ตอนที่ 31 ชอบใครสักคนจริงๆ

ดังนั้น เธอเลยพยายามที่จะละมือออกจากหน้าอกของเขา เพื่อเว้นระยะห่างจากตัวเขาออกไปอีกครั้งก่อนจะเอ่ยคำพูดออกไปว่า “ประธานจิ่งค่ะ อย่างน้อยฉันก็อยู่ในขั้นตอนตระเตรียมแต่งงาน ทั้งยังมีลูกชาย และก็มีผู้ชายอยู่แล้ว”

เขาลูบจมูกของเธอ “ฉันรู้อยู่แล้ว”

ทันใดนั้นอันโหร่ยจะเงยหน้าขึ้นมาถามเขา “ประธานจิ่งค่ะ นี่คุณเคยชอบใครสักคนจริงๆไหมค่ะ?”

มีหรือเปล่าที่ผู้หญิงที่ชอบเขาชอบจริงๆ…….

ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินเผยนัยน์ตาที่เป็นประกาย มือที่ลูบจมูกของเธอไปมากลับพลันหยุดลงโดยทันที

ช่วงขณะนั้น มือของอันโหรวก็ได้ผลักตัวเขาออกไป

ดูเหมือนว่า ชุดของเด็กน้อยที่อยู่ในโรงแรมชั้นที่ 18 นั่วเทียน คงไม่ใช่งานอดิเรกพิเศษของเขาหรอก

อาจจะเป็นเพราะว่ามีผู้หญิงหนึ่งคน และก็ได้กำเนิดลูกสาวมาให้เขา

เหอะ ผู้หญิงมีลูกให้เขาแบบนี้…

ก่อนหน้านั้น เธอเคยคิดอยากจะอยู่กับโอวหยางลี่มากที่สุด และคิดอยากจะแต่งงาน และให้กำเนิดลูกสาวให้เขา เพียงแต่ว่าสุดท้าย กลายเป็นเขาคนนั้นก็ต้องไปแต่งงานกับคนอื่น ทำให้เธอเจ็บชอกช้ำใจยิ่งนัก

ความรักที่มีตั้งแต่แรก ได้จางหายไปแล้ว ยามนี้ถูกแทนที่ด้วยความเกลียดชัง

เธอไม่สามารถลืมได้เลยว่า ห้าปีก่อนหน้านั้น แม่ของเธอพยายามผลักเธอออกไปยังไง เธอไม่สามารถลืมได้เลย ว่าสุดท้ายแล้วพวกกลุ่มโอวหยางได้วางแผนทำให้ตระกูลอันนั้นถูกทำร้ายทีละนิดทีละนิดได้แบบไหน

“ยังจะยืนอยู่ที่นี่อีก คิดจะให้ผมอุ้มคุณออกไปเหรอ?” จิ่งเป่ยเฉินมองเธอด้วยสายตาที่เย็นชา หลังจากนั้นก็เดินออกจากประตูไป

ที่ด้านนอก มีคนกำลังยืนอยู่โดยบังเอิญคนผู้นั้นคือฉีเซิ่งเทียน เขากำลังจะเคาะประตู ก็พลันผงะขึ้นอย่างตกใจ เมื่อประตูเปิดออก ก็เห็นอันโหรวที่ยืนอยู่ข้างใน พลันเอ่ยปากออกมาว่า “ยัยขี้เหร่นั้น….”

ก่อนที่เขาจะพูดจบ ก็เหลือบเห็นสายตาที่เย็นชาของจิ่งเป่ยเฉิน เขาคงไม่ได้หลุดปากพูดว่ายัยขี้เหร่อะไรนั้นหรอกใช่ไหม? เขาถึงได้ถูกจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้?

ดังนั้น เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นอีกมาก นอกจากจะยอมเปลี่ยนคำพูดและพูดออกไป “อันอีหาน หากประธานจิ่งต้องไปแล้ว คุณยังทำอะไรอยู่ในนั้น ยังไม่รีบตามมาอีก?”

ฉีเซิ่งเทียนพูดจบ ก็รีบหันไปดูที่จิ่งเป่ยเฉิน ก็พบว่าดวงตาของเขานั้นเปลี่ยนไป…. เขาไม่รู้จะอธิบายอะไรดี หรือว่าอันอีหานนั้นจะเป็นคนของตระกูลอันจริงๆ?

