ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูสถานที่ที่ตนอยู่ ซึ่งเป็นป่าไผ่เขียวขจี กิ่งไผ่ทุกกิ่งดูคล้ายกับเปล่งประกายสีเขียวจางๆ บนพื้นดินมีใบไม้ร่วงกองอยู่อย่างหนาทึบชั้นหนึ่ง
เธอมาถึงตรงหน้าต้นไผ่ต้นหนึ่งแล้วยื่นมือไปสัมผัส ก็รู้สึกว่าปลายนิ้วเยียบเย็นดุจน้ำแข็ง คล้ายกับว่าสิ่งที่สัมผัสถูกนั้นคือก้อนน้ำแข็งใหญ่ก้อนหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
“เย็นจังเลย!” เธอรู้สึกว่านิ้วมือของเธอคล้ายกับถูกแช่แข็งจนแทบจะไร้ความรู้สึกอยู่แล้ว จึงรีบชักมือกลับมา
เธอเดินไปมารอบหนึ่งแล้วก็ค้นพบว่าป่าแห่งนี้ใหญ่โตเหลือคณา เธอเดินมาครึ่งชั่วโมงแล้ว แต่ก็ยังเดินวนอยู่ภายในป่าไผ่อยู่เลย
“นี่มันสถานที่ผีบ้าอะไรกันแน่ มิได้บอกว่านี่คือภาพลวงตาหรืออย่างไร ทำไมจึงรู้สึกว่าใบไม้ก้อนหินเหล่านี้ช่างสมจริงเสียเหลือเกิน” เธอหย่อนก้นลงนั่งบนก้อนหินก้อนหนึ่งแล้วนวดทุบท่อนขาที่อ่อนล้าของตน “ร่างกายนี่ก็ช่างอ่อนแอเหลือเกิน เพิ่งจะเดินมาเพียงแค่ครู่เดียวก็เหนื่อยล้าถึงขนาดนี้แล้ว ห่างชั้นกับชาติก่อนไกลโขเลย ถ้าหากหลังจากนี้ต่อตีกับผู้อื่นขึ้นมาก็คงจะเสียเปรียบมากทีเดียว! ดูท่าหลังจากนี้ไปคงต้องออกกำลังสักหน่อยแล้ว”
พักผ่อนครู่หนึ่งแล้วเธอก็เดินเตร่ในป่าต่อไป ไม่ต้องพูดถึงไข่สัตว์อสูรเลย แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตสักตัวหนึ่งเธอก็ยังไม่พบเจอเลยเสียด้วยซ้ำ
“โอ๊ย… นี่มันสถานที่ผีบ้าอะไรกันแน่! มิได้บอกว่าถ้าหาไข่สัตว์อสูรพบจึงจะออกไปได้หรอกหรือ ที่นี่ไม่มีไข่แม้แต่ฟองเดียวเลยด้วยซ้ำ แล้วจะให้ฉันหายังไงล่ะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์เตะกองใบไผ่ที่นูนขึ้นมาตรงหน้าทีหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะเตะเอาสิ่งที่อยู่ใต้กองใบไม้กลิ้งหลุนๆ ออกมาสองตลบ
“กะโหลกศีรษะหรือ!” เมื่อมองเห็นของที่ลอยมาตรงหน้า ซือหม่าโยวเย่ว์ก็หนาวยะเยือกไปทั้งตัว ในขณะนี้เองเธอจึงค้นพบว่าบริเวณที่ตนยืนอยู่นั้นมีชิ้นส่วนกะบังลมอยู่ด้วย
เธอก้มหน้าลงมอง เพราะเพิ่งจะออกแรงไป ใบไผ่ที่อยู่ใต้เท้าจึงถูกเตะเปิดออกไปไม่น้อย นอกจากกะโหลกศีรษะที่เพิ่งถูกเตะออกไปแล้ว ใต้ฝ่าเท้าของเธอยังมีชิ้นส่วนอื่นๆ ของร่างกายอยู่อีกไม่น้อย
เธอถอยหลังไปสองก้าว ลงมาจากบนกองกระดูก แล้วแหวกกองใบไม้ออกจนหมด จึงเห็นภาพรวมทั้งหมดของโครงกระดูกได้อย่างชัดเจน
“บนกระดูกไม่มีรอยแผลเป็นอยู่เลย ดูท่าทางตอนที่คนคนนี้ตายจะไม่ได้เผชิญอันตรายจากภายนอกแต่อย่างใด” เธอตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เมื่อคิดถึงว่าเมื่อครู่ตนเองเพิ่งจะเดินวนในป่าไปได้ครึ่งรอบ จึงเอ่ยพึมพำว่า “หรือว่าคนคนนี้จะหิวตาย หรือว่าขาดน้ำจนตายกันล่ะ”
“เจ้านาย นี่คือค่ายกลอันหนึ่ง” เสียงของเจ้าวิญญาณน้อยดังขึ้น
