บทที่ 25

คมอาวุธมากกว่า 10 พุ่งเข้าใส่ร่างของถังหยิน แต่มันกลับมีเพียงเสียงของอาวุธที่กระทบกันเท่านั้น

หยวนกุยตะลึงจนต้องถอยออกมาหนึ่งก้าว สายตาของเขายังมองหารอบ ๆ ตัว ที่แม่ทัพหนิงนายนี้ทำแบบนี้ก็เพราะว่าถังหยินที่อยู่บนพื้นนั้นได้หายไปแล้ว

มันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะหายตัวไปแบบนี้ เว้นเสียแต่ว่า… สองคำที่ปรากฏขึ้นในหัวของหยวนกุย เงาสังหาร!

นี่มันแย่มาก! เขาเบิกตากว้างและตะโกน “ปกป้องฝ่าบาท!”

ทว่า มันช้าเกินไปเสียแล้ว

เมื่อถังหยินกำลังจะตาย เขาก็ได้เปิดใช้วิชาศาสตร์มืด นั่นก็คือ ‘เงามืดเคลื่อนไหว’

‘เงามืดเคลื่อนไหว’ เป็นหนึ่งในวิชาที่ร้ายกาจของศาสตร์มืด มันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถหายตัวไปปรากฏตัวที่ไหนก็ได้ในระยะที่ต้องการ ยิ่งระดับสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไปได้ไกลขึ้นมากเท่านั้น และหยานหลี่เองก็เคยใช้วิชานี้กับกู่เจิ้นมาก่อนแล้ว

ด้วยระดับพลังของถังหยินในตอนนี้ เขาไม่สามารถใช้วิชานี้ได้อย่างอิสระก็จริง ทว่าในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตาย นอกเหนือจากวิชานี้เขาก็ไม่สามารถนึกวิธีรอดอื่นได้อีกแล้ว และเหตุผลที่ชายหนุ่มสามารถใช้มันได้ก็เพราะว่าเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ

แม้ว่าวิชาเงามืดเคลื่อนไหวจะทำให้เขาเคลื่อนย้ายออกมาได้แค่ไม่ไกลนัก หากแต่มันก็เพียงพอแล้ว หยูฉางที่กำลังตื่นเต้นในขณะที่มีคนคอยคุ้มกันโดยรอบ องค์ชายสามไม่เคยคิดเลยว่าคนร้ายคนนี้จะมาปรากฏด้านหลังของเขา

ก่อนที่องค์ชายจะทันรู้ เขาก็ได้รับรู้ถึงโลหะที่เย็นยะเยือกตรงลำคอของเขา หยูฉางอดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาด้วยความกลัว “เจ้าเป็นใครกัน?” เขาหันหน้าไปพบกับชายที่มีดวงตาสีดำกลวงโบ๋

“เจ้า…” องค์ชายพูดไม่ออก ในเมื่ออีกฝ่ายเพิ่งจะอยู่ด้านหน้าเขาเมื่อครู่ แต่ในตอนนี้กลับมาอยู่ด้านหลังเขาเสียอย่างนั้น?

“ทุกคนอย่าขยับ! ไม่งั้น คนคนนี้ตายแน่!” มุมปากของถังหยินยิ้มออกมา มืออีกข้างกุมหน้าท้องเอาไว้และบีบคอของ หยูฉางไว้อยู่ เมื่อเป็นแบบนี้แล้วชายหนุ่มสามารถเผาอีกฝ่ายเมื่อใดก็ได้

“ย้า!”

เสียงของทหารหนิงทุกคนต่างก็หวาดกลัวอย่างสุดซึ้ง ใบหน้าของพวกเขาซีดเซียวกันหมด

ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสามารถของผู้ใช้ศาสตร์มืดเลย ยกเว้นแต่หยวนกุย ไม่มีใครรู้ว่าถังหยินหลบการโจมตีและเข้าไปอยู่ด้านหลังองค์ชายได้ยังไง

ในตอนนี้หยวนกุยก็เริ่มสติแตก เขาตะโกน “อย่าทำร้ายฝ่าบาทนะ!”

