พลังอำนาจเกรียงไกร โดย ProjectZyphon

ห้าขอบเขตบน สองขอบเขตใหญ่ที่อยู่บนสุดต่างก็ไม่มีการสืบทอดมานานมากแล้ว เป็นเหตุให้แค่ขอบเขตที่สิบสามก็ถือว่าเป็นตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสูงที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว

เรื่องนี้ไม่มีบันทึกไว้ในตำราหรือคัมภีร์ลับใดๆ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ ต่อให้เป็นตระกูลเซียนบนภูเขาที่มีคำว่าสำนักนำหน้าก็ยังเก็บไว้เป็นความลับอย่างแน่นหนา

เนื่องจากผู้เฒ่าแซ่ลู่เกิดในตระกูลใหญ่ที่สืบทอดต่อกันมายาวนานนับพันปีตระกูลลำดับต้นๆ ของใต้หล้า คือลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์แห่งทวีปใหญ่ อีกทั้งยังเคยถูกคนในตระกูลฝากความหวังด้านการฝึกตนเอาไว้ถึงสามารถรวบรวมถ้อยคำกระจัดกระจายจากบทสนทนาของเหล่าผู้อาวุโสแล้วพอจะเอามาปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวภายในได้บางส่วน ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะอยู่ห่างจากความเป็นจริงไม่ไกลนัก

ขอบเขตบินทะยานของห้าขอบเขตกลางถือเป็นขั้นสูงสุดของ “ใต้หล้า” นี้แล้ว ก็เหมือนกับขอบเขตที่สิบของผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ก็ถือเป็นขอบเขตปลายทางอย่างแท้จริงเช่นเดียวกัน เบื้องหน้าไม่มีเส้นทางให้เดินต่อไปได้อีก อีกทั้งหากเลื่อนมาถึงขอบเขตนี้ก็จะถูกมรรคาสวรรค์ที่มองไม่เห็นสัมผัสถึง จากนั้นก็จะถูกตัดสินให้เป็นมหาโจรที่แอบขโมยรากฐานของฟ้าดิน ต้องกำจัดทิ้งโดยไว ไม่อาจเหลือพื้นที่ให้นักพรตขอบเขตนี้หยัดยืนอยู่ได้เด็ดขาด เพราะเมื่อเทียบกับเหล่าอริยะเทพเซียนในสายตามนุษย์ธรรมดา เทียบกับนักพรตขอบเขตสิบทั้งหลายแล้ว ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตนี้จะยิ่งเร้นกายเงียบเชียบไม่ปรากฎตัวง่ายๆ เพราะไม่อย่างนั้นจะต้องถูกบีบให้ต้องบินทะยาน

ส่วนเรื่องที่ว่าจะบินทะยานไปถึงที่ใด เรือนกายที่มีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณอยู่ในสภาพไหนนั้น ผู้เฒ่าแซ่ลู่ก็ไม่รู้แน่ชัดเหมือนกัน เขาแค่คาดเดาเอาเองว่าอาจจะต้องเกี่ยวข้องกับมรรคาเทพที่พังทลายไปนานแล้วก็เป็นได้

ฮ่องเต้ต้าหลีก้มหน้าเล็กน้อย มองดวงหน้าของเด็กหนุ่มที่ยังมีความเยาว์วัยหลงเหลืออยู่แล้วถามกลับ “ถ้าหาก?”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ “ใช่!”

ฮ่องเต้ต้าหลีดึงสายตากลับคืนมา เอ่ยยิ้มๆ “ถ้าหากปากอีกา (เปรียบเปรยว่าปากเสีย ปากไม่เป็นมงคล) น้อยของเจ้าพูดถูก นั่นก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืดอย่างไม่คิดจะเก็บอาการ เด็กหนุ่มไม่คิดจะเชื่อคำพูดของชายสวมชุดคลุมมังกรเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้บุรุษผู้นี้จะเป็นเจ้าเหนือหัวของต้าหลีที่กว้างใหญ่ คือกษัตริย์ของราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดทางตอนเหนือของบุรพแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งยังถูกคนนับไม่ถ้วนมองเป็นผู้มีใจทะเยอทะยานหวังจะควบรวมพื้นที่ทางตอนใต้ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มได้เหยียบขึ้นมาบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว เดิมทีผู้อาวุโสสองคนที่อยู่ข้างกายก็เป็นผู้ฝึกลมปราณระดับสูงสุดของใต้หล้าอยู่แล้ว ทำให้ตนก็พลอยได้โอกาสตามน้ำตามลมคว้าเอาโชควาสนายิ่งใหญ่จากหอป๋ายอวี้จิงแห่งนี้มาครอง ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงยิ่งรู้ดีว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสามท่านหนึ่งมีพลังคุกคามต่อหนึ่งสำนักหนึ่งประเทศชายมหาศาลแค่ไหน

