ตอนที่ 22 ได้โอ่งพุทธ!

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

“นี่ๆ ฟางเจิ้ง ดูให้น้าหน่อยสิว่ายังมีลูกได้หรือเปล่า?” น้าวัยเกือบห้าสิบเข้ามาใกล้

ฟางเจิ้งคิดในใจอย่างขมขื่นยิ่ง ‘น้านี่อายุเกือบห้าสิบแล้วยังจะมีลูกอะไรอีก? ไม่เหนื่อยเรอะ? อีกอย่าง น้าจะมีลูกได้หรือเปล่าผมจะไปดูออกได้ยังไง ไม่ใช่หน้าที่ผมสักหน่อย…’

แต่ฟางเจิ้งกลับตอบไปว่า “น้า จะมีได้ไหมน้าต้องถามพระโพธิสัตว์กวนอิม หากน้าต้องการจริงๆ ก็ให้ขออย่างเชื่อมั่น มันก็จะสัมฤทธิ์ผล แต่น้าอายุเยอะไปหน่อยแล้ว มีลูกตอนนี้กลัวว่าจะ…”

“ใช่ ยายแก่ อายุเยอะแล้ว อย่าพูดจาเหลวไหลหน่า” สามีของน้าต่อว่า

“ไปนู่นเลยไป! อายุเยอะเหรอ? จะทิ้งฉันรึไง? อย่าบอกนะว่าคุณไปเจอสาวเด็กๆ ข้างนอก?” น้าโกรธแล้ว สามีถูกลากไป สรุปในความคิดฟางเจิ้งลอยขึ้นมาเป็นภาพทัณฑ์ทรมานโดยอัตโนมัติ

มีคนบ้านเดียวกันทั้งหมดยี่สิบกว่าคนเข้ามา ส่วนใหญ่จะมามุงดู ไม่ได้มาขอลูก

แต่ก็มีวัยรุ่นคู่หนึ่งถูกผลักออกมาอย่างไม่เต็มใจ

“พี่ฟางเจิ้ง สวัสดี” สองคนเงยหน้าขึ้น

ฟางเจิ้งอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าสองคนนี้จะเป็นคนที่ตามหลังเขาตอนยังเด็ก! เป็นเด็กในหมู่บ้าน ผู้ชายชื่อว่าหม่าหยวน เด็กสาวชื่อหลิวเซียง ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเด็กสองคนข้างหลังจะมาอยู่ข้างหน้าเขา…เห็นแววตาที่รักกันของสองคนนี้แล้ว ฟางเจิ้งพลันรู้สึกโดดเดี่ยวปานได้กินข้าวสุนัข แต่ก็ทำได้เพียงท่องอมิตพุทธในใจ สงบลง

“พวกเธอสองคนแต่งงานกันแล้วเหรอ?” ฟางเจิ้งถาม

หม่าหยวนตอบ “พี่ใหญ่ฟาง พวกเราแต่งงานกันมาปีนึงแล้ว แต่ไม่มีลูกเลย พอได้ยินน้าตู้เหมยบอกว่าขอลูกได้ที่นี่ วันนี้…แหะๆ…”

“ถ้าอย่างนั้นก็รีบไปเถอะ” ฟางเจิ้งไม่อยากมองสองคนนี้จริงๆ มองแล้วเขารู้สึกเหมือนกินข้าวสุนัขจริงๆ…รับไม่ได้!

หม่าหยวนเพิ่งไปก็ถูกหลิวเซียงห้ามไว้ “หม่าหยวน ไม่ไปวันนี้ น้าตู้เหมยไปจุดธูปแล้ว พวกเรามาวันหลังเถอะ ฉันได้ยินว่าจุดธูปดอกแรกถึงจะสัมฤทธิ์ผลนะ แล้วก็จุดธูปดอกแรกของปีไม่ได้ ยังไงก็ต้องจุดธูปดอกแรกของวันไหม?”

