บทที่ 33 ฝันร้าย

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 33 ฝันร้าย Ink Stone_Romance

“เรื่องนี้จะมีอันใดได้” หมิงเซียงแปลกใจ “ตระกูลหลีเดิมทีไม่ใช่คนตรงไปตรงมาอะไร หากไม่ใช่เพราะบรรพบุรุษสะสมคุณธรรมความดี ติดตามไท่จู่จนกลายเป็นขุนนางที่มีคุณงามความดี พวกเขาจะได้สมรสกับคนในราชวงศ์อย่างนั้นหรือ”

นางยิ้มอย่างเหยียดหยาม “หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวชื่อเสียงของบุตรสาวผู้นี้จะต้องแย่ลงเป็นแน่จนไม่สามารถออกเรือนกับตระกูลมีฐานะได้ ทำได้แค่เพียงพึ่งพาคุณชายหยาง ถ้าหากสำเร็จขึ้นมาก็ถือว่าดีไม่ใช่หรือ”

หมิงเวยขมวดคิ้ว “ถ้าหากไม่สำเร็จล่ะ”

“บุตรสาวก็จะไม่สามารถออกเรือนกับชนชั้นสูงได้ หากแพ้ขึ้นมาก็จะกลายเป็นเช่นนี้” หมิงเซียงกล่าวอย่างเย็นชา

หมิงเวยเงียบ…

หมิงเซียงปลอบนาง “พี่เจ็ด ท่านไม่ต้องตกใจไป ไม่เป็นไร บ้านของพวกเราไม่เหมือนกับบ้านของพวกเขา”

หมิงเวยยิ้มให้นาง “อืม” เรื่องของคุณชายหยาง นางเพียงฟังๆ ไปอย่างนั้น

ในความคิดของนางนึกถึงอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

………

เมื่อถึงช่วงเวลากลางคืนที่เงียบสงบอีกครั้ง หมิงเวยเปิดหน้าต่าง ควันพวยพุ่งเข้ามาในห้องและกลิ้งไปบนพื้น จากนั้นกลายร่างเป็นงูสีขาวตัวน้อย

“นายท่าน”

“รู้สึกอย่างไรบ้าง”

งูสีขาวตัวน้อยเลื้อยไปรอบๆ ห้องอย่างมีความสุข “พลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าเดิมด้วยเจ้าค่ะ!”

หมิงเวยหัวเราะ “มนุษย์เป็นวิญญาณของสรรพสิ่ง เดิมทีเป็นเพราะสภาพแวดล้อมเป็นใจ แต่เจ้าดื่มจิง[1]และเลือดของข้า แน่นอนว่าพลังต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เชื่อเถอะว่าอีกสามสิบห้าปี เจ้าจะกลายร่างได้อย่างแท้จริง”

“จริงหรือ” งูขาวแทบไม่อยากเชื่อ “ปีศาจอย่างพวกเราหากต้องการกลายร่าง อย่างน้อยต้องใช้เวลาหลายร้อยปี! แล้วยังการลงโทษจากสวรรค์อีก…”

“นี่คือข้อดีของวิญญาณสามารถกลายร่างได้โดยตรง” อย่างไรก็ตามการกลายร่างของวิญญาณเป็นเพียง ‘รูป’

หมิงเวยไม่พูดถึงเรื่องนี้แต่ถามกลับไปว่า “จวนที่นี่ เจ้าชมครบทุกที่แล้วหรือยัง”

เมื่อได้ยินนางคุยเรื่องจริงจัง งูสีขาวตัวเล็กก็นั่งลงบนพื้นอย่างเชื่อฟังและพูดว่า “ครบแล้วเจ้าค่ะ”

“เรือนฝั่งตะวันออกที่ข้าบอกไปเจ้าไปดูมาหรือยัง”

“ดูแล้วเจ้าค่ะ” งูขาวยกหงอนขึ้น พูดเสียงแผ่วเบาด้วยความเสียใจเล็กน้อย “แต่บนร่างกายของคนคนนั้นมีกลิ่นที่ข้าไม่ชอบ”