ฮ่องเต้ต้าหลียังคงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาที่อ่อนโยน เอ่ยเสียงเบา “ราชวงศ์ต้าหลีของพวกเราสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิมาได้ทุกยุคทุกสมัยก็เพราะอาศัยคำว่าถ้าหากนี้ ถึงได้ค่อยๆ เดินทีละก้าวเปลี่ยนจากประเทศเล็กๆ ที่พึ่งพาราชวงศ์สกุลหลูในอดีตจนมีวันนี้ ไม่เพียงแต่เขมือบกลืนราชวงศ์สกุลหลู อีกไม่นานก็จะกรีฑาทัพไปบุกต้าสุย ซึ่งก็โอกาสที่จะชนะมีสูงมาก และหลังจากนั้นเมื่อไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังก็จะสามารถบุกลงใต้ได้อย่างแท้จริง อีกทั้งอนาคตที่รออยู่เบื้องหน้ายังถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องงดงามเป็นมหามงคล ดังนั้นข้าจึงไม่เคยมีอคติกับคำว่าถ้าหากนี้มาก่อน ข้ายังถึงขั้นบอกกับตัวเองมาโดยตลอดว่า จักรพรรดิผู้มีคุณสมบัติที่จะถูกขนานนามให้เป็นวีรบุรุษผู้กล้าบนหน้าหนังสือประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลังได้อ่านอย่างแท้จริงนั้น คือผู้ที่สามารถบดขยี้คำว่าถ้าหากที่มีประโยชน์ต่อฝ่ายศัตรูให้แหลกสลายครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถแบกรับคำว่าถ้าหากนี้เอาไว้ได้”

สีหน้าของบุรุษยังคงผ่อนคลายใจเย็น “ซ่งมู่ นี่ต่างหากถึงจะเป็นบุคลิกลักษณะที่ผู้พิชิตแห่งหนึ่งดินแดน กษัตริย์แห่งหนึ่งแคว้นพึงมี”

สุดท้ายบุรุษเอ่ยกลั้วหัวเราะว่า “หลักการพวกนี้ ซ่งอวี้จางควรจะสั่งสอนเจ้าตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว เพียงแต่เขาไม่กล้าพอก็เท่านั้น”

สีหน้าของเด็กหนุ่มดำทะมึน

บุรุษไม่สนใจปมเล็กน้อยในใจของเด็กหนุ่ม เขาเพียงแหงนหน้ามองท้องฟ้า “ป๋ายอวี้จิงบนชั้นฟ้า สิบสองชั้นห้านคร อยากรู้จริงๆ ว่าป๋ายอวี้จิงที่แท้จริงบนท้องฟ้านั่นจะโอ่อ่าใหญ่โตถึงเพียงใด”

บุรุษงอนิ้วเคาะลงบนศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ หนึ่งที เด็กหนุ่มหลบไม่ทันจึงรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่บุรุษกลับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่สนใจสักนิดว่ายังมีคนนอกอีกสองคนอยู่ด้วย “มารดาเจ้าเห็นดีเห็นงามกับน้องชายเจ้า แต่ข้าเห็นดีกับเจ้ามากว่า ขนาดพยัคฆ์ร้ายยังไม่กินลูกตัวเอง พิษร้ายสุดคือจิตใจของสตรีจริงๆ”

บุรุษพูดกับตัวเองด้วยความเศร้าเสียใจเล็กน้อย “ม่วงชั่วร้ายแทนสีชาด” (เปรียบเปรยว่าความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่ความชอบธรรม ใช้วิธีผิดๆ แล้วคิดว่าเป็นสิ่งถูกต้อง)

แต่จากนั้นบุรุษก็พลันคลี่ยิ้ม “อาจารย์ฉีผู้นั้น ข้าละอายใจต่อเขานัก เป็นต้าหลีที่ผิดต่อเขา แต่การที่เจ้าได้เป็นลูกศิษย์ของเขาช่างเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก”

เด็กหนุ่มอดทนข่มกลั้นมานาน สุดท้ายก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นคนละเรื่องกับบทสนทนาออกมา “ท่านเป็นฮ่องเต้ต้าหลี ทำไมถึงไม่เรียกแทนตัวเองว่ากว่าเหริน?” (กว่าเหรินคือคำแทนตัวกษัตริย์ในสมัยโบราณ)

บุรุษวางฝ่ามือบนไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ “ต้าหลีถูกมองเป็นพื้นที่ป่าเถื่อนมาเกือบหนึ่งพันปี ข้าจึงหวังว่าจะใช้สิ่งนี้มาย้ำเตือนตัวเอง บอกตัวเองว่าอย่าลืมความอัปยศครั้งใหญ่นี้!”

เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง

บุรุษหดมือกลับแล้วหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ไหว “หลอกเจ้าเล่นหรอกน่า ข้าก็แค่รังเกียจที่คำว่ากว่าเหรินฟังดูไม่เป็นมงคลนัก” (กว่าหมายถึงน้อย ขาดแคลน หรือหมายถึงหญิงหม้ายสามีตาย)

ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพลันส่งเสียง “มาแล้ว!”

บุรุษเอ่ยถาม “เผชิญกับการล้อมโจมตี ไม่หนีไป แต่กลับบุกมาสังหารถึงที่นี่?”

จิตใจผู้เฒ่าสะท้านไหวอย่างรุนแรง เบิกตากว้างมองไปทางฝั่งทิศใต้ของหน้าต่าง เอ่ยเสียงสั่น “ขอบเขตสิบ ขอบเขตสิบเอ็ด ขอบเขตสิบสอง! คือขั้นสูงสุดของขอบเขตสิบสองแล้ว!”

บุรุษสีหน้าเรียบเฉย หันไปเอ่ยสั่งเด็กหนุ่ม “ซ่งมู่ ได้เวลาที่เจ้าต้องลงมือแล้ว”

ซ่งจี๋ซินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หมุนตัวหันหน้าไปทางทิศใต้ มือทั้งคู่ทำมุทรา กัดฟันพูดว่า “ข้าซ่งมู่! รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ต้าหลี ขอสั่งให้เทพทั้งสิบสองท่านที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาแห่งแผ่นดินจงรับกระบี่!”

ลมแรงพัดโหมขึ้นในเมืองหลวงต้าหลี ก้อนเมฆพุ่งเข้ามารวมตัวกันดำทะมึน หอสูงแห่งนี้พลันมีปราณกระบี่พุ่งทะยานเสียดฟ้า

กระบี่เล่มที่อยู่ในชั้นล่างสุดพุ่งแหวกอากาศออกไปก่อนดุจสายฟ้าแลบปลาบ คนจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงต้าหลีเงยหน้ามองสายฟ้าเส้นที่แขวนอยู่เหนือหัวด้วยความตะลึงพรึงเพริด

ครู่ต่อมาก็เป็นกระบี่บินของชั้นที่สอง

จนกระทั่งถึงเล่มที่สิบสอง

กระบี่บินครึ่งหนึ่งในนั้นไม่ได้พุ่งตรงไปทัดทานศัตรูทางฝั่งทิศใต้ แต่เลือกที่จะอ้อมเส้นทางอื่นไปยังสามทิศทาง

และตอนที่กระบี่บินออกไปจากหอสูงก็พลันขยายใหญ่อย่างถึงที่สุด พอออกไปจากเมืองหลวงแล้วก็ยิ่งขยายพรวดพราดไปอีกระดับ ต่อให้เป็นกระบี่บินขนาดจิ๋วที่เล็กเหมือนใบหลิ่ว พอออกห่างจากเมืองหลวงไปได้ระยะหนึ่งร้อยลี้แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นกระบี่บินเล่มยักษ์ที่ยาวหลายสิบจั้ง

สี่ด้านแปดทิศของหอสูงสิบสองชั้นที่สร้างเลียนแบบหอป๋ายอวี้จิงบนสวรรค์ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นล้วนมีทวยเทพที่รับฟังคำสั่งเผยกายธรรมแห่งเทพที่เต็มไปด้วยบารมีอันน่าเกรงขาม หนึ่งในนั้นคือองค์เทพร่างทองสูงหนึ่งร้อยจั้งที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บนขุนเขาใต้ทางทิศใต้สุดของต้าหลี เขาชูแขนขึ้นสูงตะโกนดังกึกก้อง “ขุนเขาใต้รับพระราชโองการรับกระบี่!”

พื้นที่แต่ละแห่งของต้าหลีล้วนมีกายธรรมใหญ่ยักษ์ขององค์เทพแห่งแม่น้ำและขุนเขาอีกสิบเอ็ดองค์เผยกาย แล้วพากันรับกระบี่บินที่ออกมาจากหอสูง จากนั้นก็เหยียบลงกลางอากาศ เพียงก้าวเดียวก็เดินไปหลายสิบลี้

ทุกองค์ต่างหันหัวหอกไปยังรุ้งยาวที่แหวกอากาศจากใต้ขึ้นเหนือเส้นนั้นโดยไม่มีข้อยกเว้น

กายธรรมแห่งเทพสีทองขององค์เทพขุนเขาใต้เป็นผู้รับหน้าศัตรูก่อนคนแรก

เสียงกึกก้องสะเทือนเลือนลั่น

กายธรรมและกระบี่บินต่างก็แหลกละเอียดกลายเป็นจุลไปพร้อมๆ กัน

ในเมืองหลวง ชั้นบนในหอป๋ายอวี้จิงมีเสียงอุทานด้วยความชื่นชมดังออกมา เสียงนี้เต็มไปด้วยความคลางแคลงใจรวมไปถึงความจนใจ

