ตอนที่ 35 ทั้งหมดเป็นเพราะผู้ชายที่ถลันเข้ามาคนนั้น

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

เฉินฝานซิงพักผ่อนที่บ้านหนึ่งวัน เธอได้โทรไปบอกข่าวเรื่องที่เธอออกจากโรงพยาบาลกับสวี่ชิงจือ 

 

 

เป็นที่เรียบร้อย 

 

 

ผลคือเธอได้รับเสียงบ่นจากเพื่อนรัก 

 

 

“ตอนเธอเข้าโรงพยาบาลฉันไม่เคยไปเยี่ยมเธอสักครั้ง ออกจากโรงพยาบาลก็ไม่ยอมบอกก่อนล่วงหน้า เธอจงใจให้ฉันรู้สึกผิดใช่ไหมฮะ” 

 

 

“ก็ใช่น่ะสิ เธอรู้สึกผิดฉันถึงจะมีข้าวกิน [1] อะ” 

 

 

เธอขำเบาๆ พลางนึกขึ้นมาได้ว่าชีวิตของเธอก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น 

 

 

สวี่ชิงจือที่นั่งบนเก้าอี้ในห้องทำงาน ได้ฟังน้ำเสียงที่ดูสดใสขึ้นอย่างรวดเร็วของเฉินฝานซิง เธอจึงเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง 

 

 

เธอนึกว่าคนหัวรั้นอย่างเฉินฝานซิง คงจะหมดอาลัยตายอยากไปสักพักหนึ่ง 

 

 

เธอเตรียมคำปลอบใจไว้ตั้งเยอะ และเข้าใจดีว่าเหตุผลของคนบางคนอย่างเฉินฝานซิงไม่จำเป็นต้องเข้าใจเสมอไป 

 

 

แต่ว่าทุกคนก็เหมือนกัน 

 

 

เข้าใจเหตุผล แต่พอปัญหาเกิดขึ้นกับตัวไม่มีใครจะมาแบ่งเบาความรู้แทนกันได้ 

 

 

สิ่งที่เธอคาดไว้คือจิตใจของเฉินฝานซิงจะต้องรู้สึกตกต่ำ ดังนั้นน้ำเสียงที่ได้ยินวันนี้จึงที่อยู่เหนือความคาดหมายของเธอไม่ใช่น้อย 

 

 

แต่ว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว 

 

 

“ไม่ใช่แค่ข้าวมื้อเดียวหรอก ถ้าเธอกินจนฟ้าถล่มได้ฉันก็จะเชียร์เต็มที่” 

 

 

“งั้นก็น่าเสียดาย คงทำแบบนั้นไม่ได้ไปสักพัก” 

 

 

เฉินฝานซิงถือโทรศัพท์ออกมาจากห้องน้ำ ท้องฟ้าด้านนอกหน้าต่างได้มืดลงแล้ว 

 

 

“เธอจะไปลาออกจากบริษัทของซูเหิงเมื่อไหร่” 

 

 

สวี่ชิงจือครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงถามขึ้น “ถึงฉันจะอยากให้เธอมาที่นี่เร็วๆ แต่สองวันนี้ฉันก็ไม่ได้ขาดเหลืออะไร” 

 

 

“ฉันแค่อยากให้เธอตัดขาดจากพวกนั้นได้เร็วๆ ฝานซิง ฉันขอทวนสิ่งที่เคยพูดไปนะ….” 

 

 

“อีตาซูเหิงคนนี้ ชาตินี้ทั้งชาติก็อย่าได้ยกโทษให้เชียว ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่เขาที่ความรู้สึกแปดปีคิดจะเทก็เท! แต่คนคนนี้มันใช้ไม่ได้จริงๆ ตั้งแปดปีเชียวนะ แถมยังจะไปสุงสิงกับเฉินเชียนโหรวอีก…ต่ำที่สุด เจ้าคนปลิ้นปล้อนในคราบผู้ดี!” 