เฮ้อ ยังไม่ทันออกจากเงามือ คนในตระกูลที่ห่างหายไปแล้วห้าปี ก็พลันกลับมา ถ้าหากว่าคนๆนี้มาสะกิดให้คุณรู้สึกอีกละก็ จะกลับมาทำไม

แต่ผลลัพธ์นับจากนี้ล่ะ? อย่าบอกนะว่าจะกลับมา แต่ข่าวคราวก็แทบจะไม่มีอะไรด้วยซ้ำไป

อันโหรวไม่ได้พูดอะไรมาก เธอเดินออกไป อยู่ที่ด้านหลังของจิ่งเป่ยเฉิน

“ผมได้ตรวจสอบมาหมดแล้ว ดูเหมือนผู้รับผิดชอบของสกุลเห่อจะเสียชีวิตไปแล้ว ทั้งยังไม่ได้ทิ้งพินัยกรรมอะไรเอาไว้ แต่พวกสกุลเห่อก็มีลูกหลานหลายคน ต่างก็เอะอะเรื่องการแจกจ่ายทรัพย์สินมรดก สกุลเห่อในสภาพนี้น่ะเรียกได้ว่ามังกรไร้หัวหางก็ตีกันเอง ทั้งยังเสี่ยงต่อการถูกรวมจากตระกูลอื่น ๆอีกด้วย”

นี่เป็นข่าวที่ฉีเซิ่งเทียนได้เริ่มสืบมาเมื่อเจ็ดโมงเช้า และใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็ตรวจสอบได้เกือบหมดแล้ว

“อืม ตอนนี้ฉันไปที่่สกุลเห่อเลยดีกว่า ไปตรวจดูเสียหน่อย” พูดจบ เขาก็เหลือบมองไปยังอันอีหาน และก็ส่งสัญญาณให้เธอตามมา

ฉีเซิ่งเทียนเฝ้าดูอันโหรวที่เดินไปพร้อมกับจิ่งเป่ยเฉิน ทันใดนั้นก็รู้สึกโง่เขลาขึ้นมาอีกครั้ง

การตรวจสอบภาคสนาม อย่างน้อยก็ควรพาหลินจื่อเซี๋ยวไปด้วย แต่นี่เขากลับไม่ได้พาไป กลับเอาคนของแผนกวางแผนไปด้วยเนี่ยนะ?

นี่มันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ มันผิดปกติจนเกินไป

ไม่ก็เขาต้องมีอะไรผิดปกติหรือไม่ก็ต้องคิดถึงลูกสาวของตระกูลอันคนนั้นจัดแน่ๆ

หากสายตาของคนอื่นดูก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่เมื่อใดที่ลูกสาวของตระกูลอันคนนั้นกลับมาแล้วล่ะก็!

ก่อนที่จะไม่มีตระกูลอัน อันโหรวได้เคยไปเยี่ยมที่อุตสาหกรรมของสกุลเห่อมาก่อน ทั้งยังไปที่โรงงานของพวกเขามาแล้วด้วย

เพียงแต่ช่วงเวลานั้น สกุลเห่อและสกุลอันต่างก็มีสายสัมพันธ์อันใกล้ชิด เธอยังเคยได้พบกับ CEO ของสกุลเห่อมาก่อนด้วย เธอเรียกเขาว่าคุณลุงเหอด้วยท่าที่เคารพ

คิดไม่ถึงเลยว่า ห้าปีผ่านไปแล้ว ลุงเหอที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงคนนั้นได้เสียชีวิตลาลับโลกนี้ไปเสียแล้ว

เขาน่ะใจดีมาก ถึงขนาดชอบสอนอะไรต่างๆให้เด็กๆ ทั้งผลประโยชน์ต่างๆ ในการใช้ชีวิตเพื่อต่อสู้กับความเป็นและความตายของแง่ธุรกิจ

ถ้าหากเป็นญาติห่างๆก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าหากเปรียบดั่งพ่อแม่เดียวกัน นั้นมันก็คนละกรณีรึเปล่า ญาติที่อยู่ใกล้ชิดมาโดยตลอดแบบนี้ เธอเองก็อยากจะเห็นพวกเขาแล้วเหมือนกัน

“ทำไมคุณถึงได้เสียสมาธิขนาดนี้ล่ะ” จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้วและหันศีรษะไปมองเธอ

อันโหรวถอนความคิดออกทันที และรีบเดินไป

เมื่อพวกเขาถึงที่ประตู พวกเขาต่างก็ถูกคนขวางกั้น

ที่นี่คือโรงงานของสกุลเห่อ คนนอกไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้า พวกคุณมีใบอนุญาตรึเปล่าล่ะ เมื่อพูดจบพนักงานก็ได้แสดงการรักษาความปลอดภัยอย่างพิถีพิถัน และยื่นมือไปขวางเขาไว้

อันโหรวรีบก้าวเดินมาข้างหน้าและเอ่ยพูดไปว่า “คน คนๆนี้คือ ประธานจิ่งแห่งสกุลจิ่ง”

……….

