บทที่ 31 ระเบิด (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ขณะกอดที่ลู่ชิงชิง ลู่เซิ่งจิตใจซับซ้อนถึงขีดสุด

เขากับดรุณีนางนี้แม้เป็นพี่น้องกัน แต่ไม่มีความรู้สึกผูกพันกันมากเท่าใด

ข้อแรก ปกติลู่ชิงชิงมักฝึกฝนวรยุทธ์อยู่ด้านนอก ข้อสองเขาไม่ใช่ลู่เซิ่งคนเดิม

เพียงแต่เวลานี้ ในฐานะพี่ชาย เขาในที่สุดก็แสดงความเจ็บปวดออกมา

ลู่เซิ่งพาลู่ชิงชิงไปตรวจสอบห้องใต้ดินเล็กๆ แห่งนี้พร้อมกับจวนเฟิง นอกจากศพคนตายกับคนฟั่นเฟือนที่ซึมเซาสามคน ก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นเหลืออยู่อีก

ทั้งสองนำคนฟั่นเฟือนทั้งสามออกมาจากห้องใต้ดิน เห็นเหยียนไคกับต้วนหรงหรงรออยู่ด้านนอก นักพรตกำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้าแดงเรื่อ มุมปากเหลือคราบโลหิตสายหนึ่ง บนพื้นยังมีโลหิตสีดำที่เพิ่งกระอักออกมา

“ไม่ต้องห่วง เป็นเลือดคั่งเท่านั้น”

เหยียนไคกล่าวเสียงเรียบ

“คุณหนูลู่ชิงชิงได้รับบาดเจ็บเพราะปราณหยิน ที่รอดมาได้ก็โชคดีมากแล้ว”

“ข้า…”

ลู่เซิ่งอ้าปาก ยังไม่พูดอะไร

เขารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังอยู่ในสภาพที่อันตรายยิ่ง

เมื่อครู่นี้ ขณะเขากอดลู่ชิงชิงออกมา พลันรู้สึกได้

ตัวละครที่เขาแสดงอยู่ในปัจจุบัน มิใช่ลูกหลานขุนน้ำขุนนางที่เป็นภาพเบื้องหลังในเรื่องภูตผีสมัยโบราณหรอกหรือ

สถานการณ์ในตอนนี้ก็ใช่

ผีล่อลวงซ่อนตัวในเมืองเก้าประสาน โดยไม่มีใครทราบร่องรอย

ตระกูลลู่ของเขาอาจเป็นบ่อปลาถูกลูกหลงได้ตลอดเวลา

ในฐานะคนธรรมดาคนหนึ่ง สิ่งที่เขาพึ่งพาได้เพียงอย่างเดียว ก็คือเครื่องมือปรับเปลี่ยนและวรยุทธ์บนร่าง

ขาดความสามารถในการรับมือผีล่อลวง และเรื่องราวแปลกประหลาดเช่นนี้จริงๆ

ผีล่อลวงตัวหนึ่งทำให้ต้องต่อสู้สายตัวแทบขาด ถ้าหากมาสองตัว เช่นนั้นก็ยุ่งยากจริงๆ แล้ว

คิดถึงตรงนี้ ความเศร้าบนใบหน้าลู่เซิ่งค่อยๆ กลายเป็นความหนักอึ้ง

“น้องสาวข้าอยู่ในสภาพแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะผีล่อลวง ไม่ทราบว่าเต้าจ่างบอกได้หรือไม่ว่า มีความสามารถอันใดสามารถทำให้พวกเราคนธรรมดา สามารถรับมือผีล่อลวงได้

หรือว่ายังมีสถานที่ใด มีใครที่ขอความช่วยเหลือได้”

คำพูดนี้ของเขาด้านหนึ่งไต่ถามความสามารถอื่นๆ ด้านหนึ่งเป็นการถามหยั่งเชิง ดูว่ามีกลุ่มที่รับมือสิ่งลี้ลับเช่นปผีล่อลวงได้หรือไม่

