บทที่ 30 หาเจอ (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งเดินเข้าใกล้อารามอย่างช้าๆ อยู่ห่างยี่สิบก้าวก็หยุดนิ่ง

มองไปยังทิศทางอารามอย่างละเอียด

มองผ่านประตูที่ถล่มเข้าไปด้านใน เห็นได้อย่างชัดเจนว่า เหยียนไคกำลังถือกระบี่เหล็ก กดดันเงาสีขาวที่พร่ามัวไม่ชัดเจนกลุ่มหนึ่งให้ถอยหลังไปติดต่อกัน

แค่เพียงไม่นาน เงาสีขาวนั้นก็ถูกแทงหนึ่งกระบี่อย่างดุดัน ส่งเสียงร้องโหยหวน เสียงนั้นเหมือนเสียงเด็กผู้หญิง

จากนั้นก็ล้มลงกับพื้น หายไปทันที

เหยียนไคมีสีหน้าอึมครึม ค่อยๆ เก็บดาบ ไอร้อนสีขาวค่อยๆ ระเหยขึ้นบนศีรษะ

บริเวณนี้อยู่ใกล้ทะเลน้ำแข็งทางเหนือ อีกทั้งยังอยู่ในส่วนลึกของภูเขา อากาศหนาวเย็นจนเป็นน้ำแข็ง แค่พ่นลมเล็กน้อยก็มีไอขาวออกมา ยิ่งอย่าว่าแต่หลังการต่อสู้ที่รุนแรงเช่นนี้

เหยียนไคเก็บกระบี่ มองเห็นพวกลู่เซิ่งที่รุดมา

“เป็นคุณชายตระกูลลู่นำคนมาแล้ว”

ต้วนหรงหรงก่อนหน้านี้หลบอยู่ในมุมหนึ่งมาโดยตลอด ตอนนี้เห็นปีศาจล่อลวงถูกจัดการทิ้งแล้ว ก็มุดออกมาอย่างเงียบๆ

“อันตรายจริงๆ ปีศาจล่อลวงที่แล้วมาไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นกลุ่ม คิดไม่ถึงที่นี่ถึงกับเจอปีศาจล่อลวงตั้งสามตัว พวกเราเองก็โชคร้ายเกินไป”

นางนึกย้อนถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า ตอนนี้อกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง

“ไม่เป็นไร ต่างจัดการทิ้งแล้ว” เหยียนไคเอ่ยอย่างสงบนิ่ง “ไปทักทายคุณชายเซิ่งกันเถอะ ทางใต้ดินของอารามแห่งนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับคนที่หายตัวไป”

“เรื่องนี้เมื่อจัดการเสร็จ คงมีค่าเดินทางไว้ใช้ในระยะยาวมากแล้ว” ต้วนหรงหรงพลันอุทานอย่างยินดีคำหนึ่ง ตบๆ ฝุ่นบนตัว เดินไปหาพวกลู่เซิ่ง

เหยียนไคส่ายหน้า ใบหน้าฉายแววระอา ติดตามไปอย่างจนปัญญา

ลู่เซิ่งบนใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม เดินเข้าไปหาด้วยตัวเอง

“เต้าจ่าง…”

เขาเพิ่งกล่าววาจา ก็ได้ยินเสียงเหมือนผ้าฉีกขาดเสียงหนึ่ง

แคว่ก!

เงาสีขาวสายหนึ่งพุ่งมาจากมุมมืดด้านข้าง โถมเข้าใส่ลู่เซิ่งและพวกผู้คุ้มกันด้านหลัง

“แย่แล้ว! มันจะสิงร่าง!”

เหยียนไครู้ว่า ปีศาจล่อลวงนั้นรับมือยาก แตกต่างจากปีศาจตัวอื่น มันเข้าสิงร่างได้ หากเกิดมันสิงร่างได้แล้ว ความสามารถมากมายที่เขาเอาไว้สะกดปีศาจก็จะสิ้นประสิทธิภาพ ได้แต่อาศัยการจัดการแบบเผชิญหน้าเท่านั้น

และหลังจากปีศาจล่อลวงสิงร่างแล้ว จะยกระดับคุณสมบัติแต่ละด้านของคนที่ถูกสิงร่างขึ้นอย่างใหญ่หลวงในระยะเวลาสั้นๆ กระบวนท่านี้โหดเหี้ยมถึงขีดสุด