แม้ว่าถังหยินจะไม่รู้จักตัวตนของหยูฉาง แต่สังเกตจากการแต่งตัวก็น่าจะมีตำแหน่งสูงพอควร

ดูเหมือนว่าชายหนุ่มเลือกที่จะจับกุมได้ถูกคนเสียแล้ว ด้วยการมีตัวประกันแบบนี้ มันไม่ยากเลยที่เขาจะหนีออกไปจากค่าย

หลังจากครุ่นคิดดูแล้วถังหยินก็เงยหน้ามองไปรอบ ๆ ในตอนนี้มีทหารมากมายรอบตัวเขา จำนวนพวกเขามากเกินกว่าจะนับได้หมด

ถังหยินจ้องมองภาพเหล่านี้ก่อนที่จะไปหยุดลงที่ใบหน้าของหยวนกุย

สีหน้าของเขากัดฟันและคำรามออกมา “ถ้าเจ้าต้องการสิ่งใดก็บอกมา! แต่อย่าทำร้ายฝ่าบาทนะ! ไม่งั้นข้าจะสับเจ้าเป็นชิ้น ๆ แน่”

แม้ว่าแม่ทัพใหญ่จะดูโกรธเกรี้ยว หากแต่ในใจของชายผู้นี้ก็ได้แอบวางแผนที่จะปล่อยแรงกดดันออกมาเพื่อที่จะจับ ถังหยินอีกครั้ง

“ฮ่าๆๆๆ” ถังหยินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เจ้านายของพวกเจ้าอยู่ในมือข้าแล้ว เพราะงั้นไม่ต้องมีการเจรจาอีกต่อไป” จากนั้นเขาก็เสริมแรงเข้าไปที่มืออีกครั้ง “อย่าคิดจะใช้แรงกดดันอีกล่ะ ไม่งั้นเจ้านายของเจ้าได้กลายเป็นจุณลจากเพลิงแห่งความมืดในมือของข้าแน่ ๆ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสิ!”

ด้วยการเพิ่มแรงบีบ นั่นก็ทำให้หยูฉางเริ่มหายใจไม่ออก ดวงตาของเขาถลนออกมาและใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ

หยูฉางในสภาพนี้หวาดกลัวเช่นเดียวกันกับหยวนกุย เขารีบปลดแรงกดดันออกและโบกมือให้กับถังหยิน “อย่า อย่าทำแบบนั้น! เจ้าต้องการอะไรก็พูดมา!”

ถังหยินพูดอย่างเยือกเย็น “อันดับแรกเลย ปล่อยคนของข้าซะ ทั้งหมดเลย” ชายหนุ่มยังคงไม่ลืมลูกน้องที่พามาด้วย

“แน่นอน!” หยวนกุยรับคำทันทีโดยไม่คิด “แล้วมีอะไรอีกไหมล่ะ พูดออกมาเลย”

ชายหนุ่มพยักหน้า “ทำตามข้อแรกก่อน”

ในตอนนี้เขาอยู่ตัวคนเดียวรายล้อมไปด้วยศัตรูมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีหัวหน้าศัตรูอยู่ในกำมือก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากจะให้มีข้อผิดพลาดอะไรเกิดขึ้น

หยวนกุยพยักหน้าให้ แต่ก็ยังไม่ตอบรับในทันที

เมื่อเห็นชายผู้นั้นลังเล ถังหยินก็เริ่มเพิ่มกำลังในมือของเขา ตอนนี้หยูฉางผู้น่าสงสารหน้าแดงก่ำ ดูท่าจวนจะขาดอากาศหายใจตายอยู่รอมร่อ

“อย่านะ!” ร่างของหยวนกุยสั่นเทาและรีบพูดย้ำ “ข้ารับปากเจ้า!” ระหว่างที่เขาพูดก็ได้พยักหน้าให้กับแม่ทัพคนหนึ่งเข้ามารับคำสั่งจากเขาไป

ไม่นานหลังจากนั้น นายทหารก็กลับมาพร้อมกับพวกเชลยกลุ่มหนึ่ง หยวนกุยหันไปมองแล้วบอกกับชายหนุ่ม “คนของเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว!”