“นี่… ข้ารอบรู้จำกัด คนธรรมดายากจะต่อกรกับพวกภูตผี ข้อนี้ไม่ต้องสงสัย” เหยียนไคเรียบเรียงคำพูด มองลู่ชิงชิงด้วยความเสียดาย ก่อนจะกล่าวต่ออีก

“ส่วนกลุ่มช่วยเหลือที่เชิญได้… พวกเราคนกำจัดวิญญาณเป็นประเภทหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งร่องรอยไม่แน่นอน

แนะนำคุณชายลู่ติดป้ายรับสมัครป่าวประกาศต่อไป บางทีอาจโชคดี เจอคนปราบวิญญาณหลายคนมาช่วยเหลือ”

ลู่เซิ่งฟังจบ ไตร่ตรองเล็กน้อย ถามอีกว่า

“ไม่ทราบเต้าจ่างรับศิษย์หรือไม่”

เขาไม่คิดกราบอาจารย์เอง แต่วางแผนให้เด็กๆ ในตระกูลลู่เป็นศิษย์เหยียนไค เช่นนี้จะสามารถได้รับพลังป้องกันตัวในกลียุคที่มีวิกฤติการณ์รอบด้าน ทั้งได้กระชับความสัมพันธ์ไปด้วย

พูดถึงการรับศิษย์ เหยียนไคพลันแสดงสีหน้าลำบากใจ

“ไม่ปกปิดคุณชาย คนกำจัดวิญญาณ ความจริงส่วนใหญ่เป็นพรสวรรค์ นี่ไม่มีวิธีบำเพ็ญ วิชาฝึกจิตที่ข้าบำเพ็ญ ถ้าคนทั่วไปฝึกฝน กลับมีอันตราย

ดังนั้นจนถึงตอนนี้ จึงตามหาศิษย์คนที่สองที่จะมารับถ่ายทอดวรยุทธ์โดยตลอด น่าเสียดาย…”

“พรสวรรค์หรือ” ลู่เซิ่งใบหน้าปรากฏความผิดหวัง

“มิผิด ที่ข้าสะกดผีได้ สิ่งที่อาศัยเป็นหลักคือเลือดของตัวเอง

เลือดของข้าหลังจากผ่านการปรับแต่งด้วยทักษะอันแน่นอนแล้ว สามารถมีผลสะกดผีได้ นี่เป็นหนทางเพียงหนึ่งเดียว คนกำจัดวิญญาณจำนวนมากความจริงอาศัยเลือดของตัวเองทั้งนั้น”

เหยียนไคไม่ได้ปิดบังข้อนี้

“เลือด…” ลู่เซิ่งในที่สุดก็เข้าใจแล้ว

เหยียนไคคนผู้นี้ไม่มีเหตุผลหลอกลวงเขา พอเห็นต้วนหรงหรงที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าเห็นด้วยตลอดเวลา ดูเหมือนคนกำจัดวิญญาณจะอาศัยเลือดสะกดผีจริงๆ

“หรือว่าไม่มีวิธีการอื่นแล้ว” ลู่เซิ่งถอนใจยาวคำหนึ่ง

เหยียนไคเห็นดังนั้น มองไปที่ลู่ชิงชิงในอ้อมอกลู่เซิ่ง ดวงตาในที่สุดปรากฏความยอมรับไม่ได้

“วิธี… ข้าไม่มีแล้ว ไม่มีคุณสมบัติก็ไม่ได้…

“แต่ว่าบนโลกใบนี้ คนธรรมดามีชีวิตอยู่มากขนาดนี้ ทั้งยังทวีจำนวนมากเรื่อยๆจะต้องมีขุมกำลังคอยปกป้องผู้คน ต่อสู้กับภูตผีในที่ลับแน่ๆ

“พวกเราคนกำจัดวิญญาณเป็นหนึ่งในนี้ คุณชายลู่ถ้าตั้งใจ สามารถสืบหาอย่างละเอียด บางทีอาจเจอเงื่อนงำบางส่วน”

ลู่เซิ่งพยักหน้า

“เฮ้อ.. ได้แต่ทำเช่นนี้แล้ว อย่างนั้นไม่ทราบว่าเต้าจ่างขายสิ่งที่เอาไว้สะกดผีส่วนหนึ่งให้แก่ข้าน้อยได้ไหม”

