“พูดแบบนี้ แสดงว่าพวกคุณไม่ได้ตรวจแค่ที่พวกเราเหรอ?” เสียงผู้อำนวยการจ้าวดังแว่วมา

“ค่ะ พวกเราไปมาหลายที่แล้ว มีแต่บอกว่าพวกเรามีลูกไม่ได้ ใครจะรู้ว่าครั้งนี้ไปวัดเอกดรรชนี ขอพระแม่กวนอิมก็ได้เลยจริงๆ นี่เหมือนกับฝันไปเลย” ตู้เหมยหยุดปากไว้ไม่ได้ ทั้งยังหัวเราะ

หยางหวาก็หัวเราะตามซื่อๆ…

ผู้อำนวยการจ้าวตอบ “เอาล่ะ ยินดีด้วยนะ ผมยังมีธุระขอตัวก่อน พวกคุณกลับไปก็พักผ่อนเยอะๆ อย่าให้เหนื่อยเกินไปล่ะ” พูดจบผู้อำนวยการก็เต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามบนหัว นี่มันเรื่องอะไรกัน? ส่วนเรื่องกินเครื่องตรวจ อย่าพูดถึงมันเลย รีบไปดีกว่า

หยางหวากับตู้เหมยขานรับหลายครั้ง จากนั้นก็ออกโรงพยาบาลไปอย่างตื่นเต้น

เจียงถิงที่อยู่ด้านหลังมองเงาแผ่นหลังสองคนนั้นพลางพึมพำ “วัดเอกดรรชนี? ขอพระโพธิสัตว์แล้วได้ลูกเหรอ? เป็นไปได้หรือเนี่ย? อีกอย่าง ไม่เคยได้ยินชื่อวัดนี้มาก่อนเลย…หากสมดังปรารถนาจริงๆ…”

เจียงถิงดวงตาเป็นประกาย มองเวลาแล้วก็จบเวรดึกพอดี จึงรีบเก็บของกลับบ้าน พอกลับถึงบ้านก็เปิดโทรศัพท์ค้นหาวัดเอกดรรชนีแต่ไม่พบ จึงโทรไปถามหัวหน้าพยาบาลถึงที่อยู่ของพวกหยางหวา ก็รู้ว่าอยู่หมู่บ้านเอกดรรชนี เธอจำไว้แล้วว่าภูเขาเอกดรรชนีหลังหมู่บ้านเอกดรรชนีก็เป็นพื้นที่หนึ่งเหมือนกัน เด่นชัดมาก อีกทั้งในคำอธิบายต่อภูเขาเอกดรรชนียังพูดว่าบนเขามีวัดเล็กแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่พูดถึงนาม

แต่เจียงถิงวิเคราะห์แล้วก็มั่นใจแปดส่วนว่าเป็นวัดเอกดรรชนี

เจียงถิงเป็นพวกอยากรู้อยากเห็นมาตลอด ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้ เธอเขียนเรื่องราวในวันนี้ลงบนเว็บเวยป๋อ[1] อีกทั้งยังเน้นถึงเรื่องสามีภรรยาหยางหวาที่ไม่ตั้งครรภ์ แต่พอไปขอพระโพธิสัตว์ที่วัดเอกดรรชนีแล้วกลับตั้งครรภ์

หลังลงในเวยป๋อ เธอก็นอนหลับไม่ได้สนใจ

แต่ว่าคนลงไม่สนใจ คนที่เห็นกลับสนใจ มีหลายคนไม่น้อยที่พอเห็นบทความนี้แล้วพากันวิพากษ์วิจารณ์

“เจียงถิงบ้าไปแล้วเหรอ? เธอเป็นหมอ แต่เชื่อเรื่องนี้เนี่ยนะ?”

“เจ้าเด็กคนนี้ สมองเพี้ยนไปแล้วเรอะ?”

“ขอเทพไหว้พระเหรอ รับไม่ได้”

“เอาล่ะทุกคน เจียงถิงบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ร่างกายพวกเขามีปัญหา มีลูกไม่ได้ แต่ไปขอพระโพธิสัตว์แล้วกลับมีลูก เรื่องนี้จะอธิบายยังไง?”

“อาจจะเป็นเพราะร่างกายปรับสมรรถนะเองก็ได้ พอปรับเสร็จแล้วตรงกับไปขอพระโพธิสัตว์พอดี ต้องเป็นเรื่องบังเอิญแน่!”

“เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่าไปดูก็รู้เองนี่?”

