เดิมทีเจ้าคำรามน้อยยังคิดอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นท่าทีแน่วแน่ของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงกลืนคำพูดที่มาถึงริมฝีปากแล้วกลับลงไป แล้วก็ไปอยู่ใกล้ๆ นาง หมายจะดูสักหน่อยว่ามีของสิ่งใดที่ดูเหมือนดวงตาค่ายกลบ้างหรือไม่
“ที่นี่ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ไม่มีพระอาทิตย์ แล้วเจ้าแสงสว่างพวกนี้มาจากไหนกัน” เจ้าคำรามน้อยมายังต้นไผ่เพียงลำพังแล้วมองดูแสงสว่างที่เปล่งออกมาจากต้นไผ่ซึ่งอาบย้อมจนขนสีขาวบริสุทธิ์ของตนกลายเป็นสีเขียวพลางพูดอย่างสงสัย
แสงสว่างหรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังวาจาของเจ้าคำรามน้อยแล้วความคิดสายหนึ่งก็วาบขึ้นมาในหัว ต้นไผ่เหล่านี้ล้วนเปล่งแสงจางๆ เหมือนกันหมด ถ้าหากหาต้นที่ไม่เปล่งแสงพบได้ ไม่แน่ว่าบางทีนั่นอาจจะเป็นดวงตาค่ายกล!
“ฮ่า เจ้าคำรามน้อย พวกเราไปหาต้นไผ่ที่ไม่เปล่งแสงกัน!” เธอยืนขึ้นแล้วปัดเศษใบไม้บนร่างกายพลางพูดกับเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ด้านหลัง
“ต้นไผ่ที่ไม่เปล่งแสงอย่างนั้นหรือ จะหาสิ่งนั้นไปทำไมกัน” เจ้าคำรามน้อยบินเข้ามาถาม
“มันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นดวงตาค่ายกล” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เอาเป็นว่าเจ้าช่วยข้าหาดูก่อนก็แล้วกัน”
“ได้สิ”
จากที่แต่เดิมทั้งคู่มัวแต่เดินไปทั่วป่าไผ่อย่างไร้จุดหมาย พอกำหนดว่าต้องหาต้นไผ่ที่ไม่มีแสงขึ้นมา จึงดูมีเป้าหมายขึ้นมาทันที “เจ้านาย ข้าสัมผัสได้แล้ว” เจ้าวิญญาณน้อยที่สงบเงียบมาโดยตลอด จู่ๆ กลับเปล่งเสียงพูดขึ้นมา
“เจ้าวิญญาณน้อย เจ้าสัมผัสสิ่งใดได้อย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์หยุดฝีเท้าแล้วถาม
“ที่นี่มีกลิ่นอายของศิลาวิญญาณอยู่” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ศิลาวิญญาณ เป็นมณีเหมือนกันกับเจ้าหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามกลับ
“ของสิ่งนั้นจะมาเปรียบกับข้าได้อย่างไรเล่า ข้าเป็นมณีวิญญาณทิพย์ ทั่วฟ้าดินมีแค่ข้าเพียงก้อนเดียวเท่านั้น ข้าหลอมเป็นมณีวิญญาณ แบกรับฟ้าดินได้ เศษขยะเหล่านั้นอย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงแค่นำมาหล่อเลี้ยงวิญญาณเท่านั้น ไม่อาจนำมาหล่อเลี้ยงชีวิตได้เสียหน่อย” เจ้าวิญญาณน้อยพูดอย่างลำพองตน
“เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตื่นเต้นไปทำไมกัน”
“เจ้าช่างโง่นัก! ในเมื่อนี่เป็นค่ายกลลวง แต่เจ้าดวงตาค่ายกลย่อมต้องทำมาจากสิ่งที่มีผลต่อวิญญาณ เช่นนี้จึงจะทำให้ค่ายกลใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“พูดเช่นนี้ก็หมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศิลาวิญญาณนั้นจะเป็นที่อยู่ของดวงตาค่ายกล?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง
“เฮอะ ยังดีที่มิได้โง่มากนัก” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“เช่นนั้นเจ้าสัมผัสถึงกลิ่นอายของมันได้ แล้วสัมผัสถึงตำแหน่งที่มันอยู่ได้หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ถ้าหากอยู่ภายนอกค่ายกล ข้าก็ยังหามาได้อยู่หรอก แต่ว่าตอนนี้เราอยู่ภายในค่ายกล ข้าจึงสัมผัสได้เพียงว่ามันอยู่บริเวณใกล้ๆภายในบริเวณรัศมีห้าสิบเมตร เจ้าไปหาเอาเองก็แล้วกันนะ”