เหยียนไคส่ายหน้าเล็กน้อย

“ขออภัย มิใช่ข้าไม่ยินดี แต่ว่าสิ่งที่สร้างเลือดของข้า มีแค่ข้าที่ใช้ได้ มอบให้คนภายนอกจะไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นข้าไม่ต้องให้หรงหรงซ่อนตัวแล้ว”

ลู่เซิ่งเชื่อว่าเหยียนไคไม่หลอกเขา ไม่เช่นนั้นเขาไม่มีทางพูดเรื่องเลือดออกมาอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ เกิดเจอคนเลววางยา มัดเขาใช้เป็นโคเลือด เจาะเลือดทุกวัน ไหนเลยไม่ใช่อันตรายสุดขีด

ถอนหายใจอีกครั้ง ลู่เซิ่งกอดลู่ชิงชิงในอกแน่น จากนั้นเดินออกจากอาราม ขึ้นม้าพร้อมกับพวกเหยียนไค

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เต้าจ่างพวกเรากลับไปพร้อมกันเป็นอย่างไร”

“ไม่ต้องแล้ว ข้ายังจะตรวจสอบที่นี่สักหน่อย บางทีอาจพบเบาะแสผีล่อลวงตัวแรกสุด ผีล่อลวงในเมืองเก้าประสานมีไม่น้อย จะต้องเจอต้นตอของตัวแรกสุดแน่ ไม่อย่างนั้นปล่อยเวลาผ่านไป พลังของผีล่อลวงตัวแรกสุดจะยิ่งมายิ่งแข็งแกร่ง”

เหยียนไคปฏิเสธ

“เช่นนั้นถ้าเต้าจ่างมีความต้องการใด มาตระกูลลู่ของข้าได้ตลอด ข้าลู่เซิ่งจะต้องลงแรงช่วยเหลือแน่นอน! ค่าตอบแทนอย่างอื่น ทั้งสามท่านโปรดไปเอาที่ตระกูลลู่”

ลู่เซิ่งมือหนึ่งถือบังเหียน บังคับม้า พาคนฟั่นเฟือนกับผู้คุ้มกันทั้งหมดรุดไปทางที่มาอย่างรวดเร็ว

“จริงด้วยคุณชายเซิ่ง เมื่อครู่ท่านสังหารผีล่อลวงไปตัวหนึ่ง บนร่างเหลือกลิ่นอายไม่น้อย ถ้าในเมืองมีผีล่อลวงตัวอื่นเข้ามาใกล้ จะต้องเลือกจู่โจมสังหารท่านก่อน ถึงขั้นเป็นไปได้ว่าจะปรากฏหัวหน้าผีล่อลวง โปรดระวังตัวด้วย ถ้ามีความจำเป็น พยายามหาคนแจ้งให้ข้ารู้”

เหยียนไคพลันกล่าวเสียงดังเป็นครั้งสุดท้าย

ลู่เซิ่งได้ยิน จิตใจตึงเครียด

“ขอบคุณเต้าจ่าง! ขอบคุณแม่นางจวนเฟิง”

เขาโบกมือไปด้านหลังแสดงความขอบคุณ

ทุกคนขี่ม้ากลับตามทางเดิม

ทางภูเขาคดเคี้ยว เขาจึงเปลี่ยนไปใช้ม้าเร็ว อวี๋ฮั่นอยู่ด้านข้างลู่เซิ่ง อารักขาตลอดเวลา

ผู้คุ้มกันคนอื่นๆ เพราะก่อนหน้านี้ตกใจ ตอนนี้จิตใจสับสน ยังไม่สงบในขบวนนอกจากเสียงฝีเท้าม้าและเสียงหายใจ ก็ไม่มีเสียงอย่างอื่นอีก

ลู่เซิ่งคิดอ่านในใจ

‘หัวหน้าผีล่อลวง! ผีล่อลวงตัวหนึ่งเราเกือบจัดการไม่ได้ หัวหน้าผีล่อลวง ฟังชื่อก็ทราบว่าแข็งแกร่งกว่าตัวก่อนหน้านี้แน่’