“เพราะฉะนั้นข้าถึงให้เจ้าไปดูอย่างไรล่ะ!” หมิงเวยกระซิบเบาๆ “หากเจ้าไม่ชอบ แค่จัดการกับเขากลิ่นพวกนั้นก็ไม่มีแล้ว”

งูขาวถูกตรรกะโจรของนางโน้มน้าว “มีเหตุผล…”

“แล้วเจ้าไปเห็นอะไรมา”

“ข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้เขา ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างที่ข้าเกลียดอยู่ในห้องของเขา” งูขาวตัวน้อยพูด “นอกเหนือจากนั้นข้าไม่พบอะไรเลย”

หมิงเวยพยักหน้า “ดี คอยจับตาดูต่อไปให้ความสนใจเป็นพิเศษว่าคนผู้นั้นติดต่อกับคนในสวนอวี๋ฟางหรือไม่”

“เจ้าค่ะ” พูดจบงูขาวก็กลายร่างเป็นควันแล้วลอยออกจากหน้าต่างไป

หมิงเวยยืนอยู่ริมหน้าต่าง นางเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ ใกล้ถึงช่วงเวลาที่ดอกไม้ออกดอกหรือผลิบานแล้ว ทำให้สวนอวี๋ฟางภายใต้แสงจันทร์นั้นงดงามเป็นอย่างมาก

แต่สิ่งสกปรกที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความงามนี้มีมากเพียงใดกัน ผู้ที่นางให้งูขาวคอยจับตามองนั้นก็คือนายท่านสอง

ในวันที่นางพบเขาที่ทางเดิน หมิงเวยรู้สึกว่าเขากับฮูหยินสามมีความสัมพันธ์บางอย่างระหว่างกัน ยิ่งเข้ากันกับฮูหยินสาม นางก็ยิ่งรู้สึกหนักใจกับอีกฝ่ายมากเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาครอบครัวระหว่างแม่และบุตรสาว บ่อยครั้งที่นางตกอยู่ในภวังค์ ดูเหมือนนางกำลังรอเรื่องบางอย่างซึ่งทำให้นางไม่สบายใจ

หมิงเวยไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย นางได้มองฮูหยินสามเป็นท่านแม่ของตนเองไปแล้ว จึงไม่สามารถทนได้หากมีผู้อื่นทำให้นางไม่มีความสุข

เพราะผู้อื่นทำให้ฮูหยินสามไม่มีความสุข งั้นนางก็จะทำให้คนผู้นั้นไม่มีความสุขไปด้วย

ในเวลานั้นเอง งูขาวตัวน้อยก็กลับมา

“นายท่าน!” หมิงเวยเห็นมันพูดอย่างกระวนกระวายจึงถาม “เกิดอะไรขึ้น”

“เมื่อสักครู่มีคนส่งกระดาษเข้ามาเจ้าค่ะ แล้วท่านแม่ของท่านก็แต่งตัวออกไปข้างนอก”

หมิงเวยขมวดคิ้ว “ไปที่ใด”

“ท่านมากับข้า…”

………..

ฮูหยินสามรออยู่ในห้องหลิวจิ่งสักพักประตูก็ถูกเปิดออก เมื่อหันกลับไป กลับพบว่าไม่ใช่คนที่นางคาดไว้

นางขมวดคิ้ว “น้องหก ท่านมาทำอะไรที่นี่”

นายท่านหกยืนพิงประตูด้วยอาการมึนเมา เขายกยิ้มมุมปากให้แก่นาง “พี่สะใภ้สามช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก! เราสองคนผูกพันกันมาหลายปีขนาดนี้ ทำไมถึงทำเป็นไม่รู้จักกันได้เล่า ข้ามาทำอะไรงั้นหรือ แน่นอนว่ามาแสดงความรู้สึกต่อท่านอย่างไรเล่า!”