เจ้าวิญญาณน้อยพูดจบก็เงียบไปทันทีซือหม่าโยวเย่ว์ลองมองดู กอไผ่ที่นี่ก็มิได้หนาทึบมากนัก เมื่อเปรียบเทียบกับที่อื่นๆ แล้วพูดได้ว่าหาได้ยากยิ่ง
เธอสำรวจต้นไผ่ทุกต้นอย่างละเอียด เห็นว่ากิ่งไผ่ทุกกิ่งดูคล้ายจะเปล่งแสงกันหมด ไม่มีกิ่งไหนเหมือนกับที่เธอคิดเอาไว้เลยแม้แต่กิ่งเดียว
“หรือว่าการคาดเดาของข้าจะผิดไปนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางของตนอย่างสงสัย “เย่ว์เย่ว์ บางทีดวงตาค่ายกลอาจจะมิได้อยู่ในกอไผ่ก็ได้นะ” เจ้าคำรามน้อยพูด
“มิได้อยู่ในกอไผ่อย่างนั้นหรือ”
“ใช่แล้ว ถ้าหากดวงตาค่ายกลเป็นศิลาวิญญาณจริงๆ แล้วละก็ เช่นนั้นมันก็น่าจะดูคล้ายก้อนหินมากกว่านะ” เจ้าคำรามน้อยตอบ
“อืม ก็เป็นไปได้นะ เช่นนั้นพวกเราก็ตรวจดูก้อนหินที่นี่กันสักรอบหนึ่งเถิด” ซือหม่าโยวเย่ว์อุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้แล้วทั้งสองก็พากันมองหาก้อนกรวดทั่วทุกตารางนิ้ว แต่กลับไม่พบก้อนกรวดที่นี่เลยแม้แต่ก้อนเดียว
เมื่อเห็นก้อนหินใหญ่เพียงก้อนเดียวที่มีอยู่ที่นี่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงพิจารณาหินก้อนนี้ให้ดีอีกครั้ง “อาจเป็นก้อนนี้ก็ได้กระมัง” เธอเดินเข้าไปใกล้ก้อนหินแล้วเดินวนดูอยู่สองสามรอบ รู้สึกว่าหินก้อนนี้ดูคล้ายจะแตกต่างกับก้อนหินที่เห็นมาก่อนหน้านี้อยู่บ้าง จึงลองยื่นมือออกไปสัมผัสดูครั้งหนึ่งพบว่ามันให้ความรู้สึกเยียบเย็นราวน้ำแข็งเหมือนกันกับต้นไผ่เหล่านั้น
“เย่ว์เย่ว์ ใช่อันนี้หรือไม่” เจ้าคำรามน้อยเหาะเข้ามาถาม
“ไม่ใช่หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ถ้าหากเป็นดวงตาค่ายกลจริง ก็น่าจะเป็นสิ่งของจริงๆ ไม่น่าจะเยียบเย็นเสียดกระดูกเหมือนกับต้นไผ่เหล่านั้นหรอก”
“ดวงตาค่ายกลไม่ได้อยู่ที่นี่เหมือนกันหรือ” เจ้าคำรามน้อยพูดอย่างผิดหวังอยู่บ้าง
“ไม่หรอก อยู่ที่นี่แหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ“เจ้าเตะก้อนหินก้อนนี้ออกมาได้หรือไม่”
“เรื่องง่ายๆ แค่นี้เอง” เจ้าคำรามน้อยเหาะไปอยู่บนขอบของก้อนหินแล้วใช้เท้าน้อยๆ เตะเบาๆ ก้อนหินยักษ์ก็ถูกมันเตะกระเด็นไปไกล
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูพื้นใต้ก้อนหินที่ถูกเตะลอยไป เห็นก้อนหินขนาดเล็กราวๆ กำปั้นเด็กทารกที่เปล่งประกายสีดำก้อนหนึ่งอยู่
“คงเป็นสิ่งนี้กระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้มลงไปดูก้อนหินสีดำแล้วเอ่ยว่า “หยิบเจ้านี่ทิ้งไปก็ใช้ได้แล้วใช่หรือไม่ ไม่รู้ว่าจะเจอกับระเบิดเปล่า แต่ข้าไม่สนอะไรทั้งนั้น ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว”
พูดจบเธอก็โยนลูกกลมสีขาวเข้าไปภายในมณีวิญญาณ หลังจากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง แล้วยื่นมือไปคว้าศิลาวิญญาณก้อนนั้นเอาไว้
“ครืนๆ ครืนๆ”
ทันใดนั้นป่าไผ่อันเงียบสงบกลับมีพายุก่อตัวอย่างบ้าคลั่งขึ้นมารอบด้าน พื้นดินสั่นสะเทือนไม่หยุดคล้ายกับจะปริแตกออกอย่างไรอย่างนั้น
“แคว่ก…”
ป่าไผ่ถูกพายุคลั่งพัดกระหน่ำ แต่ละกิ่งก้านส่งเสียงฉีกขาดดังแคว่กๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกลมพัดกระหน่ำเสียจนลืมตาไม่ขึ้น เธอใช้มือที่กุมก้อนหินสกัดเอาไว้ข้างหน้า แต่ก็ยังต้านแรงลมเอาไว้ไม่ได้อยู่ดี
“ปังๆๆ”
