เล่ม 1 ตอนที่ 30 ติดกับเสียแล้ว

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ปากถ้ำภูเขานั้นเล็กมาก แต่หลังจากเข้าไปแล้วกลับมีพื้นที่ใหญ่โตอย่างยิ่ง คาดว่าคนสักสามสี่ร้อยคนเข้าไปข้างในก็คงยังไม่อึดอัดอย่างชัดเจนสักเท่าใดนัก

ก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวเย่ว์เคยเห็นห้องหนังสือสะสมของบ้านตนมาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ประหลาดใจแต่อย่างใด แต่คนที่อยู่รอบตัวนั้นเพิ่งจะเคยเห็นฉากอันอลังการเช่นนี้เป็นครั้งแรก แต่ละคนจึงตกตะลึงกันเป็นอย่างยิ่ง

เธอมองดูทั่วทั้งถ้ำภูเขารอบหนึ่ง แต่ก็มองไม่เห็นประตูที่ว่านั้นแต่อย่างใด เห็นเพียงแค่รัศมีวงกลมสีขาวสามกลุ่มที่เปล่งประกายแสงจางๆ ออกมา

“เอาล่ะ ทุกคนเงียบก่อน” อาจารย์ท่านหนึ่งเอ่ยเสียงดัง เสียงนั้นก้องสะท้อนอยู่ภายในถ้ำ ทุกคนจึงเงียบสงบลงในทันใด

“อาจารย์ พวกเราไม่เห็นประตูตรงไหนเลยนี่ขอรับ!” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น

“ค่ายกลนำส่งทั้งสามอันตรงหน้าพวกเจ้านี้ก็คือประตูอย่างไรเล่า หลังจากเข้าไปแล้วพวกมันก็จะพาพวกเจ้าไปยังห้องที่วางไข่สัตว์อสูรอยู่ พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี เมื่อใดที่เลือกไข่สัตว์อสูรฟองหนึ่งได้แล้วก็จะถูกดีดตัวออกมา ไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สองแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าก็จะต้องใช้โอกาสครั้งเดียวนี้ให้ดีๆ อย่าได้ลงมือไปอย่างลวกๆ จงเลือกไข่ฟองที่พวกเจ้ามีความรู้สึกกับมันมากที่สุด” อาจารย์อีกท่านหนึ่งพูดขึ้น

“ถูกต้อง พวกเจ้าไปได้เพียงแค่ค่ายกลนำส่งสามอันตรงหน้านี้เท่านั้น ห้ามไปที่อันที่สี่เด็ดขาด หากใครไปที่ค่ายกลนำส่งอันที่สี่แล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก็ต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาภายหลังเองนะ” อาจารย์ท่านแรกพูด

“อาจารย์ขอรับ ค่ายกลนำส่งแต่ละอันเหมือนกันหรือไม่ขอรับ”

“เหมือนกันทั้งหมดนั่นแหละ นี่คือค่ายกลนำส่งแบบสุ่ม ความเป็นไปได้ในการส่งตัวไปยังสถานที่แห่งนั้นล้วนมีเท่าๆ กันหมดเลย เอาล่ะ พวกเจ้าไปกันเถิด อย่าไปแออัดกันล่ะ”

อาจารย์เอ่ยวาจาออกไปแล้วทุกคนต่างพุ่งตัวไปยังค่ายกลนำส่ง ถึงแม้ว่าอาจารย์จะบอกไว้แล้วว่าโอกาสในประตูเหล่านี้ไม่แตกต่างกัน แต่พวกเขายังรู้สึกว่าหากได้เข้าไปก่อน ย่อมมีโอกาสมากกว่า หลังจากที่นักเรียนบางส่วนขึ้นไปบนค่ายกลนำส่งแล้วก็หายตัวไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้จึงกรูกันเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ในฝูงชนถูกดันตัวให้ขึ้นไปข้างหน้า แล้วถูกบีบให้เข้าไปด้านในสุด

ค่ายกลนำส่งอันที่อยู่ด้านในสุดก็คืออันที่เหล่าอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาว่าไม่ให้ไปอันนั้นนั่นเอง ทุกคนต่างก็คิดว่าภายในนั้นไม่มีไข่สัตว์อสูรอยู่ ดังนั้นจึงไม่ไปที่นั่น

ค่ายกลนำส่งอันนั้นไม่ได้เปิดอยู่ แต่เมื่อซือหม่าโยวเย่ว์มองไปก็ดูคล้ายว่าค่ายกลนำส่งอันนั้นเปล่งแสงขึ้นมาสองสายท่ามกลางความสับสนอลหม่าน

“มาสิ… “มาสิ…”

ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ยินเสียงเรียกเสียงนั้นอีกแล้ว ทันใดนั้นก็สะดุ้งคราหนึ่ง และในขณะนี้เอง เธอถูกคนผลักจากด้านหลังจนขึ้นไปยืนอยู่บนค่ายกลนำส่งอันที่สี่นั้นทั้งตัว

