เล่มที่ 2 บทที่ 33 พวกเราเข้าใจพี่สะใภ้ใหญ่ผิดไป

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซี่ยยวี่หลัวชี้กล่องเครื่องประทินโฉมของตน “จื่อเมิ่ง ไปหยิบหวีมา พี่สะใภ้ใหญ่จะหวีผมให้เจ้า…”

เซียวจื่อเมิ่งดวงตาลุกวาว ทว่ากลับรีบส่ายหน้า “ไม่เอา พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านไม่สบาย รีบพักผ่อนก่อนเถิดเจ้าค่ะ รอให้ท่านหายแล้ว ค่อยหวีให้ข้าก็ยังได้”

ช่างเป็นเด็กดีที่รู้จักเห็นใจผู้อื่น

เซี่ยยวี่หลัวขานตอบ “เช่นนั้นก็ได้ รอให้พี่สะใภ้ใหญ่หายแล้ว จะแต่งตัวให้เจ้าจนงดงามทุกวัน เจ้าหิวแล้วสิ? รีบไปกินข้าวที่ห้องครัว พี่สะใภ้ใหญ่หุงข้าวและตุ๋นแกงจืดหมูสับให้พวกเจ้าแล้ว ไม่ได้ผัดผักเอาไว้ พวกเจ้ากินเท่าที่มีไปก่อน รอให้พี่สะใภ้ใหญ่หายดีแล้ว ค่อยทำอาหารอร่อยให้พวกเจ้ากิน!”

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวจบก็หมดเรี่ยวแรง

นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ไหวติง หลับตาลงคิดนอนพักอีกสักครู่

เซียวจื่อเมิ่งไม่รบกวนเซี่ยยวี่หลัว ออกจากห้องไปเงียบๆ

เมื่อถึงห้องครัว เห็นข้าวหุงภายในหม้อและแกงจืดหมูสับชามใหญ่ เซียวจื่อเมิ่งรู้สึกดีใจยิ่งนัก

เซียวจื่อเซวียนไม่ได้กลับมาพร้อมเซียวจื่อเมิ่ง เขานำผักป่าไปล้างที่ริมแม่น้ำก่อน

โจวซื่อ[1]ผู้เป็นมารดาของเซียวซานก็กำลังล้างผักที่ริมแม่น้ำ เมื่อเห็นเซียวจื่อเซวียน จึงกล่าว “จื่อเซวียน เมื่อวานบ้านเจ้ากินเกี๊ยวหมูใส่ผักป่างั้นหรือ?”

หญิงชาวบ้านที่อยู่ข้างๆ ขยับเข้ามาใกล้เพื่อฟัง “อะไรนะ กินเกี๊ยวหมูด้วยหรือ? เซี่ยยวี่หลัวน่ะหรือจะนึ่งเกี๊ยวหมูให้พวกเจ้ากิน?”

อาหารการกินดีมากทีเดียว!

สีหน้าของเซียวจื่อเซวียนเปลี่ยนไป

โจวซื่อเห็นว่าเซียวจื่อเซวียนไม่กล่าวอะไร ทั้งยังแสดงสีหน้าย่ำแย่ จึงเดาได้ทันทีว่าบุตรชายของตัวเองจงใจโกหก เพื่อหลอกให้นางไปซื้อเนื้อหมูมาให้กิน!

นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว “เจ้าเด็กบ้านี่ เพื่อให้ได้กินเนื้อหมูสักมื้อถึงขั้นโกหก กลับไปจะฉีกปากของเขาเสีย อยากกินหมูก็บอกสิ ใช่ว่าข้าจะไม่ซื้อให้ กลับมาพูดปด แบบนี้ปล่อยไปไม่ได้”

เดิมทีเซียวจื่อเซวียนคิดอยากอธิบาย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว

เมื่อวานได้กินเพียงมื้อเดียว ต่อไปไม่มีอีกแล้ว

ข้างๆ มีคนทอดถอนใจ “เซี่ยยวี่หลัวนั่นหรือจะซื้อเนื้อหมูให้เด็กสองคนกิน? พระอาทิตย์คงขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้ว ต่อให้นางกินเนื้อหมู ให้เด็กซดน้ำแกงสักคำก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว นางใจกว้างถึงเพียงนั้นเชียว?”