พูดจบเขาก็กระโจนเข้ามาหา

“หยุดอยู่ตรงนั้นนะ!” ฮูหยินสามร้องลั่น

นายท่านหกหยุดชะงัก เขาเลิกคิ้วอย่างสับสนเล็กน้อย “เหตุใดพี่สะใภ้สามต้องโกรธขนาดนี้ด้วยเล่า น้องเล็กไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกเสียหน่อย”

ฮูหยินสามกล่าวอย่างเย็นชา “พี่สองไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าไม่ให้เจ้ามาที่นี่อีก”

“เฮอะ!” นายท่านหกบ่น “พี่สองไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ไม่อนุญาตให้ข้ามา คิดจะครองไว้เพียงผู้เดียวงั้นหรือ พูดก็พูดเถอะ ข้ามาก่อนเขาเสียอีก! พี่สะใภ้สามก็เหมือนกัน ในสายตาท่านมีแต่พี่สองหรือ ส่งข้อความหาท่านสองสามคำ ท่านก็ไม่มาพบ หากไม่ใช่เพราะครั้งนี้ใช้ชื่อพี่สองข้าก็คงไม่ได้พบท่าน ท่านไม่คิดถึงความผูกพันของเราสองบ้างเลยหรือ”

“ความผูกพันงั้นหรือ” แววตาของฮูหยินสามมีแต่ความอ้างว้างและความเกลียดชัง “หมิงหรง ท่านกับข้ามีความผูกพันอะไรกันหรือ พี่สามของท่านตายไปแล้ว ข้าแค่ต้องการเลี้ยงดูเสี่ยวชีจนเติบใหญ่อย่างสงบสุขไปจนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ หากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงไม่ต้องตกมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ตอนนี้แม้ข้าจะตาย ข้าก็ไม่มีหน้าไปพบพ่อของเสี่ยวชี! ท่านทำร้ายข้าจนถึงตอนนี้ ยังจะมาพูดเรื่องความผูกพันของเราอีกหรือ น่าขันเสียจริง!”

นายท่านหกยิ้มเยาะ “อย่างที่พี่สะใภ้สามพูดมา พี่สามก็ตายไปแล้ว ท่านต้องปกป้องเขาไปชั่วชีวิตหรือ ท่านเป็นหญิงที่งดงามนัก แต่กลายเป็นหญิงร้างห้องไม่ดูน่าสงสารไปหน่อยหรือ”

“เฮอะ!” ฮูหยินสามโกรธจนหน้าเขียว นางชี้ไปที่ประตู “ไร้ยางอาย ไปให้พ้น!”

เมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของนาง รอยยิ้มก็หายไปจากใบหน้าของนายท่านหก เขาพูดอย่างช้าๆ “พี่สะใภ้สาม น้องหรงขอเตือนท่าน หากพูดเรื่องนี้ออกไป ผู้อื่นจะบอกว่าท่านไร้ยางอาย สามีตายไปท่านถึงกับทนไม่ไหว คบชู้กับพี่ชายน้องชายในครอบครัวเดียวกัน โถๆ เสี่ยวชีมีท่านแม่เช่นนี้ ช่างน่าสงสารเสียเหลือเกิน!”

ฮูหยินสามโกรธจนตัวสั่น “นี่ท่านเอาเสี่ยวชีมาขู่ข้าหรือ”

นายท่านหกยิ้มแล้วพูดว่า “นี่เรียกว่าเป็นการขู่ได้อย่างไร ข้าก็แค่เตือนสติพี่สะใภ้สามว่าชื่อเสียงของบุตรสาวสำคัญมากแค่ไหน หากมีมารดาที่สูญเสียความบริสุทธิ์ ต่อไปใครจะกล้ามาสู่ขอนางกัน พูดขึ้นมาก็นึกขึ้นได้ เสี่ยวชีอายุสิบห้าแล้ว ตอนนี้ไม่โง่แล้วด้วย เกิดมางดงามเช่นนี้ ด้วยชื่อเสียงของท่านปู่ การออกเรือนไปกับตระกูลที่ดีไม่ใช่เรื่องยาก พี่สะใภ้สามท่านไม่คิดทบทวนหน่อยหรือ”

ฮูหยินสามเกลียดจนอยากจะกรีดใบหน้าของคนตรงหน้านี้

นางจึงพูดอย่างเย็นชา “หมิงหรง ท่านไม่มีวันได้เป็นผู้นำตระกูลหมิงหรอก คำพูดนี้ท่านไปพูดต่อหน้าพี่สองอีกรอบแล้วค่อยมาขู่ข้าอีกทีก็ไม่สาย”