ในขณะนี้เอง ค่ายกลนำส่งเปล่งลำแสงสีแดงเจิดจ้าออกมา เธอหมุนตัวกลับมาท่ามกลางความตื่นตะลึง ก็เห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความชิงชังของเหอชิวจือ รวมทั้งใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“เจ้า…” ยังไม่ทันพูดได้ครบประโยค เธอก็หายลับไปในค่ายกลนำส่งเสียแล้ว

บรรดาอาจารย์ที่กำลังมองดูนักเรียนแก่งแย่งช่วงชิงกันอยู่ตรงประตูต่างตาพร่าเพราะลำแสงสีแดง จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่นอย่างตื่นตกใจขึ้นมาในทันใด “ใครกันที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่เมื่อครู่นี้”

ภายในถ้ำมีนักเรียนเหลืออยู่เพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างก็มองหน้ากันไปมา ไม่รู้ว่าบรรดาอาจารย์เป็นอะไรกันไปเสียแล้ว

“อาจารย์ขอรับ ดู… ดูเหมือนว่าจะเป็นซือหม่าโยวเย่ว์ นักเรียนห้องเรียนที่หนึ่งขอรับ” มีคนพูดขึ้น

“ซือหม่าโยวเย่ว์หรือ ข้ารู้แล้ว พวกเจ้าจัดการกันต่อเถิด” อาจารย์ท่านนั้นพูด

ในเมื่อเป็นคนไร้ค่าผู้นั้นก็ไม่มีอะไรน่ากังวลใจเลย

เพื่อหลีกเลี่ยงมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นเมื่อครู่นี้ บรรดานักเรียนจึงเงียบสงบลงมาในทันใดแล้วขึ้นไปบนค่ายกลนำส่งกันอย่างเป็นระเบียบ จากนั้นก็หายลับไปในถ้ำภูเขา

ก่อนหน้านี้เฟิงจือสิงอยู่นอกถ้ำมาโดยตลอด แต่เมื่อเห็นลำแสงสีแดงที่วาบผ่านมาจากด้านในก็รู้ว่านั่นคือประกายจากค่ายกลนำส่งอันที่สี่ ในใจเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมาในทันใด

เขามาตรงปากถ้ำแล้วถามว่า “ผู้ที่เข้าไปในค่ายกลนำส่งอันที่สี่เมื่อครู่นี้คือใครกันหรือ”

“เป็นซือหม่าโยวเย่ว์ นักเรียนในชั้นเรียนของเจ้าอย่างไรเล่า” อาจารย์ท่านหนึ่งพูด “คงจะเป็นช่วงที่แออัดกันอยู่แล้วไม่ระวังจนถูกเบียดเข้าไปกระมัง”

“อะไรนะ!” เฟิงจือสิงหัวใจเต้นผิดจังหวะไปในทันใดแล้วพูดขึ้นมาว่า “ภายในนั้นมิใช่…”

“อาจารย์เฟิง พอหลังจากที่นักเรียนเข้าไปแล้ว หากหาไข่สัตว์อสูรไม่พบก็มิอาจออกมาได้ ตอนนี้เจ้าร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”

“ถูกต้อง ถึงแม้ว่าวิทยาลัยจะมิได้เปิดใช้ค่ายกลนำส่งอันที่สี่มาโดยตลอด แต่ก็คงจะไม่มีปัญหาอันใดอยู่แล้วกระมัง”

ไม่มีปัญหาหรือ จะเป็นไปได้อย่างไรกัน!

เมื่อวานท่านอาจารย์ใหญ่ยังเพิ่งบอกกับเขาว่านักเรียนที่เข้าไปก่อนหน้านี้ พอออกมาแล้วต่างสติเลอะเลือน เส้นลมปราณที่สำคัญถูกทำลาย สิ่งที่สั่งสมมาตลอดร่างถูกทำลายยับเยิน เช่นนี้จะยังเรียกว่าไม่มีปัญหาอีกหรือ

อันที่จริงแล้วสิ่งที่ท่านอาจารย์ใหญ่มิได้พูดก็คือหลังจากที่นักเรียนเหล่านั้นเข้าไปแล้วก็มิได้ออกมาอีก ติดอยู่ในนั้นไปตลอดกาล

“อาจารย์เฟิง เจ้าเป็นอาจารย์ที่มาใหม่ มิใคร่จะเข้าใจในสิ่งนี้สักเท่าใดนัก แต่พวกเราต่างก็อยู่ที่นี่กันมาเป็นเวลานานถึงเพียงนี้แล้ว เข้าใจสถานการณ์เหล่านี้เป็นอย่างดี ไม่มีปัญหาอะไรหรอกน่า” อาจารย์ท่านหนึ่งพูด “เรื่องที่ได้ยินมาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น นักเรียนคนนั้นคงจะไม่เป็นอะไรหรอก”

“ข้าก็จะเข้าไปด้วย” เฟิงจือสิงมิได้นำพาคำปลอบประโลมของอาจารย์ท่านอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย แล้วตรงไปยังค่ายกลนำส่งอันที่สี่ แต่ไม่ว่าเขาจะใส่ปราณวิญญาณเข้าไปอย่างไร ค่ายกลนำส่งก็ไม่ขยับเขยื้อนเลย ไม่มีวี่แววว่าจะเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย

ในขณะนี้นักเรียนก็เข้าไปกันไม่น้อยแล้ว เมื่อบรรดาอาจารย์เห็นเฟิงจือสิงขึ้นไปบนค่ายกลนำส่ง แต่ละคนตกใจจนตัวลอย แต่เมื่อเห็นว่าค่ายกลนำส่งไม่มีการตอบสนองก็วางใจลง

“อาจารย์เฟิง ค่ายกลนำส่งนี้แปลกประหลาดยิ่งนัก มิใช่ว่าใครๆ ก็จะใช้ได้ ท่านก็รออยู่ที่นี่ก่อนเถิด”

เฟิงจือสิงออกมาแล้วมองดูค่ายกลนำส่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหมุนตัวเดินออกมาจากถ้ำภูเขาแล้วตรงไปยังห้องทำงานของท่านอาจารย์ใหญ่

ถึงแม้ว่าค่ายกลนำส่งนี้ดูเหมือนจะไม่ต่างกันกับอีกสามอันสักเท่าใดนัก แต่ถ้าดูอย่างละเอียดแล้วก็ยังมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง บางทีท่านอาจารย์ใหญ่คงจะรู้ว่าจะเข้าไปได้อย่างไร

แต่ว่าคำตอบของท่านอาจารย์ใหญ่ทำให้ความหวังของเขาพังทลายลงเสียแล้ว

“ค่ายกลนำส่งอันนั้นมีมาตั้งแต่ตอนก่อตั้งวิทยาลัยแล้ว ในตอนแรกเป็นสถานที่ต้องห้ามของวิทยาลัย ต่อมาพวกเราจึงได้เปิดค่ายกลนำส่งอีกสามอันเอาไว้ตรงนั้นสำหรับเข้าสู่ห้องไข่สัตว์อสูร มีเพียงผู้ที่มันรู้จักเท่านั้นจึงจะเข้าไปภายในค่ายกลนำส่งได้”

“มันหรือ นั่นคือสิ่งใดกัน”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน คำเตือนที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีตมิได้กล่าวเอาไว้ให้ชัดเจน ว่ากันว่าภายในนั้นนอกจากไข่มรณะแล้วก็ยังมีสิ่งอื่นอยู่อีก ดังนั้นจึงได้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้นกับนักเรียนที่เข้าไป” ท่านอาจารย์ใหญ่พูด

“เช่นนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะเข้าไปได้แล้วหรือ” สองมือของเฟิงจือสิงยันไว้กับโต๊ะพลางถามอย่างร้อนรน

ท่านอาจารย์ใหญ่ส่ายหน้าอย่างจนใจ เฟิงจือสิงทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ในทันใด

ท่านอาจารย์ใหญ่มองเฟิงจือสิงอย่างสงสัยปราดหนึ่ง เจ้าคนผู้นี้เคยแสดงท่าทีกระสับกระส่ายร้อนรนเช่นนี้เสียที่ไหนกัน เจ้าเด็กคนนี้ในความคิดของเขานั้นเป็นคนเลือดเย็นไร้อารมณ์มาโดยตลอด

“ข้าจะไปรออยู่ที่นั่นก็แล้วกัน” เฟิงจือสิงเก็บสีหน้าอาการแล้วลุกขึ้นเดินออกไป

ตอนที่มาถึงภูเขาด้านหลังมีนักเรียนออกมาแล้ว พร้อมกับอุ้มไข่สัตว์อสูรขนาดเล็กบ้างใหญ่บ้างเอาไว้ในมือ

เขามองดูค่ายกลนำส่งอันที่สี่ปราดหนึ่งอย่างกังวลใจ โยวโยว เจ้าต้องออกมาอย่างปลอดภัยนะ…

หลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์หายตัวไปจากค่ายกลนำส่งแล้วก็รู้สึกวิงเวียนตาพร่า ยังไม่ทันจะได้คิดใคร่ครวญอะไร ตัวก็ร่วงหล่นลงบนพื้นอันนุ่มนิ่มแล้ว

“ไอ้หยา! ปู่เจ้าสิ!” เธอปีนป่ายขึ้นมาจากพื้น ยังดีที่ตรงนี้มีใบไม้กองหนารองรับอยู่ ไม่อย่างนั้นเธอคงตกลงไปเละเป็นโจ๊กแน่

“ชั่วช้ากล้าวางกับดักข้า อย่าให้ข้าออกไปนะ จะไปตามจองล้างจองผลาญเจ้า!”

เธอปัดเศษไม้ใบหญ้าที่ติดอยู่ตามร่างกายตัวเองแล้วเริ่มประเมินสถานการณ์รอบๆ ไม่ได้บอกว่าจะส่งตัวไปที่ห้องไข่สัตว์อสูรหรอกหรือ แล้วเหตุใดจึงส่งตัวเธอเข้ามาในป่าแห่งหนึ่งได้เล่า

………………