หลังจากกินอาหาร ทั้งสองคนกลับไปยังห้องของเซียวจื่อเซวียนอีกครั้ง
เขาหวีผมให้เซียวจื่อเมิ่งด้วยท่าทางเงอะงะ มือของเขาไม่คล่องแคล่วเลย ได้แต่ถักเปียสองข้างรวบไว้ด้านหลัง ไม่อาจเทียบกับผมทรงซาลาเปาสองข้างที่เซี่ยยวี่หลัวหวีและผูกไว้ด้านบนได้สักนิด ทั้งยังผูกแถบผ้าไหมสีแดงน่ามอง ผ้าไหมพลิ้วไหวเหมือนเทพธิดาตัวน้อยในภาพวาดก็มิปาน
เดิมทีคิดอยากผูกแถบผ้าสีแดงให้น้องสาว ทว่าครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นได้ว่าแถบผ้าสีแดงนั่นได้รับมาจากเซี่ยยวี่หลัว เมื่อคืนต้องวางไว้ในห้องเซี่ยยวี่หลัวแน่นอน
ได้แต่ปล่อยไป!
หลังจากหวีผมเสร็จ เซียวจื่อเซวียนเหม่อมองอยู่ครู่หนึ่ง
เหมือนที่เขาคิดไว้แต่แรก หวีผมให้ดูดีแค่ไหน แล้วอย่างไร สุดท้ายผมก็ต้องยุ่ง ตอนนี้มีคนหวี แล้วต่อไปล่ะ?
ดูสิ นางยังคงเป็นเซี่ยยวี่หลัวคนเดิม ความเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์อะไร!
หลังจากเซียวจื่อเซวียนล้างชามและตะเกียบเสร็จจึงเก็บของ จากนั้นจึงหิ้วตะกร้าออกจากห้องครัว
เมื่อเดินไปถึงข้างนอก ก็เห็นเซียวจื่อเมิ่งยืนอยู่หน้าประตูห้องเซี่ยยวี่หลัว ท่าทางเหมือนอยากพูดอะไร
เซียวจื่อเซวียนเห็นว่านางคิดจะเคาะประตู ตกใจจนรีบเข้าไปดึงนางไว้ เอ่ยถามเป็นเชิงตำหนิ “จื่อเมิ่ง เจ้าทำอะไร? ลืมแล้วหรือไงว่าเมื่อก่อนนางด่าเจ้าอย่างไร?”
เมื่อเซียวจื่อเมิ่งเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม “พี่รอง พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า…”
นางยังอยากกล่าวอะไรอีก เซียวจื่อเซวียนกลับตะคอก “ไม่ต้องพูดอีกแล้วว่านางเคยบอกอะไร นางในอดีตก็เป็นเช่นนี้ เจ้าลืมแล้วหรืออย่างไร?”
เซียวจื่อเมิ่งเบะปาก มองเซียวจื่อเซวียนด้วยท่าทางน่าสงสาร “พี่สะใภ้ใหญ่เล่านิทานของวานรให้ข้าฟังด้วย นางบอกว่าจะเล่านิทานให้ข้าฟังทุกวัน! ข้าไม่เชื่อว่า…”
เซียวจื่อเมิ่งไม่เชื่อว่าเซี่ยยวี่หลัวจะเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบเดิมอีก คนที่เมื่อคืนยังนอนกอดนาง ทั้งยังเล่านิทานให้ฟัง คนเราจะเปลี่ยนเป็นแบบนี้ในชั่วข้ามคืนได้อย่างไร?
เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยความเอ็นดู “เด็กโง่ เจ้ายังมีพี่ใหญ่กับพี่รอง พี่ใหญ่กับพี่รองจะรักและดูแลเจ้าตลอดไป ส่วนคนอื่นๆ เจ้าอย่าได้เชื่อ”
“ข้าเชื่อพี่สะใภ้ใหญ่เจ้าค่ะ!” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวอย่างอดรนทนไม่ได้
หากเชื่อแล้ว ตอนที่ความรักนั้นหายไป คนที่เจ็บปวด ก็คือเด็กที่ค่อยๆ คุ้นชินกับความรักใคร่เอ็นดูนั่นแล้ว
เซียวจื่อเซวียนหัวเราะ “นางเปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยนและโอบอ้อมอารี แล้วเปลี่ยนกลับไปเป็นเซี่ยยวี่หลัวที่เห็นแก่ตัวในชั่วข้ามคืน จื่อเมิ่ง เจ้าคิดว่ายังมีอะไรที่เป็นไปไม่ได้อีก?”