“ค่ายกลหรือ ก่อนหน้านี้คล้ายจะได้ยินว่าภายในนี้คือค่ายกลที่ทำให้คนเห็นว่าไข่สัตว์อสูรที่มีอยู่เหมือนกันทั้งหมด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้าบอกว่านั่นคือค่ายกลลวงตา ทว่าค่ายกลนี้ไม่ใช่ค่ายกลลวงตา หากแต่เป็น…ค่ายกลลวงต่างหากเล่า” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ค่ายกลลวงหรือ นั่นคือค่ายกลอันใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ก็คือค่ายกลชนิดหนึ่งที่ทำให้คนสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างไรเรา” เจ้าวิญญาณน้อยพูด “เมื่อครู่เจ้าถูกค่ายกลทำให้หลงผิดไปเหมือนกัน ดังนั้นเจ้าก็เลยเร่งร้อนมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเมื่อครู่ข้าจะเรียกเจ้าหลายครั้ง แต่เจ้าก็ไม่ได้ยินข้าเลย”
“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าแล้วหรือ ในเมื่อก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้ยินเลย แล้วเหตุใดตอนนี้จึงได้ยินขึ้นมาเล่า ค่ายกลสลายเสียแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงว่าเมื่อครู่นี้หุนหันพลันแล่นมากขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ มิได้สงบเยือกเย็นเหมือนก่อนหน้านี้เลยแม้แต่น้อย ก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้นมาวูบหนึ่ง
“โชคดีที่กะโหลกศีรษะที่เจ้าเตะนั้นไปกระตุ้นเส้นประสาทของเจ้า ทำให้สมองของเจ้าปลอดโปร่งขึ้นมาในทันใด ข้าจึงฉวยโอกาสเข้าไปได้” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ค่ายกลนี้ช่างน่ากลัวอะไรเช่นนี้ เพราะเหตุใดวิทยาลัยจึงได้ติดตั้งค่ายกลเช่นนี้เอาไว้กัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างไม่เข้าใจ
“นี่ไม่ใช่เวลาให้เจ้ามาคิดเรื่องนี้หรอกนะ ถ้าหากเจ้าอยากออกไป ก็ต้องทำลายค่ายกลนี้เสียก่อน มิฉะนั้นจะติดอยู่ในนี้ มิอาจออกไปได้ตลอดกาล” เจ้าวิญญาณน้อยเอ่ยคำราม
“เช่นนั้นคนผู้นี้คงจะถูกขังเอาไว้จนตายอยู่ที่นี่กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เจ้าวิญญาณน้อย ในเมื่อเจ้ารู้จักค่ายกลนี้ เช่นนั้นเจ้าทำลายมันได้หรือไม่”
“ข้ามิใช่ปรมาจารย์ค่ายกลเสียหน่อย แล้วข้าจะทำลายมันได้อย่างไรเล่า!” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“เจ้ามิใช่ปรมาจารย์ค่ายกล เช่นนั้นเจ้ารู้ได้อย่างไรกันว่านี่คือค่ายกลลวง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ทุกคนที่กินข้าวได้ทำกับข้าวเป็นกันหมดเลยหรือไม่เล่า!” เจ้าวิญญาณน้อยกล่าวประชดประชัน “ไม่เคยกินเนื้อหมู แต่ก็เห็นหมูวิ่งอยู่บ่อยๆ”
“เออ… เจ้าไม่รู้ว่าจะสลายค่ายกลได้อย่างไร ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แล้วจะทำเช่นไรกันดีเล่า”
“ทำอย่างไรดี!”