 

 

น้ำเสียงของสวี่ชิงจือพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่เพราะการอบรมมาดีจากทางบ้านทำให้เธอไม่สามารถด่าซูเหิงด้วยคำที่หยาบคายได้ 

 

 

เฉินฝานซิงหมองใจเล็กน้อย แปดปี ใครก็รู้ว่าความรู้สึกแปดปีมันไม่ได้ตัดทิ้งกันง่ายๆ แต่ท่าทีที่ซูเหิงมีต่อเฉินเชียนโหรว มันก็ไม่น่าให้อภัยจริงๆ 

 

 

เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ปิดดวงตาเข้าหากันข่มความเจ็บปวดในดวงตานั้นไว้ ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพ่นลมหายใจที่สูดเข้าไปก่อนหน้าออกมาอย่างหนักหน่วง “ฉันเข้าใจแล้ว” 

 

 

“ฉันจะไปลาออกพรุ่งนี้” 

 

 

“…ดี” สวี่ชิงจือนิ่งเงียบไปครึ่งวินาที ก่อนจะเอ่ยขึ้นหนึ่งคำด้วยเสียงแผ่วเบา 

 

 

เนื่องจากสวี่ชิงจือกำลังทำโอทีอยู่ ทั้งคู่จึงไม่ได้คุยอะไรกันมากนักหลังจากนั้นจึงวางสายลงอย่างรวดเร็ว 

 

 

โทรศัพท์ถูกวางลงบนโต๊ะกาแฟ เธอเทน้ำร้อนหนึ่งแก้วแล้วเดินไปที่ริมหน้าต่างทอดมองลงไปยังเมืองที่ถูกชโลมไปด้วยหยาดฝนอย่างไม่ขาดสาย ดวงไฟวาววับถูกกลบทับจนมืดสลัว แม้ว่าจะเจริญเหมือนก่อนแต่เมื่อเทียบกับเมื่อก่อนแล้วทั้งเมืองนั่นเงียบสงบกว่ามาก 

 

 

เธอยืนอยู่เงียบๆ เช่นนั้นอยู่นาน ใบหน้าเกลี้ยงเกลาเต็มไปด้วยเรียบเฉย 

 

 

ในคืนฝนพรำอันเงียบสงัด เป็นเวลาเดียวกับที่ความคิดหลั่งไหลเข้ากมา 

 

 

เฉินฝานซิงคิดว่า เธอจะปลดปล่อยเรื่องที่ซูเหิงทรยศเธอได้อย่างเต็มที่ 

 

 

ปล่อยให้ความเจ็บปวด เสียใจและขื่นขมลุกลาม 

 

 

ทุกข์ใจกับการถูกทอดทิ้ง คร่ำครวญ โศกเศร้าอาลัยอย่างเสียไม่ได้กับรักที่ตายจากไป 

 

 

เธอเตรียมตัวไว้ดีแล้วว่ามันคงเจ็บราวกับหัวใจฉีกขาดจดเลือดไหลออกมาไม่หยุด เธอก็จะปล่อยยอมตัวเองไปสักครั้ง 

 

 

แต่เปล่าเลย 

 

 

มีแค่ร่างกายที่ชาไปหมดเท่านั้น 

 

 

เธอไม่ปฏิเสธว่าเมื่อพูดถึงซูเหิงแล้วไม่รู้สึกอะไรเลยนั้นเป็นเรื่องโกหก แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เธอต้องเผชิญ จุดนั้นแทบจะกลายเป็นจิ๊บจ๊อยไปเลย 

 

 

หากถามถึงเหตุผลเธอเองอาจจะยอมรับได้อย่างไม่เต็มปากนัก 

 

 

บางที… 

 

 

ทุกอย่างอาจเป็นเพราะผู้ชายจอมเผด็จการคนนั้นถลันเข้ามาในชีวิตเธอ 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] มีข้าวกิน มีความหมายว่าได้รับผลประโยชน์หรือแสดงอาการพอใจกับสิ่งที่ได้รับ