“แต่ว่า…” เซียวจื่อเมิ่งยังคงไม่อยากเชื่อว่าเซี่ยยวี่หลัวจะกลับไปเป็นคนเดิมอีกครั้ง จากนั้นนางก็โดนเซียวจื่อเซวียนพาออกนอกประตูไป
นางเดินไปพลางหันกลับมามอง แววตาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์
เซี่ยยวี่หลัวที่นอนอยู่บนเตียงตลอดยังคงหลับสนิท ไม่รู้เลยว่าแค่เพราะนางตื่นสายจะส่งผลกระทบต่อเด็กสองคนมากถึงเพียงนี้ นางกุมท้องไว้ นอนจนถึงเที่ยงก็ยังไม่ตื่น
ไม่ได้ดื่มน้ำแม้แต่คำเดียวตลอดช่วงเช้า ลำคอแสบร้อนราวกับถูกไฟเผา ทว่านางไม่มีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นมาดื่มน้ำ น้ำในกาเย็นชืดไปนานแล้ว นางได้แต่จิบน้ำเป็นครั้งคราวเพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ส่วนเวลาที่เหลือก็นอนอยู่บนเตียงตลอด
ความเจ็บปวดนี้ ทำให้นางปวดเจียนตาย!
นางเองก็ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน ร่างกายเย็นจนเหมือนก้อนน้ำแข็ง
หลังจากเซี่ยยวี่หลัวตื่นขึ้น จึงเปลี่ยนสายคล้องแถบผ้าอีกหนึ่งผืน เมื่อเห็นดวงอาทิตย์ด้านนอกบ่งบอกเวลาว่าใกล้ถึงเที่ยงแล้ว นางฝืนร่างกายที่เหนื่อยอ่อนเข้าไปในห้องครัว
ภายในห้องครัวสะอาดสะอ้าน เกี๊ยวที่วางอยู่บนแผ่นไม้ยังไม่ถูกแตะแม้แต่ตัวเดียว ไม่รู้ว่าตอนเช้าเด็กสองคนกินอะไรกัน
เซี่ยยวี่หลัวนึกว่าเด็กสองคนเห็นว่านางนอนอยู่ ไม่อยากรบกวน จึงไม่ได้คิดอะไรมาก
ใกล้ถึงตอนเที่ยงแล้ว อาศัยจังหวะที่ตอนนี้ลุกไหว ทำอาหารมื้อเที่ยงให้เด็กสองคน
ตักข้าวสารชามใหญ่ใส่ลงไปในหม้อ จากนั้นนำตะกร้าที่แขวนไว้บนคานลงมา นำหมูเนื้อแดงที่ซื้อมาเมื่อวานซึ่งเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ล้างให้สะอาดแล้วสับจนละเอียด เติมน้ำแล้วเติมเกลือเพิ่มรสชาติ วางไว้บนข้าวเพื่อตุ๋น
หลังจากใช้ไฟแรงต้มจนเดือด เซี่ยยวี่หลัวจึงหรี่ไฟอ่อน ใส่ฟืนเข้าไปอีกท่อน เซี่ยยวี่หลัวค้ำยันกำแพงเพื่อลุกขึ้นยืน เมื่อยืนขึ้นก็เจ็บปวดจนเหงื่อเย็นไหลซึม
นางคลำกำแพงเดินกลับห้องทีละก้าวด้วยความเจ็บปวด ขึ้นเตียงไปนอนแน่นิ่งไม่ไหวติงอีกครั้ง
ท่ามกลางอาการสะลึมสะลือ ไม่รู้ว่าหลับอยู่หรือตื่น พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเสียดสีอยู่ด้านนอก เซี่ยยวี่หลัวกลัวว่าจะเป็นโจรจึงเรียก “จื่อเมิ่ง… จื่อเมิ่ง…”
เด็กคนนั้นเหมือนยืนอยู่หน้าประตูอยู่แล้ว เมื่อได้ยินเสียงของเซี่ยยวี่หลัวก็ผลักเปิดประตูเข้ามาทันที เซี่ยยวี่หลัวนอนตะแคง ลืมตาก็เห็นเซียวจื่อเมิ่งวิ่งมาหาตัวเอง
เมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดของเซี่ยยวี่หลัว เซียวจื่อเมิ่งก็ถึงกับตะลึงลาน “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่าน… ท่านเป็นอะไรไปแล้วเจ้าคะ?”