ตอนที่ 32 ได้โปรดขอเส้นทางชีวิตผมที

เมื่อได้ยินว่าประธานแห่งกลุ่มอุตสาหกรรมจิ่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็พลันเปลี่ยนสีหน้า มันเหมือนกับว่าเขานั้นมองเห็นสายตาที่เปรียบดั่งอสรพิษจดจ้อง ด้วยสีหน้าและแววตาอย่างเย็นชา ส่งผลให้เม็ดเหงื่อยเย็นๆไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว

เมื่อครู่พวกเขายังดูจริงจังมากนัก แต่ในยามนี้พวกเขาได้ตัวสั่นจนหมด ตอนนี้เมื่อพูดออกไปก็พลางปากกระตุกไปด้วย “นี่…ข้างบนไม่ได้บอกว่าประธานจิ่งจะมาด้วย ผมจะรีบไปถามผู้จัดการให้นะครับ กรุณารอสักครู่” เมื่อพูดจบฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็รีบวิ่งหันหลังกลับโดยทันที

ไม่ได้ทันได้ผ่านไปนานเท่าไหร่นัก ผู้จัดการก็ได้เดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทักทายบนใบหน้าของเขา “ประธานจิ่งมาที่นี่ ช่างเป็นเกียรติของพวกเราจริงๆ” เขาพูดพลางยื่นมือไปพลาง เพื่อที่จะขอจับมืออย่างมีมารยาท

จิ่งเป่ยเฉินเม้มริมฝีปาก และยื่นมือไปให้เขาจับ พร้อมกับเขย่ามันเบาๆ

ใบหน้าที่ท้วมไปด้วยรอยยิ้มของผู้จัดการคนนั้นก็พลางหัวเราะเบาๆออกมา “ไม่รู้เลยว่าวันนี้ประธานจิ่งจะมาด้วย มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

อันโหรวเหลือบมองไปยังแววตาของจิ่งเป่ยเฉิน เขาไม่ได้เอ่ยคำพูดอะไรมา นั้นบ่งบอกว่า เขาให้เธอพูดแทนเขาออกไป “ก่อนที่พวกเราจะมาที่นี่ เราได้ทำการสำรวจเรื่องกิจการของสกุลเห่อมาพอสมควร ทำให้รู้ว่าตอนนี้มีปัญหาภายในเกิดขึ้น วันนี้พวกเราเลยอยากจะมาพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับการซื้อกิจการต่างๆ”

เมื่อได้ยินสองคำว่า ซื้อกิจการ ใบหน้าของผู้จัดการก็พลันแสดงออกมาอย่างตื่นตระหนก “พวกเราสกุลเห่อแทบจะไม่ได้ขาดแคลนเงินทุนกำลังทรัพย์ ซึ่งพวกเราเองก็ยังอยู่ในสภาพคล่องที่ดี ไม่รู้ทำไมประธานจิ่งแห่งอุตสาหกรรมจิ่งถึงได้คิดอยากจะซื้อกิจการด้วย?”

เมื่ออันโหรวกำลังคิดจะเอ่ยตอบกลับไปนั้น ก็ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชานุ่มลึกออกไปของจิ่งเป่ยเฉิน

“ก็แค่ฉุกคิดขึ้นมาได้น่ะ”

อันโหรวแทบจะสำลักลมหายใจออกมา ฉุกคิดขึ้นมาอีกแล้ว ชายคนนี้กระทั้งบริษัทอื่น ๆ ยังจะพูดต่อหน้าว่าฉุกคิดขึ้นมาอีก อยากซื้อกิจการด้วยความตั้งใจ แบบนี้มันออกจะไร้ยางอายเกินไปหน่อยแล้วล่ะ

เพียงแต่ กล้าพูดมาแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าเขานั้นมีความสามารถจริงๆก็ได้

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ภายในหัวเธอก็พลันกระตุกวูบหนึ่งครั้ง ถ้าหากเขาตั้งใจที่จะฮุบตระกูลอันขึ้นมาจริงๆด้วยความฉุกคิดขึ้นล่ะ

ผ่านไปไม่นาน เธอก็สลัดความคิดนี้ออกไปทันที

ตอนนี้เธอไม่ได้เป็นเหมือนกับห้าปีที่แล้ว เธอจะต้องพึ่งพากำลังของตัวเอง ใช้ประสบการณ์ห้าปีที่เธอเคยฝึกฝนต่างๆ เพื่อหาหลักฐานและการวางแผนของพวกโอวหยาง และต้องนำตระกูลอันกลับมาอย่างใสสะอาดอีกครั้ง

ผู้จัดการสกุลเห่อเบิกตากว้างขึ้น เขาแทบไม่อยากจะเชื่อในคำตอบของเขา “ฉุกคิดขึ้นมาได้?”