“เย่ว์เย่ว์ ข้ารู้ว่าจะทำอย่างไร” เจ้าคำรามน้อยพูดแทรกขึ้นมา
ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าคำรามน้อยออกมาแล้วถามว่า “ทำอย่างไรหรือ”
“ก่อนหน้านี้เจ้ามีพี่ชายคนหนึ่งที่เป็นปรมาจารย์ค่ายกลผู้เก่งกาจ ข้าเคยได้ยินเขาบอกเจ้ามาก่อนว่าปกติค่ายกลนี้จะสลายได้ในสองสถานการณ์ หนึ่งคือวิธีสลายทางตรง ส่วนอีกอันหนึ่งคือวิธีสลายทางอ้อม”
“วิธีสลายทางตรงกับวิธีสลายทางอ้อมอย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว วิธีสลายทางตรงคือรู้กฎเกณฑ์การโคจรของค่ายกล แล้วแก้ค่ายกลออก วิธีการสลายเช่นนี้จะไม่ทำลายค่ายกล คนในค่ายกลจะไม่ได้รับบาดเจ็บ” เจ้าคำรามน้อยพูด
“วิธีการนี้ไม่ได้ ในบรรดาพวกเราไม่มีใครรู้เรื่องค่ายกลเลย ลองบอกอีกวิธีหนึ่งมาสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“วิธีสลายทางอ้อมนั้นง่ายดายยิ่งนัก” เจ้าคำรามน้อยพูด “พี่ชายเจ้าเคยบอกว่าค่ายกลทุกอันล้วนมีดวงตาค่ายกลอยู่ ขอเพียงแค่หาดวงตาค่ายกลพบแล้วดึงทิ้งเสีย ค่ายกลก็จะสลายไปแล้ว”
“วิธีนี้ง่ายดีนี่!” ซือหม่าโยวเย่ว์มองไปรอบทิศเพราะอยากจะดูเสียหน่อยว่าดวงตาค่ายกลของค่ายกลแห่งนี้อยู่ที่ไหน
“ข้ายังพูดไม่จบเลยนะ!” เจ้าคำรามน้อยพูด “วิธีสลายทางอ้อมนี้ถึงแม้จะง่าย แต่เมื่อใดที่ทำลายดวงตาค่ายกล ค่ายกลก็อาจพังทลายลง เมื่อค่ายกลแต่ละอันพังทลายลงแล้วมีผลลัพธ์แตกต่างกัน บ้างก็แตกกระจายไปเหมือนน้ำแข็งโดยไม่เป็นอันตรายกับคนในค่ายกลแต่อย่างใด บ้างก็ราวกับระเบิดที่อาจทำให้คนภายในค่ายกลได้รับบาดเจ็บหรือแม้กระทั่งถึงแก่ความตายได้ ขึ้นอยู่กับว่าคนที่ติดตั้งค่ายกลติดตั้งไว้อย่างไร”
“บ้าเอ๊ย อันตรายอะไรอย่างนี้!” ซือหม่าโยวเย่ว์คำราม
“ใช่แล้ว ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่เลือกวิธีที่สองกันหรอก” เจ้าคำรามน้อยพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าหากจะต้องระเบิดจริงๆ ข้าก็หมดหนทางแล้ว ใช้วิธีสลายทางตรงไม่ได้ ก็ได้แต่ใช้วิธีสลายทางอ้อม วิธีสลายทางอ้อมนั้นเสี่ยงไปบ้างแต่ก็อาจจะมีชีวิตรอดออกไปได้ แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็ได้แต่รอความตายอย่างเดียวเท่านั้นแล้วนะ”