“ก็ใช่ ก็ไม่ได้ไกลนะ ทุกคนนัดเวลาไปดูกันดีไหม?”

“ฉันว่าโอเค…”

ไม่นานนักคนว่างสามคนก็รวมตัวกัน เตรียมไปสำรวจภูเขาเอกดรรชนี แต่ว่าถึงจะบอกว่าไปสำรวจ ความจริงก็เพื่อหาเหตุผลเท่านั้น จะออกไปเที่ยวสักระยะหนึ่ง เดี๋ยวหิมะตกจะไม่มีภูเขาให้ปีนแล้ว

หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ วันรุ่งขึ้น ฟางเจิ้งกินอาหารเช้า ทำความสะอาดอุโบสถ จากนั้นอ่านพุทธคัมภีร์ตามกิจวัตร

ตอนนี้เองมีเสียงคนดังจอแจมาจากข้างนอก เห็นได้ว่ามากันไม่น้อย!

ฟางเจิ้งร้องในใจ ‘ในเสียงนี้มีเสียงน้าตู้เหมยด้วย หรือว่าจะไม่สัมฤทธิ์ผล น้าโหดพาคนมาทุบตีฉันเหรอ?’

ถึงฟางเจิ้งจะมีหัตถ์พลังนักรบโพธิสัตว์ ทั้งยังมีหมาป่าเดียวดายปกป้อง แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะลงมือกับคน ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับกฎของนักบวชอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปที่ประตู จากนั้นไปแอบที่ข้างประตู สองมือจับสันกำแพงพลางแอบมองไปข้างนอก

เห็นอยู่ไกลๆ ว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังตรงมาทางนี้อย่างรีบร้อน คนนำหน้าคือหยางหวา! และยังมีหยางผิงตามหลังมา ข้างหลังไปอีกเป็นคนที่รู้จักในหมู่บ้าน เขารู้จักทุกคนเลย

เห็นคนเหล่านี้มากันอย่างรีบร้อน ฟางเจิ้งก็รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ‘ไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้มั้ง? จะพังวัดแค่นี้ต้องใช้คนขนาดนี้เลยเหรอ? จบสิ้นแล้ว ฉันเป็นเจ้าอาวาสได้แค่เดือนเดียวก็จะถูกรื้อวัดแล้ว เฮ้อ…ต้องแจ้งตำรวจไหมเนี่ย? ช่างเถอะ เป็นคนกันเอง แจ้งไปก็ไม่ดี หากไม่สัมฤทธิ์ผลก็ให้พวกเขาพังซะ ระบายสิ่งที่ควรระบาย’ ฟางเจิ้งพึมพำในใจ

ตอนนี้เองกลุ่มคนมาถึงหน้าประตูใหญ่แล้ว ได้ยินเสียงหยางหวาไกลๆ “ฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้ง! ฟางเจิ้งอยู่ไหม?”

ฟางเจิ้งกำลังครุ่นคิด ยังไงเขาก็ออกจากวัดไปได้ไม่ไกลนัก จะหนีก็หนีไม่ได้ สู้ออกไปเผชิญหน้าอย่างซื่อตรงดีกว่า ในที่สุดเขาก็เข้าใจความหมายของคำพูดนั้นแล้ว นักบวชหนีได้ แต่วัดหนีไม่ได้! นักบวชหนีไปไกลเท่าไรก็ยังจับกลับมาจากในวัดได้…ที่พูดถึงนี่คือเขาเอง!

“อมิตพุทธ โยมหยาง อาตมาอยู่นี่” การฝึกฝนหนึ่งเดือนทำให้ฟางเจิ้งเข้าใจหลักการมากขึ้น เขาคือคนแห่งแดนสนธยา เขาคือเจ้าอาวาสวัด จึงต้องทำตามพิธีบางอย่าง จะปฏิบัติตนเป็นคนทั่วไปไม่ได้

หยางหวาอึ้งไป เห็นได้ว่าไม่ค่อยชินกับคำพูดฟางเจิ้ง แต่ก็ตั้งสติกลับมาก่อนเอ่ยเสียงดัง “ฟางเจิ้ง!”

ฟางเจิ้งตกใจจนตัวสั่น คิดว่าจะลงมือดีหรือเปล่า? พายุคลั่งหนนี้มาเร็วเกินไปรึเปล่า? นี่จะใช่ความสงบก่อนพายุฝนคลั่งรึเปล่า? เขายังไม่ทันเตรียมใจถูกทุบตีเลย!