เขาเกิดความรู้สึกคับขันในใจอีกครั้ง

เดิมนึกว่าตนอย่างไรก็มีพลังป้องกันตัวเองเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าพอเหยียนไคพูดเช่นนี้ จึงค่อยทราบว่าตนเองยังอยู่ในสภาพที่อันตรายสุดขีด

‘การเคลื่อนไหวในเมืองเก้าประสานมีความแปลกอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้้ให้ขุมกำลังทั้งเมืองหาคนหาสิ่งของอันใด ตอนนี้เกิดผีล่อลวงจำนวนมากถึงเพียงนี้ ถ้าหากบอกว่าสองเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกัน เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด’

ลู่เซิ่งขบคิด

‘ความสามารถที่สามารถยกระดับพลังได้ในตอนนี้ของเรา มีแค่วิชาทมิฬพิฆาตที่ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกหนึ่งระดับ ที่เหลือไม่มีวิธีค้นหาหนทางอันใด’

เขาขมวดคิ้วขึ้น

ลู่ชิงชิงที่ซึมเซาในอ้อมอกเห็นเขาขมวดคิ้ว ยื่นมือไปลูบขนคิ้วของเขาเงียบๆ ส่งเสียงหัวเราะออกมา

ลู่เซิ่งกดมือของลู่ชิงชิงไว้ ใคร่ครวญในใจ

สภาพที่เขาเผชิญในปัจจุบันอันตรายยิ่ง

ตระกูลลู่มีทรัพย์สมบัติมากมาย ในเมืองเก้าประสานเกี่ยวพันถึงหลายด้านและธุรกิจจำนวนมาก ไม้ใหญ่เรียกลม ในบ้านเกิดเรื่องอันใด จะแพร่กระจายไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็วทันที

เรื่องที่มีเสียงร้องไห้กลางดึกถูกจัดการ สมควรแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

‘ในเมื่อมีคนรู้เรื่องผีล่อลวง อย่างนั้นเป้าหมายของคนระดับนั้นคืออะไร

พวกเหยียนไคมาได้ประจวบเหมาะเช่นนี้ ในบ้านเพิ่งติดประกาศไปไม่กี่วัน ก็เรียกมาหาได้แล้ว

บางทีเบื้องหลังอาจมีขุมกำลังหนึ่งกำลังแสดงความสามารถอยู่’

คุณสมบัติของเลือดที่เหยียนไคพูดถึง เขาเชื่อ พลังกำจัดภูตผีชนิดนั้นจะต้องมีเลือดพิเศษถึงจะใช้ได้ นี่อาจเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นสำหรับการก้าวสู่ระดับชั้นที่สูงกว่าอีกขั้น

ระหว่างขี่ม้ากลับมา ลู่เซิ่งไต่ตรองตลอดทาง

พอเข้าเมือง กลับถึงคฤหาสน์ลู่ เขาค่อยสงบจิตใจ พลิกตัวลงจากหลังม้า

วาจาของเหยียนไคทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง

ไร้คุณสมบัติ

เขาเป็นเพียงคนธรรมดาในคำพูดของเหยียนไค

ถึงแม้ยึดตามคำพูดของเหยียนไค คนทั่วไปที่บรรลุถึงระดับเช่นเขาได้ ก็ร้ายกาจสุดขีดแล้ว

แต่ลู่เซิ่งรู้ว่า ความแตกต่างก็คือความแตกต่างอยู่ดี

คุณสมบัติกำหนดให้เขามี ช่องว่างอันมหึมาเส้นหนึ่งระหว่างระดับชั้นนั้น และกำหนดให้เขาอยู่ในสภาวะอ่อนแอตอนเผชิญกับภูตผีในอนาคต

ลงจากหลังม้า ลู่เซิ่งเห็นมารดารองติดตามอยู่ด้านหลังบิดาลู่เฉวียนอัน ทั้งก้าวเดินทั้งวิ่งเหยาะตามออกมา ตอนเห็นลู่ชิงชิงในอ้อมอกเขา มารดารองใบหน้าดั่งปลดภาระที่หนักอึ้งไว้