ดวงตาของเด็กคนนี้บวมแดงเล็กน้อย ดูเหมือนเพิ่งจะร้องไห้มาหมาดๆ
เซี่ยยวี่หลัวพยายามแย้มรอยยิ้ม แต่เพราะความเจ็บปวดของร่างกาย รอยยิ้มจึงไม่เหมือนรอยยิ้ม ว่ากลับคล้ายกำลังร้องไห้ “จื่อเมิ่งไม่ต้องกลัว พี่สะใภ้ใหญ่แค่ปวดท้อง!”
“ปวดท้อง?” เซียวจื่อเมิ่งอุทานด้วยความตกใจ “ปวดท้องได้อย่างไร? พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าจะไปตามหมอมาให้ท่านนะเจ้าคะ”
เซี่ยยวี่หลัวดึงนางไว้ “ไม่ต้องไป ไม่เป็นอะไร ปวดแค่วันนี้เดี๋ยวก็หาย”
เซียวจื่อเมิ่งไม่รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นอะไร แต่ปวดจนใบหน้าขาวซีดราวกับกระดาษก็มิปาน ไม่หาหมอจะหายหรือ?
เซี่ยยวี่หลัวปลอบนาง “ไม่เป็นไร เมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะเข้าใจเอง นี่เป็นปัญหาของสตรี”
“เป็นแบบนี้ทุกคนหรือ?” เซียวจื่อเมิ่งไม่เข้าใจ
“ไม่ใช่ทุกคน บางคนเป็น บางคนไม่เป็น คนที่เป็นก็แยกออกเป็นหลายประเภท บางคนจะปวด บางคนไม่ปวด แต่ละคนไม่เหมือนกัน!” เซี่ยยวี่หลัวอธิบาย
นางนอนมาตลอดช่วงเช้า ในที่สุดก็มีแรงขึ้นมาบ้าง
หลังจากกล่าวไม่กี่ประโยคก็เริ่มปวดขึ้นมาอีก เซี่ยยวี่หลัวหลับตากล่าวกับเซียวจื่อเมิ่ง “ตอนเช้าข้าไม่ได้ลุก เจ้ากับพี่รองกินอะไร?”
เซียวจื่อเมิ่งได้แต่ก้มหน้าไม่กล้าพูด นางนึกว่าพี่สะใภ้ใหญ่กลับไปเป็นพี่สะใภ้ใหญ่คนเดิมแล้ว
เซียวจื่อเมิ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่…” จู่ๆ น้ำเสียงก็สะอื้นท่าทางเสียใจ แล้วเด็กคนนี้ก็ร้องไห้
“เป็นอะไรไป? จื่อเมิ่ง อยู่ดีๆ ทำไมถึงร้องไห้?” เซี่ยยวี่หลัวลืมตาก็เห็นเซียวจื่อเมิ่งร้องไห้
“ฮือๆ พี่สะใภ้ใหญ่ ข้านึกว่าท่านกลายเป็นพี่สะใภ้ใหญ่คนเดิม ไม่สนใจข้าแล้ว ฮือๆ…” เซียวจื่อเมิ่งจับแขนเสื้อเซี่ยยวี่หลัว กล่าวพลางสะอื้นไห้
เซี่ยยวี่หลัวฝืนแย้มรอยยิ้ม “เพราะเจ้ากลัวว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะกลายเป็นพี่สะใภ้ใหญ่คนเดิม จึงร้องไห้ ทั้งยังร้องไห้จนตาแดง?”
เซียวจื่อเมิ่งพยักหน้าพลางขานตอบ “อืม ข้ากลัว…”
นางเหมือนเด็กตัวเล็ก เกาะอยู่ตรงหัวเตียงมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางระแวดระวัง ด้วยกลัวว่าเซี่ยยวี่หลัวจะยังเหมือนแต่ก่อน ทั้งดุและโหดร้ายกับนาง กลัวว่าความอ่อนโยนและการเอาใจใส่ดูแลนางจะเป็นเพียงความฝัน
เซี่ยยวี่หลัวฝืนเค้นแรงที่มี ลูบศีรษะเล็กของเซียวจื่อเมิ่งด้วยความอ่อนโยน
ผมนี่คาดว่าเซียวจื่อเซวียนจะเป็นคนหวีให้ กลายเป็นผมเปียสองข้างเหมือนเคย ผูกแบบขอไปที ปอยผมปล่อยลู่ลงตรงอก พอจะดูออกว่าในตอนนั้น คนที่หวีผมให้รู้สึกอัดอั้นใจเพียงใด!