“ก็ได้ อย่างนั้นวันหลังแล้วกัน” หม่าหยวนตอบ

ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นก็หมดคำจะพูด ได้แต่พูดไปว่า “พวกเธอไปฟังใครพูดมา? ที่วัดไม่มีจุดธูปก่อนอะไรทั้งนั้น และก็ไม่มีจุดธูปก่อนสัมฤทธิ์ผลอะไรด้วย ในสายตาพระโพธิสัตว์ ทุกชีวิตเท่าเทียม ขอเพียงมีความจริงใจ เมื่อไหร่ก็จุดธูปได้ ธูปแรกของเธอ ไม่ต้องไปเปรียบกับคนอื่นว่าใครมาก่อน”

“จริงเหรอ?” หม่าหยวนเป็นคนขี้เกียจ วันนี้ขึ้นเขาเอกดรรชนีเหนื่อยจนขาอ่อนแล้ว จะให้เขาปีนอีกก็คงจะไม่ยอมเป็นร้อยครั้ง จัดการปัญหาในวันนี้ย่อมดีที่สุด

หลิวเซียงถามขึ้นด้วยความสงสัยเล็กน้อย “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง พี่พูดจริงเหรอ?”

“อมิตพุทธ นักบวชไม่พูดโกหก ไม่เชื่อพวกเธอก็ไปถามวัดอื่นดู การจุดธูปครั้งแรกเป็นเรื่องตลกที่ทุกคนลือกันผิดๆ ก็เท่านั้น” ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างถูกต้องมีคุณธรรม! น่าตลก สองคนนี้มีนิสัยยังไงกันเขาไม่เข้าใจ? ออกจะขี้เกียจเล็กน้อย แต่ก็ยังมีความกระตือรือร้นต่อสิ่งใหม่ๆ อยู่บ้าง ถ้าวันนี้สองคนไม่จุดธูป เดาว่าต้องรอเดือนหน้าหรือไม่ก็ปลายปี! แล้วอย่างนั้นจะทำยังไงกับภารกิจ!

หม่าหยวนกับหลิวเซียงเห็นท่าทีเคร่งขรึมจริงจังของฟางเจิ้งแล้วก็เชื่อ รีบเข้าไปจุดธูปไว้พระ

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ พึมพำอยู่เงียบๆ “หากพวกเขาจุดธูปสองดอก ธูปก็จะครบสิบดอกพอดี! เหอะๆ…”

นอกจากหม่าหยวนกับหลิวเซียงแล้ว คนอื่นๆ แค่มาดูเท่านั้น

กลุ่มคนส่งเสียงจอแจ ทำเอาวัดเอกดรรชนีวุ่นวาย

ฟางเจิ้งชินกับความสงบ พอมีคนมากขนาดนี้มาอย่างกะทันหัน ดึงเขาไปทางนี้ทีทางโน้นที ทำให้เขารับไม่ไหวอยู่บ้างจริงๆ โดยเฉพาะพวกป้าๆ เหล่านั้น ถามเขาว่าเมื่อไรจะแต่งงาน?

เขาก็คิด แต่ว่าเขาแต่งงานได้หรือ?

ดังนั้นฟางเจิ้งจึงหนีไป…

ตอนที่เดินผ่านอุโบสถ เห็นหยางหวากับตู้เหมยจุดธูปสองดอกพอดี เดิมทีหม่าหยวนกับหลิวเซียงจะจุดธูปธรรมดาสองดอก แต่หยางหวากับตู้เหมยผู้มีประสบการณ์ห้ามเอาไว้

“ต้องจริงใจนะ! อะไรคือความจริงใจ? จุดธูปไม่จ่ายเงินนั่นเรียกความจริงใจเหรอ? เธอดูพวกเรา จุดธูปชั้นดีอีกสองดอกแล้ว!” ตู้เหมยว่า

หลิวเซียงมองหม่าหยวน คนในหมู่บ้านกำลังมองอยู่เยอะขนาดนี้จะเสียหน้าไม่ได้! ดังนั้นหม่าหยวนจึงกัดฟันควักออกมาสี่ร้อยหยวน หยิบธูปชั้นดีแล้วดึงหลิวเซียงไปจุดธูป

ฟางเจิ้งเห็นดังนั้น นัยน์ตามีความดีใจวูบผ่าน ‘ธูปชั้นดีสี่ดอก ได้มาแปดร้อยหยวนแล้ว! ว่ะฮ่าๆ…ถ้ามีคนมาจุดธูปแบบนี้ทุกวัน ฉันก็จะได้กินข้าวผลึกทุกมื้อ!’

