ์วิจารณ์กันมากมาย แต่นิสัยของคนผู้นี้สอดคล้องกับความต้องการของต้าหลีอย่างยิ่ง ข้าย่อมยินดีที่จะปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาท นักพรตเช่นนี้ ต้าหลีของเราไม่เพียงแต่ไม่ปฏิเสธ ข้าที่เป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลียังถึงขั้นยินดีที่จะนั่งพูดคุยกับเขาอย่างเท่าเทียมกัน อีกอย่างหลักการง่ายๆ อย่างทองพันตำลึงซื้อกระดูกม้า[2]นั้น ขอแค่เป็นคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกร ย่อมต้องเข้าใจ”

ซ่งจี๋ซินยังดึงดันในความคิดของตัวเองอย่างไม่ยอมเลิกราง่ายๆ “แล้วถ้าเขาเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสามจริงๆ ล่ะ?”

ชายชราสวมกวานสูงส่ายหน้ายิ้มๆ

——

[1] ถ้วยปะการัง คือ ภาชนะที่ใส่ธัญพืชในพิธีบวงสรวง ก้นแคบปากกว้าง มีลวดลายด้านล่างคล้ายปะการัง ประโยคนี้เป็นคำชมของขงจื๊อที่มีต่อลูกศิษย์ ซึ่งเปรียบเปรยว่าเป็นของล้ำค่าหายาก

[2] ทองพันตำลึงซื้อกระดูกม้า เปรียบเปรยถึงการเห็นความสำคัญของคนเก่ง ยอมทุ่มเงินจำนวนมากซื้อของไร้ค่าเพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่อยากได้คนเก่งมาร่วมงานด้วย