เซียวจื่อเซวียนคิด นางใจกว้างจริงๆ ตัวเองไม่กิน ให้พวกเขากินทั้งหมด

แต่ต่อไปจะไม่มีอีกแล้ว ทุกคนพากันตำหนิติฉินเซี่ยยวี่หลัวคนละประโยคสองประโยค ว่าเซี่ยยวี่หลัวจิตใจโหดร้าย ทั้งยังเห็นแก่ตัว

เซียวจื่อเซวียนก้มหน้าก้มตาล้างผัก ปล่อยให้ผู้คนรอบข้างตำหนิติฉินเซี่ยยวี่หลัว

ดูสิ ทำดีเพียงชั่วคราวเหมือนดอกถานฮวาที่เบ่งบานเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ทุกคนล้วนบอกว่านางเป็นคนเห็นแก่ตัว

คนที่เห็นแก่ตัวมาตลอดจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? ไม่มีทางเปลี่ยน เหมือนสุนัข ที่ไม่อาจแก้นิสัยกินอุจจาระไปได้

หลังจากกลับไป เขายังไม่รู้เลยว่าจะปลอบโยนจื่อเมิ่งอย่างไร! จื่อเมิ่งยังเด็กขนาดนั้น กลับยังไม่เคยมีใครปฏิบัติต่อนางอย่างอ่อนโยน ช่วงหลายวันนี้ นางเห็นเซี่ยยวี่หลัวเสมือนเป็นมารดาผู้ให้กำเนิดก็มิปาน แต่นางล่ะ?

ล้อเล่นกับความรู้สึกของจื่อเมิ่ง กลับไปสู่สภาพเดิมอีกครั้ง จื่อเมิ่งใฝ่ฝันอยากมีแม่มาตลอด ตอนนี้แม่กลายเป็นหมาป่าเทาอีกครั้ง จื่อเมิ่งจะทำอย่างไร?

ยิ่งคิดยิ่งโมโห ยิ่งคิดยิ่งเสียใจ สุดท้ายหยาดน้ำตาก็ไหลลู่ลงสองข้างแก้มของเซียวจื่อเซวียน เขาออกแรงใช้แขนเสื้อเช็ดขอบตา เมื่อคนรอบข้างเห็นต่างก็เงียบเสียง

ภายในใจรู้สึกอยากทวงคืนความยุติธรรมให้เซียวจื่อเซวียน

แต่ทุกคนก็ช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องครอบครัวคนอื่น แม้พวกเขาจะไม่ชอบใจ แต่จะทำอะไรได้!

โจวซื่อก็หงุดหงิดว่าตัวเองจะถามคำถามนั้นกับจื่อเซวียนทำไม ล้างผักเสร็จก็รีบหิ้วตะกร้าไป กลับถึงบ้านก็จับเซียวซานมาตี

ตีจนเซียวซานร้องไห้หาพ่อแม่ “จื่อเซวียนเป็นคนบอกเองว่าจะกินเกี๊ยวหมูใส่ผักป่า เขาเป็นคนพูดเอง!”

“เหลวไหล จื่อเซวียนเป็นเด็กรู้ความ วันนี้แม่ถามเขาแล้ว หากได้กินเขาต้องบอกแม่แน่ แต่เขาไม่ได้กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ก็หมายความว่าไม่ได้กิน หากเจ้าบอกว่าเจ้าอยากกินเนื้อหมู ก็ใช่ว่าแม่จะไม่ซื้อให้กิน อยู่ดีๆ เจ้ามาบอกว่าเซียวจื่อเซวียนก็ได้กินเนื้อหมูทำไม? เจ้าพูดแบบนี้เท่ากับทำให้เขาเสียใจไม่ใช่หรือ?”

เซียวซานคลำก้นที่ถูกตีจนเจ็บ “ท่านไปถามเขาเอง ข้าไม่ได้ให้ท่านไปถามสักหน่อย!”

โจวซื่อง้างไม้กวาดในมืออีกครั้ง “เซียวซาน เจ้าเด็กบ้าลองพูดอีกครั้งซิ!”

เซียวซานร้องไห้อย่างหนัก แต่วิ่งออกไปไม่ได้ จึงถูกโจวซื่อตีอย่างรุนแรงอีกครั้ง

เกือบโดนตีจนก้นลาย

เซียวจื่อเซวียนล้างผักป่าเสร็จจึงกลับบ้าน เซียวจื่อเมิ่งกำลังรอเขาอยู่หน้าประตูใหญ่ เซียวจื่อเซวียนเข้ามาก็กล่าว “พี่รองจะไปทำอาหารให้เจ้ากินเดี๋ยวนี้”

เซียวจื่อเมิ่งมองเขา มืดกอดอกแสร้งทำเป็นโมโห

เซียวจื่อเซวียนไม่เข้าใจ นึกว่านางหิวแย่แล้ว จึงกล่าว “พี่รองจะไปทำอาหารเดี๋ยวนี้ จื่อเมิ่งรอเดี๋ยว อีกเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

ตอนเช้ากินผักจี้ช่ายที่ไม่ใส่ทั้งน้ำมันและเกลือคนละหนึ่งชาม คงหิวแย่แล้วแน่นอน

เขารีบวิ่งไปทางห้องครัว เซียวจื่อเมิ่งตามเขาเข้าไป

เมื่อถึงห้องครัว กลิ่นหอมของข้าวและกลิ่นเนื้อหมูหอมกรุ่นลอยมาแตะจมูก เซียวจื่อเซวียนหันมาถาม “เจ้าทำอาหารแล้ว?”