ช่วงที่หลิวเซียงปักธูปดอกสุดท้ายลง ฟางเจิ้งยิ้มแล้ว…

“ติ๊ง! ภารกิจที่สองสำเร็จ สำเร็จหนึ่งร้อยเปอร์เซนต์ สมบูรณ์แบบ! ยินดีด้วยได้รับโอ่งพุทธหนึ่งใบ!”

ฟังจากประโยคข้างหน้า ฟางเจิ้งปลื้มอกปลื้มใจ แต่พอฟังรางวัลข้างหลังพลันห่อเหี่ยว! ลำบากมาหนึ่งเดือนได้แค่โอ่งน้ำใบเดียว เป็นใครก็ต้องเสียใจ โดยเฉพาะเขาที่อยู่ในช่วงเข้าตาจน…

แต่ว่าพูดถึงน้ำฟางเจิ้งก็กลัดกลุ้ม บ่อในวัดเหมือนจะไม่มีน้ำออกมา ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ เขาก็ลำบากแล้ว บนภูเขาเอกดรรชนีมีตาน้ำแห่งเดียวอยู่กลางเขา จะลงเขาไปตักน้ำ…คิดแล้วก็ปวดเอว

“ร่างสถิต โอ่งน้ำวางไว้ในครัวแล้ว”

“รู้แล้ว วางไว้นั่นแหละ เฮ้อ…” ฟางเจิ้งได้ยินว่าโอ่งน้ำก็รู้สึกไม่สบายเอวแล้ว

ออกไปนอกประตูก็เห็นพวกชาวบ้านยังมุงดูอยู่รอบๆ ทั้งยังมีคนล้อมรอบต้นโพธิ์รนหาที่ตายพลางสนทนากัน พูดถึงว่าต้นไม้นี้คงผ่านฤดูหนาวปีนี้ไม่ได้ นี่จะเดือนสิบเอ็ดแล้ว หิมะใกล้จะมาแล้ว

ได้ยินดังนั้นฟางเจิ้งก็จนปัญญาอยู่เล็กน้อย ถึงต้นโพธิ์นี่จะโง่งมอยู่บ้าง แต่จะให้มันแข็งตายเขาก็ทำใจไม่ได้ น่าเสียดาย เขาไม่มีวิธีช่วย

วัดใหญ่แบบนี้ ทุกคนเข้ามามุงดูใกล้ๆ แล้วก็แยกย้ายกันไป

หลิวเซียง หม่าหยวนสองคนจุดธูปเสร็จแล้วก็ยังไม่วางใจ วิ่งมาถามฟางเจิ้ง “พี่ใหญ่ฟางเจิ้ง เอ่อ แค่จุดธูปอย่างเดียวก็ได้แล้วเหรอ?”

ฟางเจิ้งพยักหน้า “อมิตพุทธ อย่างเดียวก็พอ”

“แต่ว่าวัดอื่นต้องจับเซียมซีอะไรด้วยไม่ใช่เหรอ? ทำไมพี่ถึงไม่มีอะไรเลย? แล้วก็แผ่นยันต์ด้วย? เพื่อความปลอดภัย” หลิวเซียงถามขึ้นเสียงเล็ก

ฟางเจิ้งยิ้ม “แค่มีความจริงใจก็สัมฤทธิ์ผลแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งว่างเปล่า” แต่ในใจกลับโกรธมาก เขาก็อยากมีเหมือนกัน! แต่ระบบไม่ให้! เขาทำเองก็ไม่ได้…ได้แต่ปล่อยผ่านอย่างฝืดเฝื่อน

ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังสองคนที่จากไปอย่างไม่ยอมอยู่เล็กน้อยพลางถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจัดการภายในวัดอีกครั้ง ทำความสะอาดอุโบสถอีกรอบแล้วถึงไปดูโอ่งน้ำในครัว

พอเข้าประตูใหญ่ห้องครัว ฟางเจิ้งมีสีหน้าย่ำแย่ทันที เห็นเพียงโอ่งน้ำใหญ่สูงเท่าคนวางอยู่ในครัว!

…………………………….