“ก็ดูเหมือนจะใช่ เช่นนั้นพวกเราไปหาดวงตาค่ายกลด้วยกันเถิด” เจ้าคำรามน้อยเหาะมาอยู่เหนือศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์ ดวงตากลมโตมองไปทั่วทุกทิศทาง
“ปกติแล้วดวงตาค่ายกลมักจะไม่สะดุดตาสักเท่าใดนัก อยากจะหาดวงตาค่ายกลของค่ายกลใหญ่ขนาดนี้ออกมาก็เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้นหรอก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“เช่นนั้นก็ต้องหาอยู่ดี” ซือหม่าโยวเย่ว์ยักไหล่ “นี่เป็นเพียงวิธีเดียวในตอนนี้ ถึงอย่างไรที่เจ้านั้นก็มีของให้กินให้ดื่ม ถึงออกไปไม่ได้ก็ไม่ตายหรอกน่า สิ่งที่พวกเรามีคือเวลาที่ค่อยๆ เสียกับมันไปอย่างช้าๆ”
เจ้าวิญญาณน้อยไม่เอ่ยวาจาอีก ซือหม่าโยวเย่ว์และเจ้าคำรามน้อยค้นหาภายในค่ายกลด้วยกัน
พอหิวแล้วเธอก็ไปทำอาหารกินภายในมณีวิญญาณ พอกระหายน้ำก็เอาน้ำออกมาจากในมณีวิญญาณ พอง่วงเธอก็เข้าไปนอนในมณีวิญญาณ เดิมทีเธอคิดจะนอนหลับภายในป่าเลย แต่เจ้าวิญญาณน้อยบอกว่าหลังจากหลับแล้วสติรับรู้ของมนุษย์จะค่อนข้างอ่อนแอ ถ้าหากถูกค่ายกลหลอนประสาทอีกครั้งก็ไม่แน่ว่าเธอจะฟื้นคืนสติขึ้นมาได้อีกคราได้
เธอไม่รู้ว่าตัวเองเดินอยู่ในป่านานเท่าใด ภายในป่ามืดทึบอยู่ตลอด และมีประกายสีเขียวเล็กน้อย ถึงแม้ว่าท้องฟ้าจะมิได้มืด แต่เธอกินข้าวไปเจ็ดมื้อและนอนหลับไปตื่นหนึ่งแล้ว ต้องผ่านไปสองถึงสามวันแล้วแน่ๆ
“เย่ว์เย่ว์ ไม่เห็นจะพบดวงตาค่ายกลที่ไหนเลยนี่!” เมื่อหาดวงตาค่ายกลไม่เจอมาโดยตลอด เจ้าคำรามน้อยหดร่างกายลงอย่างท้อแท้ ก่อนจะเอนตัวลงบนหัวไหล่ของซือหม่าโยวเย่ว์
“เราจะต้องหาพบสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์เองทอดถอนใจอยู่บ้าง ที่นี่นอกจากใบไม้แล้วก็มีแต่ใบไม้ และระหว่างที่ค้นหาก็พบโครงกระดูกอื่นๆ อีกสองร่าง
“ค้นหาแบบตาบอดไปเช่นนี้ก็ไม่ใช่หนทางหรอก” เธอหยุดฝีเท้าลงแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นดวงตาค่ายกลก็ต้องมีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน หรือไม่ก็ต้องมีจุดที่พิเศษอยู่เป็นแน่ พวกเราไปสังเกตดูกันอย่างละเอียดสักรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่”
พูดจบแล้วเธอก็ไปยังก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งแล้วนั่งลงสำรวจต้นไผ่และใบไม้ที่ร่วงอยู่บนผิวดินเหล่านี้ต่อไป
……………………