ผู้เฒ่าสวมกวานสูงพึมพำเบาๆ “เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”

มุมปากของซ่งจี๋ซินที่อยู่ในชั้นสิบมีเส้นเลือดไหลซึมออกมา

โอรสวรรค์ต้าหลีขมวดคิ้วเป็นปมแน่น

มีเพียงสาวใช้จื้อกุยที่นอนฟุบอยู่บนขอบหน้าต่าง มองซ้ายมองขวาอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว

องค์เทพร่างทององค์ที่สองก็ระเบิดแตกกระจายไม่ต่างกัน

ทุกระยะช่วงหนึ่งที่ผ่านไปจะต้องมีเสียงฟ้าผ่าดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั้งแผ่นดินต้าหลี

เด็กหนุ่มในเวลานี้เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด สีหน้าดุร้าย แต่ก็ยังยืนหยัดตั้งมั่นในสมาธิไม่สั่นคลอน

เมื่อห่างไปไกลมีเสียงดังเกิดขึ้นเป็นครั้งที่หก

ผู้เฒ่าที่อยู่บนยอดหอเรือนก็กล่าวพร้อมยิ้มเจื่อน “กลัวเจ้าแล้วจริงๆ ข้าผู้อาวุโสยอมหลีกทางให้เจ้าก็ได้”

กายธรรมแห่งเทพสีทองทั้งหกตนที่เดิมทีเรียงจากทิศเหนือลงไปทางทิศใต้เริ่มขยับเบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวา เปิดทางออกเป็นเส้นทางเส้นทางหนึ่ง

ดูเหมือนจะยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ แสงสีขาวเส้นหนึ่งถึงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง แต่เพียงไม่นานก็ล้มเลิกความคิดที่จะหาเรื่ององค์เทพทั้งหลายจึงพุ่งตรงขึ้นหน้าต่อไป

สุดท้ายเงาร่างนี้ก็บุกพรวดเข้ามาในเมืองหลวงต้าหลี เผยกายอยู่เบื้องล่างหอสูงที่ด้านในซ่อนหอป๋ายอวี้จิงเอาไว้

หน้าผากของอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีซ่งจ่างจิ้งมีเม็ดเหงื่อผุดซึม แต่ก็ยังยืนตระหง่านอยู่เบื้องหน้าชายผู้ตกลงมาจากฟากฟ้า ขัดขวางทางไปของคนผู้นั้น

และเพียงไม่นานซ่งจางจิ้งก็คลี่ยิ้ม รู้สึกเพียงว่าหากได้ประมือกับคนผู้มือสักครั้ง ต่อให้ตายก็ไม่เสียดาย ไม่เสียแรงที่เกิดมาในชาตินี้!

บนลานกว้าง ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น แต่ที่น่าขันก็คือตรงน่องขาด้านล่างของคนผู้นี้ยังรัดด้วยผ้าพันขาเพื่อให้สะดวกในการเดินบนภูเขา มือถือดาบไม้ไผ่สีเขียวผุพัง ชายฉกรรจ์หันหน้าไปมองทางเมืองหลวงแวบหนึ่งแล้วร้องเอ๊ะด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะหันกลับมามองอ๋องเจ้าแคว้นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตที่สิบอย่างซ่งจ่างจิ้ง ครั้นจึงผงกศีรษะเล็กน้อยแสดงถึงความชื่นชม สุดท้ายเงยหน้าขึ้นมองไปยังยอดบนสุดของหอสูงที่ซุกซ่อนความลี้ลับเอาไว้

เขาโยนดาบไม้ไผ่เล่มนั้นทิ้ง กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที หอสูงป๋ายอวี้จิงพลันถูกบีบให้เผยโฉมหน้าที่แท้จริงทันใด

เขาชักดาบยันต์มงคลเล่มแคบยาวที่อยู่ตรงเอวออกมาแล้วชูขึ้นสูงอย่างง่ายๆ ปลายดาบชี้ไปยังหอสูง ตะโกนดังว่า “ห้าคนข้างในนั้นน่ะ ข้ากำลังรีบ ใครคือฮ่องเต้ต้าหลีจงรีบออกมาโขกหัวคำนับยอมรับผิดด้วยตัวเองซะเดี๋ยวนี้! ข้าจะนับแค่สิบครั้งเท่านั้น สิบ!”

“หนึ่ง!”

ชายที่นับสิบแล้วกระโดดมาหนึ่งทันทีพลันเงื้อดาบใส่แท่นพิธีและหอสูงแล้วตวัดฉับลงไป