อย่างไรก็ตาม จิ่งเป่ยเฉินแทบจะไม่มีความอดทนรอกับเขาอีกต่อไป เขารีบเดินตรงเข้าไปข้างในโดยทันที

ผู้จัดการที่เห็นดังนั้น ก็ทำอะไรไม่ถูก ถ้าหากตระกูลจิ่งที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นคิดอยากจะครอบครองตระกูลเหอจริงๆ ตระกูลเหอมีหรือจะขวางกั้นไว้ได้

ภายในโรงงานนั้นสะอาดสะอ้านมากนัก พวกคนงานต่างๆก็ล้วนแล้วใส่ชุดที่ดูสุขอนามัย ทุกคนต่างตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่ ใบหน้าล้วนแล้วมีแต่ความสุขปรากฏ

อันโหรวรู้สึกว่านี่ค่อนข้างแปลก ตามปกติตระกูลเหอ ได้จัดการดูแล และไล่พนักงานออกไปเป็นจำนวนมาก แต่นี้เพราะอะไร พวกเขาถึงได้ดูทำท่ามีความสุขเช่นนี้

“พบเจอปัญหาอะไรรึเปล่า?” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอีกครั้ง

อันโหรวมองไปที่เขาและพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยคำถามที่ตนเองสงสัยออกไป “ฉันรู้สึกว่าพนักงานของที่นี่ค่อนข้างแปลกพอสมควร”

“ไปถามมาดูสิ”

ตามคำแนะนำของจิ่งเป่ยเฉิน อันโหรวก็ได้เดินเข้าไปหาพนักงานโดยตรง และเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มไปว่า “ขอถามหน่อยนะคะ ทำไมพวกคุณถึงได้ทำงานกันแบบมีความสุขเช่นนี้”

พนักงานเอ่ยยิ้มด้วยความสดชื่น “แน่นอนที่มีความสุขเพราะว่า ช่วงสามเดือนก่อนหน้านั้นค่าต้างของพวกเราก็เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเดิม ผลประโยชน์ของพวกเราล้วนแล้วเพิ่มขึ้นอย่างมาก”

อันโหรวหันไปมองที่จิ่งเป่ยเฉิน ดวงตาของเธอนั้นดูสับสนมาก  ถ้าหากคิดฮุบกิจการ เธอคงต้องเสียเงินมากขึ้นอย่างแน่นอน

เธอเลยเปลี่ยนความคิดทันที และคิดว่าหากเป็นฉีเซิ่งเทียนที่สอบถามข่าวคราวของผู้บริหารกลุ่มสกุลเห่อที่ต้องต่อสู้กันอยู่ภายในละก็อาจจะได้คำตอบมากกว่านี้

ในสภาวะขาดทุนแบบนี้ ยังให้เงินเดือนพนักงานเพิ่มขึ้นอีก นี่จะต้องเกิดการต่อสู้ภายในอยู่แน่ๆ

และถ้าหากถึงเวลานั้น คิดจะหุบสกุลเห่อไป ก็อาจจะไม่ได้ดีกว่านั้นมากนัก

เพียงแต่ว่า เธอก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าทำไมจิ่งเป่ยเฉินถึงคิดอยากจะซื้อกิจการของพวกสกุลเห่อมาด้วย?

หากคิดจะซื้อบริษัท ผลประโยชน์ภายในระยะเวลาสามปี ก็คงไม่ได้เก็บเกี่ยวส่งผลให้กับบริษัทจิ่งเท่าไหร่นัก ซึ่งส่วนใหญ่มีแต่ต้องแบกพวกเขาด้วยซ้ำ

ผู้จัดการที่ยืนอยู่ตรงหน้าจิ่งเป่ยเฉินเช็ดเหงื่อเย็นๆของตนที่ไหลออกมาและเอ่ยพูดขึ้น “ประธานจิ่ง ที่โรงงานมีปัญหาอะไรยังงั้นเหรอ?”

จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่เขาและพูดขึ้น “สามวัน ภายในสามวันผมจะเอากิจการของตระกูลเหอมา ผู้จัดการเตรียมพร้อมอะไรต่างๆให้ผมด้วย”

เมื่อพูดเสร็จสิ้น ดวงตาของเขาก็เหลือบมองไปที่ผู้จัดการส่งผลให้ ขาของผู้จัดการเกิดการสั่นทอนเบาๆ ถ้าหากฮุบกิจการไปแล้วละก็ สกุลเหอก็คงไม่อาจให้ตำแหน่งหรือรับรองตำแหน่งให้กับเขาในฐานะผู้จัดการได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสสูงมากด้วยที่จะตกงานอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้เอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอนไปว่า “ประธานจิ่ง ได้โปรดขอเส้นทางชีวิตผมที”

*******************