แต่ว่าหยางหวากางสองแขนออกกอดฟางเจิ้งไว้ในอ้อมอก หัวเราะเสียงดัง “ฟางเจิ้ง มีแล้วล่ะ! จุดประทัดดอกเดียวดังสองครั้ง สอง!”

ฟางเจิ้งงุนงง นี่มันอะไร มีอะไร? ผู้ชายอย่างเราๆ จะมีอะไร? จะรื้อวัดก็ช่างเถอะ ยังต้องจุดประทัดอะไรอีก? แล้วดังสองครั้งเหรอ?

ตอนนี้เองตู้เหมยออกมาแล้ว น้องสะใภ้หลิวเยี่ยประคองมา ตู้เหมยที่แข็งแรงมาตลอดเปล่งแสงสว่างของมารดา ไม่มีความฉุนเฉียว ยิ้มอย่างมีความสุขพลางพูดขึ้น “เจ้าเด็กเหม็นโฉ่ว วัดแกนี่มีอิทธิฤทธิ์จริงๆ! แค่มาไหว้ กลับไปพยายามหน่อยก็มีแล้ว!”

ฟางเจิ้งเพิ่งจะเข้าใจ จุดประทัดนัดเดียวดังสองครั้งไม่ใช่จะระเบิดที่นี่ แต่หมายถึงมีลูก!

ฟางเจิ้งพลันถอนหายใจโล่งอก มาดไต้ซือกลับมา กล่าวตอบอย่างสงบนิ่ง “ยินดีด้วยนะโยมตู้…”

เพียะ!

ฟางเจิ้งก้มหน้าลง ถูกฝ่ามือใหญ่ตบจนหนังหัวแดง!

ฟางเจิ้งคิดในใจอย่างขมขื่น ‘ท้องแล้ว ทำไมมือยังหนักขนาดนี้นะ…’

“โยมบ้าโยมบออะไร เรียกน้า! ฟังแล้วดูสนิทสนมดี” ตู้เหมยพูด

ฟางเจิ้งจึงต้องเรียกน้าอย่างจำใจ

ตู้เหมยถึงยิ้มได้ “เห็นว่าแกยากจนบนเขา เลยเอามันฝรั่ง ถั่วฝักยาวมาให้ ถั่วฝักยาวตากจนแห้งแล้ว พอหน้าหนาวก็ต้มกินเอา และยังมีมันฝรั่งแผ่นด้วย นี่ก็ตากแห้งแล้ว! มันฝรั่งปีนี้ได้ผลผลิตดี รสชาติก็ดีด้วย หวานมาก”

ฟางเจิ้งกล่าวขอบคุณไม่หยุด จากนั้นคนในหมู่บ้านก็ช่วยกันแบกมันฝรั่งสามถุงใหญ่ มันฝรั่งแผ่นถุงพลาสติกหนึ่งถุง แตงกวากับถั่วฝักยาวอะไรพวกนี้เข้าไป

พอเห็นผักเหล่านี้แล้วฟางเจิ้งก็แทบจะน้ำลายไหล ถึงข้าวผลึกจะอร่อย แต่ไม่ได้กินกับข้าวปกติมานานมากก็ต้องอยากกิน! สิ่งที่ทำให้ดวงตาเขาเป็นประกายมากที่สุดคือน้ำมันถั่วเหลืองหนึ่งถัง ในวัดไม่มีน้ำมัน เขาเกือบลืมรสชาติน้ำมันไปแล้ว ทั้งยังตะกละกว่าเดิม…

หยางหวากับตู้เหมยดีใจจึงเข้าไปจุดธูปอีก

จากนั้นฟางเจิ้งก็ถูกชาวบ้านรอบๆ รุมล้อม ต่างคนต่างถามกันใหญ่

“ฟางเจิ้ง ที่นี่มีอิทธิฤทธิ์แบบนั้นจริงๆ เหรอ?”

“ต้องใช่อยู่แล้ว ใครๆ ก็รู้ว่าโรงพยาบาลวินิจฉัยขาดแล้วว่าตู้เหมยกับหยางหวาไม่มีทางมีลูกได้ แต่พอมาขอพรที่นี่แปบเดียวมีสองเลย หมอในโรงพยาบาลอำเภอนี่งงกันใหญ่ เอาแต่บอกว่าก่อนหน้าวินิจฉัยผิดพลาดทุกวัน…”

…………………………

[1] เวยป๋อ คือทวิตเตอร์ผสมกับเฟสบุ๊คในจีน