ลู่เซิ่งจิตใจเคร่งเครียด

“ส่งคนมา นำคุณหนูกลับไปอาบน้ำพักผ่อนที่ห้องก่อน”

เขาพูดเสียงดัง

เรียกหญิงรับใช้ที่แข็งแรงหลายคนมารับตัวลู่ชิงชิงไป

ลู่เซิ่งออกคำสั่งอีกหลายประโยค ให้คนนำคนฟั่นเฟือนสองคนนั้นเข้าไปอาบน้ำ จัดหาที่อยู่ให้เช่นกัน

ลู่เฉวียนอันและมารดารองหลิวชุ่ยอวี้ต่างมองความผิดปกติออก ไม่เพียงแต่เห็นคนฟั่นเฟือนที่ไม่รู้จักสองคน

สิ่งสำคัญคือ ลู่ชิงชิงสายตาแข็งค้าง ตอนเห็นพวกเขา ถึงกับไม่ส่งเสียง ยังหาวคำหนึ่ง เหมือนไม่รู้จัก

“เสี่ยวเซิ่ง? นี่… นี่คือ…?!” หลิวชุ่ยอวี้ใบหน้าซีดขาวโดยพลัน ถามเสียงสั่น

“เข้าไปพูดคุยกัน”

ลู่เซิ่งยกมือ บอกใบ้ผู้คุ้มกันด้านหลังให้แยกย้ายไปพักผ่อน ส่วนคนที่ก่อนหน้าไม่ได้ถูกขู่ขวัญเหล่านั้น อวี๋ฮั่นจะดำเนินการจดบันทึกไว้

ทุกคนเข้าคฤหาสน์ ลู่เซิ่งให้คนเตรียมค่าตอบแทนให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว พร้อมเตรียมตั๋วเงินเพื่อมอบให้กับพวกเหยียนไคได้ตลอดเวลา

ส่วนตนเองพาคนในครอบครัวเช่นพวกลู่เฉวียนอันเข้าไปในโถงใหญ่ที่ลานใน

หลังจากไล่หญิงรับใช้กับผู้คุ้มกันออกไป ลู่เซิ่งนั่งลง บอกเล่าเรื่องที่ตนพบลู่ชิงชิงโดยละเอียด

เพิ่งกล่าวจบ เห็นมารดารองหลิวชุ่ยอวี้สองตาเหลือกขึ้น ร่างกายอ่อนยวบ สิ้นสติสมประดี

“มารดารอง!” ลู่เซิ่งรีบพุ่งเข้าไปประคองนาง พวกมารดาห้าก็รีบเข้ามานวดจุดเหรินจงให้

“ชิงชิง…” ลู่เฉวียนอันพริบตาเดียวเหมือนกับแก่ลงไปอีกหลายปี นั่งอ่อนแรงไม่ขยับเขยื้อน

“ช่วยไม่ได้แล้วจริงๆ หรือ”

เขามองลู่เซิ่งด้วยความหวังสุดท้าย

“พวกเราไปขอความช่วยเหลือจากเหยียนไคเต้าจ่างเถอะ บางทีเขา…”

ลู่เซิ่งหลับตา สีหน้าหนักอึ้ง ค่อยๆ ส่ายหน้า

“ข้าถามแล้ว…”

เขาพูดเสียงฝาด

“ข้าว่าพี่รองเป็นแบบนี้อาจดีกว่าเดิมก็ได้… จะได้ไม่ออกไปก่อเรื่องทั้งวัน…”

ลู่อิงอิงลูกสาวของมารดาห้ากระซิบกระซาบอยู่ด้านข้าง

คนอื่นๆ ไม่ได้ยิน แต่ลู่เซิ่งกลับเป็นเพราะฝึกวรยุทธ์ ตอนนี้ประสาทสัมผัสปราดเปรียว หูตากระจ่าง ได้ยินอย่างชัดเจน

เขาเงยหน้าขึ้น ถลึงตามองลู่อิงอิงอย่างดุดัน

ฝ่ายหลังตกใจตัวสั่น ไม่กล้าพูดอะไรอีกแล้ว

………………………………………….