ถังหยินมองและพูด “แล้วคนอื่นล่ะ?”

ก่อนที่หยวนกุยจะได้พูดอะไร หนึ่งในเชลยก็ตะโกนลั่น “สหายถัง ทุกคนตายหมดแล้ว!” เขาร้องไห้ออกมา

หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว มีคนมากกว่า 100 มาที่นี่ แต่กลับมีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตกลับมา นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาโศกเศร้า ดวงตาของถังหยินกดความเสียใจเอาไว้และพูดกับหยวนกุย “ปล่อยพวกเขาซะ เดี๋ยวนี้!”

ด้วยความที่องค์ชายตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรู หยวนกุยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยอมทำตาม

แม่ทัพใหญ่กำหมัดแน่นและพยักหน้าให้กับลูกน้องตัวเอง หยวนกุยยังออกคำสั่งเพิ่มเติมว่าอย่าให้ใครก็ตามที่เป็นทหารหนิงขัดคำสั่งถังหยินเด็ดขาด

ทุกคนตัดเชือกที่มัดตัวเชลยเอาไว้เป็นอิสระ

ในขณะเดียวกัน ถังหยินเองก็ถูกรบกวนโดยหยวนกุยและคนอื่น เขารวบรวมลูกน้องและเดินออกไปด้วยกันโดยที่ยังหวั่นเกรงว่าจะมีสายลับจากพวกหนิงตามมาด้วย

โชคยังดีที่ความจำของชายหนุ่มยังไม่เสื่อมคลาย เขาจำได้ว่าลูกน้องของเขามีหน้าตาเป็นไงบ้างเมื่อมองผ่านทุกคน ไม่นานหลังจากนั้น ทหารเฟิงก็เดินเข้ามาในวงล้อมของพวกหนิงก่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าถังหยิน

ทุกคนมองหน้าถังหยินด้วยความรู้สึกดีราวกับได้เกิดใหม่

“สหายถัง!” คนที่พูดคือจางเป๋า ตัวเขาโชกไปด้วยเลือดจนแทบจำไม่ได้ เขามองไปรอบ ๆ และมองมาที่หยูฉางที่อยู่ในกำมือของถังหยินแล้วถามเบา ๆ “หมอนี่ใครน่ะ?”

ถังหยินไม่รู้ตัวตนของหยูฉางอยู่แล้ว เขาแค่บอกเป็นนัย ๆ “พวกเจ้ามายืนรอบ ๆ ข้าไว้อย่าให้ใครเข้ามาใกล้” จากนั้นก็หันไปตะโกนกับหยวนกุย “ข้อ 2 พวกเจ้าจงไปเตรียมม้าเร็วมาให้ข้า 30 ตัวเดี๋ยวนี้!”

ในเมื่อเหลือคนน้อยเพียงนี้ ม้าแค่ 30 ตัวก็เพียงพอแล้ว

“เจ้าต้องการม้าเยอะแยะไปทำไมกัน?” หยวนกุยถามด้วยความตะลึง

“อย่าลีลา!” ชายหนุ่มตะโกน “ไปหามาซะ ไม่งั้นตัวประกันตายแน่!”

ในชีวิตของหยวนกุยเขาไม่เคยถูกกดดันจากใครมาก่อน ไฟแห่งความโกรธแค้นสุมขึ้นมาในอก แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ถ้าจะให้เลือกเมินชีวิตของหยูฉางแล้วจัดการอีกฝ่ายมันก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำได้เสียด้วย

“ไปเตรียมม้ามาให้พวกเขาซะ!” หยวนกุยตะโกนด้วยความหงุดหงิด

“รับทราบ ท่านแม่ทัพหยวน!”