ถ้าเขาสภาพสมบูรณ์ดี ไม่เคยกลัว แต่ตอนนี้ลู่เซิ่งพาคนจำนวนมากขนาดนี้มา สำหรับปีศาจล่อลวง คนเหล่านี้เป็นเป้าหมายสิงร่างที่ดีที่สุด

ชายฉกรรจ์เลือดลมแข็งแกร่งเหล่านี้ พอดีมอบโอกาสสิงร่างอันสมบูรณ์แบบให้แก่ปีศาจล่อลวง

ตอนนี้เขาหมดแรง พลังทรุดโทรม ยันไม่ไหวอยู่บ้าง เกิดถูกปีศาจล่อลวงสิงร่างสำเร็จ เช่นนั้นสภาพการณ์จะอันตรายถึงขีดสุดแล้ว

“รีบหลบเร็ว!” เหยียนไคภายใต้เลือดลมที่พลุ่งพล่าน เร่งพุ่งตามเข้าไป

แต่ว่าต่อให้เขาเร็วกว่านี้ สุดท้ายก็ไม่ใช่คู่มือของปีศาจล่อลวง

ได้ยินเสียงดังฟิ้ว เงาสีขาวสายนั้นพุ่งเข้าหาลู่เซิ่งที่เลือดลมแข็งกล้าที่สุดเป็นอันดับแรก

เหยียนไคตื่นตระหนก คนอื่นๆ ยังดี ถ้าหากว่าลู่เซิ่งเกิดเรื่อง เช่นนั้นพวกเขาอยู่ในเมืองเก้าประสานแห่งนี้ คงมีความลำบากมากจริงๆ แล้ว

ถึงจะเป็นแค่เวลาหนึ่งวัน แต่ในหนึ่งวันสั้นๆ พวกเขาสัมผัสกับคนหลายระดับตั้งแต่บนถึงล่าง เข้าใจอย่างล้ำลึกว่า ตระกูลลู่มีตำแหน่งอะไรในเมืองเก้าประสานแห่งนี้

เท้าเขาขยับ ก้าวเท้าท่าประหลาด ความเร็วเพิ่มขึ้น หมายจะขัดขวางเงาสีขาวก่อนที่มันจะพุ่งไปถึงร่างของลู่เซิ่ง

เคร้ง!

พริบตานั้นเกิดประกายสีขาวสายหนึ่ง

ลู่เซิ่งเบิกสองตา

กระแสอากาศรอบๆ ตัวสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เสียงเสือคำรามสะท้านหู

เขาชักดาบยาวออกมาจากด้านหลังดุจสายฟ้าแลบ ฟันลงไปด้านหน้าเป็นเส้นตรง

ประกายดาบวูบวาบ พร้อมกับแว่วเสียงคำรามของเสือร้ายที่เหี้ยมหาญ

โฮก!

ฉูด!

เงาสีขาวนั้นถูกฟันไปดาบหนึ่ง กระเด็นออกไปเหมือนผ้าขาด พลิกกลิ้งกลางอากาศหลายตลบ จึงค่อยส่งเสียงซ่าแล้วหายไป

รอบๆ สงบลง ลู่เซิ่งค่อยๆ เก็บดาบ

กล้ามเนื้อทั่วร่างของเขาอยู่ในสภาพเส้นเลือดฝอยพองตัว ทั่วร่างแผ่ซ่านกลิ่นอายดุร้ายหลายสาย เหมือนกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง

เหยียนไคหยุดเท้าลงกะทันหัน ลืมตาโต มองไปบริเวณที่ปีศาจล่อลวงหายไป จากนั้นมองเลือดลมที่เต็มเปี่ยมพลุ่งพล่านทั่วร่างของลู่เซิ่ง กล่าววาจาไม่ออกชั่วขณะ

ต้วนหรงหรงจุ๊ปาก สองตาเป็นประกาย เดินไปถึงข้างกายเขา

“พี่เหยียนไค คุณชายเซิ่งผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย…”

ต้วนหรงหรงเพิ่งเข้าสู่วิถีนี้ ไม่เข้าใจความนัยที่แท้จริงของดาบเมื่อครู่

แต่เหยียนไคกลับไม่เหมือนกัน เขามองลู่เซิ่งอย่างงุนงง จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินมาถึงตรงหน้าของเขา ก็ยังคงกล่าววาจาไม่ออก

“เต้าจ่างลำบากแล้ว ถ้าหากไม่ใช่ปีศาจล่อลวงตัวเมื่อครู่ถูกเต้าจ่างเล่นงานสาหัสก่อนหน้า ข้าน้อยไม่อาจจัดการได้ด้วยดาบเดียวเช่นกัน” ลู่เซิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“… คุณชายเซิ่ง… เกรงใจแล้ว”