“ฮ่าๆ พี่สะใภ้สามรักพี่สองมากกว่าจริงๆ ด้วย ทำน้องเล็กรู้สึกชื่นใจยิ่งนัก” นายท่านหกค่อยๆ จัดแขนเสื้ออย่างช้าๆ แล้วเดินไปข้างหน้า “แต่พี่สะใภ้สาม ท่านปากไม่ตรงกับใจมาตลอดให้น้องเล็กดูสักหน่อยเถิดว่าร่างกายของท่านคงไม่…”

“ท่านจะทำอะไร หยุดนะ!” ฮูหยินสามถอยหลังด้วยความตกใจ ห้องสวดมนต์กว้างขนาดนี้ นางจะถอยไปทางใดดี พอนางหมุนตัวเตรียมจะวิ่ง นายท่านหกก็กระโจนเข้ามาหาและกดนางลงบนโต๊ะบูชา

“พี่สะใภ้สาม” นายท่านหกหอบหายใจหนักยื่นมือไปฉีกคอเสื้อ “เสวียนหนี่เหนียงเหนียงกำลังดูพวกเราอยู่! แบบนี้ไม่น่าตื่นเต้นกว่าหรือฮ่าๆๆ…อา!”

เขาหันหน้าไปมองเห็นปิงซินถือแจกันอยู่ในมือ นางมองดูพวกเขาด้วยความหวาดกลัว

นายท่านหกเห็นอย่างนั้นก็เกิดโทสะ “เจ้าเป็นแค่สาวใช้ กล้าทุบตีเจ้านายงั้นหรือ!”

ปิงซินน้ำตาไหล แต่นางไม่ยอมถอย พูดเสียงสั่น “ปล่อย…ปล่อยฮูหยินนะ!”

“ดี!” นายท่านหกถูกกระตุ้นจนเกิดอารมณ์ร้าย “ในเมื่อเจ้าไม่ไป งั้นวันนี้ข้าจะทำทั้งสองคนด้วยกันเนี่ยแหละ!”

พูดจบเขาก็วาดฝ่ามือใส่ “อา!” นายท่านหกเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพี่น้องตระกูลหมิง ปิงซินถูกตบจนล้มลงกับพื้น

“ปิงซิน!” ฮูหยินสามต้องการไปดูนาง แต่ก็ถูกนายท่านหกจับเอาไว้ “พี่สะใภ้สามไม่ต้องรีบ น้องเล็กจะทรมานท่านก่อนแล้วค่อยไปจัดการกับนาง!”

ใบหน้าที่ดุร้ายและน้ำเสียงมุ่งร้ายทำให้ฮูหยินสามรู้สึกเหมือนนางกลับไปสู่ฝันร้ายนั่น นางไม่สามารถบอกได้ว่าตนเองอยู่ที่ไหน เป็นเมื่อสิบปีก่อนหรือปัจจุบัน เป็นฝันร้ายหรือเป็นเรื่องจริง

แต่ไม่สามารถหลุดพ้นทำอย่างไรก็ไม่สามารถหลุดพ้น

“ไปให้พ้น ไปให้พ้นนะ!” นางทำได้เพียงตะโกนเช่นนี้ แต่บริเวณโดยรอบของห้องหลิวจิ่งได้รับการทำความสะอาดเมื่อนานมาแล้ว นอกจากปิงซินแล้วก็ไม่มีใครที่ได้ยิน

นางได้ยินแต่เสียงผ้าที่ฉีกขาด ร่างกายของนางถูกมือสกปรกทาบทับไว้

นางหลับตาลง อธิษฐานในใจ ‘เสวียนหนี่เหนียงเหนียง ได้โปรดเมตตา ช่วยลูกด้วยเถิด…’

ดูเหมือนเสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะได้ยินคำอ้อนวอนของนาง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ตุ้บ’ ประตูถูกเตะออกแล้วก็มีเสียงที่นุ่มนวลทว่าเย็นชาดังขึ้นมา “ดูเหมือนท่านอาหกจะอารมณ์ดี ท่านกำลังทำอะไรอยู่หรือ บอกหลานหน่อยได้หรือไม่”

…………………………………………………………

[1] จิง : สารจำเป็น