กล่าวจบ เซียวจื่อเซวียนก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ จื่อเมิ่งเพิ่งหกขวบจะทำอาหารเป็นได้อย่างไร

เซียวจื่อเมิ่งหัวเราะพรืด “ข้าไม่ได้เป็นคนทำหรอกเจ้าค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่ต่างหาก นางหุงข้าวให้พวกเรา ทั้งยังทำแกงจืดหมูสับให้ด้วย”

นางเปิดฝาหม้อ ท่ามกลางไอน้ำร้อนที่แผ่กระจาย กลิ่นหอมของข้าวและกลิ่นหอมเนื้อหมูยิ่งเข้มข้น

เซียวจื่อเซวียนแสดงสีหน้าตกตะลึง “นางเป็นคนทำ?”

เซียวจื่อเมิ่งปิดฝาหม้อกล่าวด้วยท่าทางตื่นเต้นดีใจ “อืม พี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนทำ เพียงแต่…”

แววตาของนางพลันมืดหม่น เหมือนมีเรื่องทำให้เสียใจ

 “เป็นอะไรไป?”

 “สีหน้าของพี่สะใภ้ใหญ่ดูแย่มาก นางบอกว่านางไม่สบายท้องเจ้าค่ะ”

ไม่สบาย?

เวลานี้เซียวจื่อเซวียนรู้สึกร้อนใจขึ้นมา “ไม่สบายตรงไหน?”

เซียวจื่อเมิ่งกัดปลายนิ้วมือพลางกล่าว “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่ารอให้ข้าโตขึ้น ก็จะเข้าใจเอง แต่ข้ายังไม่โต ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”

เซียวจื่อเซวียนก็ไม่รู้

แต่พี่สะใภ้ใหญ่ที่ฝืนเจ็บลุกขึ้นมาทำอาหารให้พวกเขา เขายังจะกล่าวอะไรได้อีก?

เซียวจื่อเซวียนกล่าว “จื่อเมิ่ง ไป เราไปถามท่านป้าสี่กัน”

เมื่อได้ยินว่าจะไปบ้านท่านป้าสี่ เซียวจื่อเมิ่งขานตอบก่อนกล่าว “พี่รอง รอข้าก่อน ข้าจะไปหยิบของ”

ทั้งสองคนออกจากบ้าน ไปยังบ้านท่านป้าสี่

เมื่อเซียวจื่อเซวียนรู้ตัวว่าตัวเองกำลังทำอะไร เขาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย ทำไมเขาต้องใส่ใจว่าเซี่ยยวี่หลัวจะเป็นอย่างไรด้วย!

แต่พอนึกย้อนถึงเรื่องที่ตัวเองเข้าใจเซี่ยยวี่หลัวผิดไป เขามาเพื่อไถ่โทษให้เซี่ยยวี่หลัว ภายในใจจึงรู้สึกดีขึ้นบ้าง

เซียวหมิงจูอยู่บ้านพอดี เห็นเด็กสองคนเข้ามาก็แสดงสีหน้ายินดี เอ่ยเรียกเด็กสองคนอย่างสนิทสนม “อาเซวียน อาเมิ่ง กินอะไรมาหรือยัง? พอดีเลย ข้าก็ยังไม่ได้กิน เรามากินข้าวด้วยกัน”

เซียวจื่อเซวียนถาม “พี่หมิงจู ท่านป้าสี่อยู่บ้านไหม?”

เดิมทีเขาคิดจะถามเซียวหมิงจู แต่พอคิดได้ว่าเซียวหมิงจูเหมือนจะอายุมากกว่าพี่สะใภ้ใหญ่เพียงเล็กน้อย ไม่แน่ว่าพี่หมิงจูก็อาจไม่รู้

เซียวหมิงจูกล่าว “ท่านแม่ข้า? นางอยู่ในห้องครัว!”

ท่านป้าสี่ชะโงกศีรษะออกมาจากห้องครัว ยิ้มพร้อมกล่าว “จื่อเซวียนกับจื่อเมิ่งมางั้นหรือ? ยังไม่ได้กินข้าวใช่ไหม มากินกับป้าสี่ดีไหม?”

เด็กสองคนเหมือนจะรีบร้อนมาก เข้าไปในห้องครัวอย่างเร่งรีบ

[1] ซื่อ – ในยุคจีนโบราณ สามารถเรียกสตรีที่แต่งงานแล้วหลายรูปแบบ โดยรูปแบบที่ใช้บ่อยที่สุดคือการเรียกแซ่ของสามีตามด้วยคำว่าฟูเหริน(ฮูหยิน) หรือเรียกแซ่เดิมของสตรีตามด้วยคำว่าซื่อ