เหยียนไคส่ายหน้ารู้สึกตัวขึ้น

“กล่าววาจาจากใจจริง ข้าเคยเห็นคนกำจัดวิญญาณเหมือนอย่างข้า และเคยเห็นความสามารถอื่นๆ จัดการปัญหาอย่างปีศาจล่อลวงมาก่อน

แต่อย่างคุณชาย ใช้ปราณภายในอันเหี้ยมหาญอย่างเดียว สามารถจัดการปีศาจล่อลวงได้ นี่ยังเป็นครั้งแรก…”

เขาพูดไปพูดมา นึกถึงคำพูดที่ตนกล่าวก่อนหน้า เป็นวาจาทำนองว่าวรยุทธ์ไม่มีผลต่อปีศาจล่อลวง

ตอนนี้อดยิ้มอย่างขื่นขมไม่ได้แล้ว

“อ้อ?” ลู่เซิ่งประหลาดใจอยู่บ้าง

เหยียนไคกล่าวด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ไร้ความหงุดหงิดเล็กน้อยก่อนหน้าไปแล้ว จึงอธิบายอย่างละเอียด

“วรยุทธ์ความจริงไม่ใช่ไม่มีผล หากแต่ต้องมีแค่ปราณภายในที่เป็นหยางแกร่งสุดขีดหรือมีคุณสมบัติพิเศษเท่านั้นจึงจะสร้างความเสียหายส่วนหนึ่งต่อปีศาจได้

“แต่ความเสียหายอย่างนี้… ยกตัวอย่าง ถ้าใช้ความสามารถของเราออกแรงหนึ่งส่วน สามารถสังหารปีศาจล่อลวงได้หนึ่งตัว อย่างนั้นปราณภายในธาตุหยางจำเป็นต้องใช้ห้าสิบส่วน!”

พอพูดแบบนี้ ลู่เซิ่งก็กระจ่างแล้ว

และก็กระจ่างว่าทำไมเหยียนไคถึงดูถูกยอดฝีมือวรยุทธ์ที่ว่ากัน ความแตกต่างด้านประสิทธิภาพมากเกินไปแล้วจริงๆ

“แต่ดาบเมื่อครู่นั้น ด้านหนึ่งเป็นปีศาจล่อลวงถูกข้าทำร้ายไปก่อน อีกด้านหนึ่งเป็นปราณภายในที่คุณชายเซิ่งท่านใช้ออกมา มีธาตุที่กดข่มปีศาจล่อลวงอยู่บ้าง จึงเกิดผลหนึ่งดาบคร่าชีวิต”

เหยียนไคอธิบาย

อวี๋ฮั่นที่ติดตามลู่เซิ่งมา ยังมีผู้คุ้มกันในคฤหาสน์ที่เหลือ ต่างเห็นลู่เซิ่งฟันหนึ่งดาบโดนเงาสีขาวที่ล่องลอยนั้นด้วยตาตัวเอง

ฉับพลันพวกเขาที่ตอนแรกยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง กลับมีความกล้าเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

อีกทั้งแต่ละคนยังใช้สายที่ยำเกรงมองไปยังลู่เซิ่ง

ถึงแม้นักพรตผู้นั้นจะร้ายกาจ สามารถฆ่าเงาสีขาวที่เหมือนวิญญาณเหล่านั้นได้ง่ายดาย แต่คุณชายใหญ่ของตนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน

อวี๋ฮั่นก่อนหน้านี้ยังมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง โดยเฉพาะตอนที่ปีศาจตัวนั้นพุ่งเข้ามา เขาตกใจจนเหงื่อกาฬไหลออกมาจากกลางหลัง

ยังดีที่ตอนนั้นไม่ได้สติ ยังยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่ได้ทำตัวเสียอาการ

แต่ว่าผู้คุ้มกันไม่น้อยด้านหลังเขา ตอนนั้นมีคนมากกว่าครึ่งหมุนตัวหนีกลับไป คบเพลิงกับดาบกระบี่ที่ได้รับความเสียหายล้วนโยนลงกับพื้น

ลู่เซิ่งหันกลับไปมองพวกผู้คุ้มกันด้านหลัง แล้วหันไปกล่าวกับอวี๋ฮั่น

“เจ้าจัดการที่นี่ ค้นหารอบๆ ดูว่ามีคนอื่นอีกหรือไม่ เต้าจ่างตอนนี้ที่นี่ปลอดภัยแล้วกระมัง”