เมื่อได้คำสั่งมา พวกทหารก็จัดหาม้าศึกมาให้ 30 ตัวทันที แต่ก่อนที่จะทันได้ส่งไปให้ถังหยิน พวกทหารยามระดับวังหลวงก็ได้เข้ามาดึงม้าไปก่อนแล้วเดินเข้าไปหาถังหยิน

พวกเขาเลือกที่จะใช้โอกาสนี้เข้าใกล้ถังหยิน และหาโอกาสชิงตัวองค์ชายกลับมา ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่อันดับแรกเลยก็คือต้องพาฝ่าบาทกลับมาให้ได้ก่อน

ชายหนุ่มเป็นคนช่างสังเกต เขาจะมองแผนตื้น ๆ แบบนี้ไม่ออกได้ยังไงกัน?

ไม่รอช้า ถังหยินพลันตะโกนออกมา “พวกเจ้าทั้งหมด หยุดก่อน!” จากนั้นก็หันไปบอกกับเพื่อนของเขา “พวกเจ้าไปเอาม้ามา แล้วดูด้วยว่าอย่าให้มีอะไรผิดปกติ”

“รับทราบ!”

ในตอนนี้ทหารเฟิงเองก็มองแผนนี้ออกเช่นเดียวกัน ชายคนที่ถูกจับกุมอยู่จะต้องเป็นคนสำคัญมากแน่ ๆ ไม่งั้นก็คงจะไม่ยอมทำตามคำสั่งของถังหยินง่ายขนาดนี้หรอก

ความกล้าของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้นมาก

จางเป๋าเป็นคนที่เร็วที่สุด และเมื่อมองไปยังม้าศึกของอีกฝ่ายพร้อมกับคนที่เดินมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น พวกเขานั้นกัดฟันและไม่กล้าขยับเลยแม้แต่น้อย “เฮ้ย เจ้านะ เอาดาบของเจ้ามา!”

“เจ้า…”

ราชองครักษ์เป็นผู้ฝึกยุทธ์และมีตำแหน่งสูงในแคว้นหนิง ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครกล้าเรียกเขาอย่างต่ำช้าเช่นนี้มาก่อน !

“ทำไม ? ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายกำลังจะชักดาบออกมา จางเป๋าเองก็ตะลึงและรีบถอยกลับออกมา “เจ้าจะสู้งั้นเหรอ ไม่กลัวคนคนนั้นจะตายรึไง?” เขาชี้กลับไปที่หยูฉาง

โดยไม่ทันได้พูดอะไร หยูฉางก็พูดออกมาด้วยความหวาดกลัว “ไม่มีใครทำอะไรหรอก ! อย่าทำอะไรทั้งนั้นด้วย! ถ้าเจ้าฆ่าข้า พวกเจ้าทั้งหมดในนี้ก็ต้องตายกันหมดนี่แหละ!”

ได้ยินแบบนั้นพวกทหารก็อ่อนแรงกันขึ้นมาทันที

องครักษ์ผู้นั้นได้แต่กระทืบเท้า ก่อนจะส่งดาบให้กับ จางเป๋าแต่โดยดี

ดาบของแคว้นหนิงนั้นมีรูปร่างบางและยาวเหมือนกับดาบในสมัยราชวงศ์ถังของจีน แต่กันก็แค่มันถูกตีขึ้นจากเหล็กกล้าที่มีราคาแพงและคุณภาพที่มากกว่า

เมื่ออีกฝ่ายมอบดาบให้กับจางเป๋า แบบนี้มันยิ่งทำให้พวกเฟิงได้ใจมากยิ่งขึ้น เขารับดาบนั้นมาและยิ้ม “ไม่เลวเลยนี่นา ข้าจะดูแลดาบนี้แทนเจ้าเอง!”