พื้นดินแยกออกในทันใด รอยแยกขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ใบไม้ที่ร่วงอยู่รวมถึงต้นไผ่จมหายลงไปในนั้นจนหมด
“ข้าไป…” ตอนที่ร่วงหล่นลงไปในรอยแยก ซือหม่าโยวเย่ว์คว้าก้อนหินในมือเอาไว้แน่นเพื่ออาศัยสิ่งนี้บรรเทาความตื่นตระหนกภายในจิตใจ
หยาดโลหิตซึมเข้าไปภายในก้อนหิน ซือหม่าโยวเย่ว์เกิดความเจ็บปวดเสียดแทงหัวใจขุมหนึ่งแพร่ผ่านจากฝ่ามือไปทั่วสรรพางค์กาย ทำให้เธอหมดสติไปในทันที ก่อนที่จะสิ้นสติลง เธอมีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าถ้าหากพื้นดินกลับมาผสานติดกันอีกครั้ง เธอจะถูกหนีบแบนจนกลายเป็นเนื้อแผ่นหรือไม่
สติรับรู้เข้าสู่ความสับสนอลหม่าน เธอไม่รู้ว่าตัวเองล่องลอยอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงใด เมื่อสติรับรู้ของเธอค่อยๆ ฟื้นกลับมา เธอก็ลืมตาขึ้นแล้วค้นพบว่าตนเองอยู่ในแก่งหินแห่งหนึ่ง ด้านล่างของตัวเธอเป็นทุ่งหญ้าหนาทึบ บนเสื้อผ้าสะอาดสะอ้านราวกับว่าคราบดินโคลนที่เปื้อนอยู่ตอนที่พื้นดินแยกออกก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอยู่จริงเธอลุกขึ้นนั่งแล้วนวดคลึงศีรษะที่เจ็บปวดอยู่เล็กน้อยพลางสงสัยอยู่บ้างว่าประสบการณ์ของตนก่อนหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝันตื่นหนึ่งใช่หรือไม่
“พรึ่บ…”
ความเจ็บปวดขุมหนึ่งส่งผ่านมาจากฝ่ามือ เธอแบมือออกก็เห็นว่าบนฝ่ามือมีรอยแผลอยู่หลายรอยปากแผลยังมิได้สมานติดกันดี แค่การเคลื่อนไหวเมื่อครู่นี้ก็ทำให้บาดแผลปริออกมาอีกครั้ง
“ดูท่าทางนั่นคงจะมิใช่ความฝันสินะ” เธอหยิบมีดออกมาแล้วตัดชายเสื้อคลุมตัวนอกออกมาเส้นหนึ่งก่อนจะพันแผลให้เรียบร้อยแล้วใช้ปากและมือซ้ายช่วยผูกปม
หลังจากทำทั้งหมดนี้เรียบร้อยแล้วจึงค่อยเริ่มสำรวจภายในแก่งหินแห่งนี้
ที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยเหมือนกับป่าไผ่ก่อนหน้านี้ ไม่เห็นแม้แต่เงาของไข่สัตว์อสูรแม้แต่ฟองเดียว ก่อนหน้านี้เป็นป่าไผ่ทั้งหมด แต่ที่นี่ยังมีต้นไม้ใบหญ้านานาชนิดอยู่มากมาย
“หรือว่าข้าหลุดจากค่ายกลเก่าเข้าสู้ค่ายกลใหม่?” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างสงสัย
“น่าจะไม่ใช่ ข้าสัมผัสกลิ่นอายของค่ายกลไม่ได้เลย” เจ้าวิญญาณน้อยพูด
“ไม่มีค่ายกลอย่างนั้นหรือ ไม่ได้บอกว่าอย่างน้อยภายในนี้ก็ต้องมีค่ายกลลวงตาอยู่หรอกหรือ”
“ไม่มีเลย ที่นี่คือโลกแห่งความจริง” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“เช่นนั้นข้าจะกลับไปได้อย่างไรกันเล่า ที่นี่มิใช่ค่ายกล ไข่สัตว์อสูรที่หาพบก็ย่อมไม่เป็นไปตามกฎของการส่งตัวออกไป” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างปวดหัวอยู่บ้าง “ใช่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิลาวิญญาณก้อนเมื่อครู่นี้หล่นไปอยู่ที่ไหนแล้ว”
“อยู่กับข้านี่” เจ้าวิญญาณน้อยพูดด้วยน้ำเสียงไม่สู้ดีนัก
ซือหม่าโยวเย่ว์พบว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงถามว่า “มีอะไรหรือ”
“ของสิ่งนี้มีบางอย่างไม่ถูกต้องอยู่บ้าง รอเจ้าออกไปแล้วค่อยบอกเจ้าก็แล้วกัน” เจ้าวิญญาณน้อยตอบ
“เช่นนั้นข้าไปหาทางออกก่อนดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอเดินตรงไปตามแก่งหิน ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกเสียงนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
………………………