เขาหันกลับมาถามเหยียนไค

ใบหน้าชราของเหยียนไคแดงก่ำ นึกถึงความประมาทของตนเมื่อครู่ พยักหน้าโดยแรง

“วางใจ ปลอดภัยแล้ว เมื่อครู่เป็นเพียงปลาหลุดลอดแห”

ต้วนหรงหรงลืมตาโตมองลู่เซิ่งอย่างฉงนอยู่ด้านข้าง

เหยียนไคกล่าวต่อ

“ด้านในมีทางใต้ดิน ตอนคุณหนูจวนเฟิงพบที่นี่ คิดว่าด้านในอาจซ่อนคนเป็นๆ อยู่”

“คุณหนูจวนเฟิงเล่า” ขณะลู่เซิ่งกำลังถาม ก็เห็นจวนเฟิงเดินออกมาจากด้านในอาราม

“ไปเถอะ เข้าไปดูกัน”

ลู่เซิ่งกำด้ามดาบแน่น เดินไปยังประตูอาราม

เหยียนไคกับต้วนหรงหรงติดตามไป เดินแซงหน้าลู่เซิ่งสองสามก้าว นำทางเข้าไปในประตูใหญ่

อารามเป็นสีเทาอมเหลือง มีทั้งหมดสามห้องด้วยกัน

โถงใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง ประตูใหญ่หายไปแล้ว เพดานก็รั่วเป็นรูใหญ่รูหนึ่ง เผยให้เห็นเศษหญ้าและกองหินกระจัดกระจายอยู่ด้านใน

ลู่เซิ่งตามพวกเหยียนไคเข้าไปในโถงใหญ่ บนบานประตูที่อยู่ตรงข้ามวาดรูปไท่จี๋สีดำขาวรูปหนึ่ง

ด้านหน้ารูปไท่จี๋ตั้งด้วยเทวรูปหินองค์หนึ่ง เพียงแต่ส่วนหัวถูกคนฟันไปครึ่งหนึ่ง แยกแยะไม่ออกว่าเป็นเทพเจ้าองค์ใด

เหยียนไคเดินไปถึงด้านหน้าเทวรูป ใช้เท้าเขี่ยกองหญ้าบนพื้นรอบหนึ่ง

ตึง

มีเสียงกังวานดังขึ้นเสียงหนึ่ง พื้นถูกเปิดเป็นช่อง ด้านล่างมีทางใต้ดินรูปสี่เหลี่ยมจุตรัสที่กว้างเท่าคนหนึ่งคนเข้าไปได้

ในช่องยังได้ยินเสียงลมหวีดหวิว ยืนที่ช่องทางเข้า เหมือนกับได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่ด้านใน น่ากลัวยิ่ง

จวนเฟิงที่ยืนอยู่ทางเข้าใต้ดินกล่าวว่า

“ทางใต้ดินนี้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเข้าไปแล้วรอบหนึ่ง ด้านใน… มีศพคนตายอยู่ส่วนหนึ่ง และมีคนเป็นอยู่ส่วนหนึ่ง…”

นางพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าฉายแววไม่น่าดู คล้ายไม่ทราบว่าจะบรรยายสภาพด้านในอย่างไร

ลู่เซิ่งมองไปยังเหยียนไคอีก

เต้าจ่างผู้นี้กลับส่ายหน้ายิ้มหนักใจ

“สถานที่แห่งนี้ข้าได้ยินคุณหนูจวนเฟิงบรรยายให้ฟังแล้ว ท่านได้แต่เข้าไปดูด้วยตังเองแล้ว ท่านวางใจ ด้านในไม่มีวิญญาณร้ายแล้ว ไม่มีอันตราย”

ลู่เซิ่งจิตใจเกิดมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีชนิดหนึ่ง เขากำด้ามดาบแน่น ข่มความกระสับกระส่ายในใจลง ค่อยๆ เดินเข้าไปตามบันไดหินลงไปใต้ดิน

จวนเฟิงก็ตามเข้าไปด้วย

นอกจากทั้งสองคน คนที่เหลือต่างไม่ได้เข้าไป

ในทางใต้ดินตอนเพิ่งเริ่มแคบไปบ้าง เดินไปได้สิบกว่าก้าวเลี้ยวโค้งรอบหนึ่ง ก็เป็นประตูเหล็กสีดำบานหนึ่ง

ประตูอ้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวเบาๆ จากด้านใน

ลู่เซิ่งเหลือบมองจวนเฟิงแวบหนึ่ง

“เป็นที่นี่ คนที่หายตัวไปสมควรอยู่ที่นี่หมด”

จวนเฟิงกล่าวอย่างจริงจัง

ลู่เซิ่งค่อนข้างสนใจในตัวจวนเฟิงผู้นี้

มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ถึงได้เปลี่ยนหญิงสาววัยแรกแย้มคนหนึ่งเป็นยอดฝีมือที่เรียบเฉย เหมือนกับพรานมืออาชีพเช่นนี้ได้

เหมือนกับการปรากฏของปีศาจล่อลวงก่อนหน้า หลังจากจวนเฟิงผู้นี้โผล่มา คล้ายมิได้แตกตื่นหวาดกลัว บางทีก่อนหน้าอาจเคยเห็นเหตุการณ์คล้ายๆ กัน

เขาเพ่งมองจวนเฟิงอย่างตั้งใจ

“คุณหนูจวนเฟิงสนใจเข้าร่วมตระกูลลู่ของข้า เพื่อให้กลายเป็นที่นับถือของผู้คนหรือไม่”

“ไม่” จวนเฟิงตอบอย่างเรียบง่าย

“เอาเถอะ” ลู่เซิ่งทราบว่าด้านตนนอกจากเงินแล้ว ก็ไม่มีทรัพยากรอันใดที่จะใช้ดึงดูดคนมีความสามารถเช่นนี้ได้ จึงไม่เอ่ยปากอีก

เขายื่นมือออกไปผลักประตูเหล็ก

จากนั้นมีเสียงเอี๊ยดๆ ดังขึ้นตอนประตูเหล็กถูกับพื้น ลู่เซิ่งก็ค่อยๆ มองเห็นภาพด้านหลังประตูชัดเจน

ในห้องศิลาที่กว้างยาวไม่เกินสิบก้าวห้องหนึ่ง มุมกำแพงกองเต็มไปด้วยศพคนตายที่เปล่าเปลือยกระจัดกระจายไปทั่ว

ในนี้มีทั้งบุรุษ สตรี มีทั้งชราและเด็ก

นอกจากศพคนตายแล้ว ในห้องลับยังเหลือคนเป็นอีกสามคน

ทั้งหมดเป็นสตรีสองคนบุรุษหนึ่งคน ดูเหมือนร่างกายเรียกได้ว่ากำยำแข็งแรง แสดงว่าเป็นประเภทที่ยามปกติมักออกกำลัง

สิ่งที่ทำให้ลู่เซิ่งจิตใจหนักอึ้งคือ สตรีคนหนึ่งในนี้คือลู่ชิงชิง

ลู่ชิงชิงร่างกายไร้เสื้อผ้า คุกเข่าหมอบอยู่บนพื้น ผมยาวสยายลงมา ใบหน้าออกขาวอมฟ้า

ได้ยินการเคลื่อนไหว นางเงยหน้าขึ้นอย่างซึมเซา ตาโตที่เดิมปราดเปรียว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นมืดสลัวไร้ประกาย

น้ำลายไหลลงมาตามมุมปากของนาง เป็นลักษณะคนเสียสติโดยสิ้นเชิง

“ชิงชิง!” ลู่เซิ่งขึ้นหน้าไปสองก้าว ถอดเสื้อตัวนอกออกไปคลุมนางไว้ “ชิงชิง ตื่นสิ! ตื่นสิ!”

เขายื่นมือตบหน้าลู่ชิงชิงสองรอบ

แต่ไร้ผล

ดวงตาของลู่ชิงชิงยังเป็นเหมือนเดิม

จวนเฟิงเห็นดังนั้น ดวงตาปรากฏความเศร้าสร้อยแวบหนึ่ง

“ไม่มีประโยชน์ นางฟั่นเฟือนแล้ว… ปราณหยินเข้าสู่สมอง ไม่มีปราณหยางสนับสนุน สมองอย่างน้อยมีครึ่งหนึ่งไร้พลังชีวิต ที่อยู่รอดมาได้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว นี่เป็นคำพูดที่เต้าจ่างท่านนั้นเอ่ย”

ลู่เซิ่งจิตใจร่วงหล่นสู่ก้นเหว

อุ้มลู่ชิงชิงลุกขึ้นยืน มองสองคนที่เหลือ

หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีต่างหน้าตาหล่อเหลาสง่างาม ร่างกายเรียกได้ว่างดงาม แสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ที่ปีศาจล่อลวงที่อยู่ที่นี่ปล่อยไว้ไม่ทราบว่ามีประโยชน์อันใด

………………………………………….