บทที่ 26

จางเป๋าเก็บดาบและพาม้ามาด้วย ส่วนพวกทหารเฟิงที่เหลือก็พากันทำตามจางเป๋า ดังนั้นจึงกลายเป็นว่าพวกหนิงไม่อาจเข้าใกล้ถังหยินได้เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังโดนริบดาบไปอีกด้วย

เมื่อลูกน้องนำม้ากลับมา ถังหยินก็พาหยูฉางขึ้นไปบนม้ากับเขาด้วย พวกจางเป๋าและที่เหลือเองก็ทำตามโดยไม่ได้พูดอะไร พวกเขามองไปยังชายหนุ่มเพื่อรอคำสั่งต่อไป

หลังจากได้ม้ามาแล้วถังหยินก็วางหยูฉางให้ราบไปกับอานแล้วตะโกนไปทางหยวนกุย “พาคนของเจ้าหลีกทางไปซะ”

“แล้วฝ่าบาท…”

“หลังจากที่พวกเราปลอดภัยแล้ว พวกเราจะปล่อยให้มันเดินกลับมา!”

หยวนกุยคำรามลั่น “ทำไมข้าต้องเชื่อใจเจ้าด้วย?! ถ้าเจ้าผ่านไปแล้วเจ้าจะทำอะไรเขาก็ได้ ใครมันจะเชื่อเจ้ากัน?”

ถังหยินยักไหล่ “ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้างั้นก็คงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วล่ะ ถ้างั้นองค์ชายของเจ้าก็คงต้องตายไปพร้อมกันกับข้านี่แหละ” พูดจบเขาก็ตบหลังหยูฉาง 2 ถึง 3 ครั้ง

กำลังของเขาไม่ได้เยอะมากนัก แต่หยูฉางก็กรีดร้องออกมาอย่างกับหมูถูกเชือด แขนขาของเขาบิดไปหมด “อย่าทำข้า! อย่าทำข้า!”

ด้วยความที่กลัวจะเกิดอะไรขึ้น ผนวกกับการที่หยูฉางใช้ชีวิตอยู่ในวังและไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกนบอก “หยวนกุย ทำตามที่เขาขอซะ!”

หยวนกุยเริ่มปวดหัว แต่ในเมื่อองค์ชายตะโกนสุดเสียงแบบนี้ มันก็ยิ่งทำให้แม่ทัพอย่างเขาคิดหาทางแก้ไขลำบากมากขึ้นไปอีก ท้ายที่สุดแล้ว ท่านแม่ทัพก็ถอนหายใจและยอมทำในสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะต้องทำมาก่อนในชีวิต “ปล่อยพวกเขาไป”

พวกทหารหนิงรีบเบี่ยงทางออกทันที

ภายใต้การบัญชาของหยวนกุย ทหารหนิงรีบหลีกทางราวกับคลื่นน้ำเปิดเป็นทางกว้างเกือบ 1 จั้ง

ถังหยินบอกกับลูกน้องของเขาโดยไม่ลังเล “ไปกันเถอะ!”

ด้วยไพ่ตายที่เป็นหยูฉางในกำมือ ถังหยินและทุกคนจึงเดินออกไปได้อย่างปลอดภัย

องค์ชายยังอยู่ในกำมือของศัตรู หยวนกุยไม่มีทางปล่อยพลทหารเฟิงพวกนี้ออกไป ก่อนที่แม่ทัพหนิงผู้นี้จะรีบพากลุ่มทหารและแม่ทัพคนอื่น ๆ วิ่งตามกันไป

ตอนนี้ถังหยินและทุกคนกำลังนำอยู่ด้านหน้า ส่วน หยวนกุยเองก็กำลังไล่ตามมาด้วยกองทหารนับพัน ทั้ง 2 ฝ่ายต่างทิ้งระยะห่างเอาไว้เป็นอย่างดี

หลังจากผ่านจุดตรวจมาแล้ว เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมแพ้ ถังหยินจึงได้หยุดขบวน “พวกเจ้าหยุดได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องไล่ตามไปมากกว่านี้!”

“ปล่อยฝ่าบาทมาก่อนสิ!” หยวนกุยตะโกนกลับ

“ไม่ปล่อย!”

“ถ้างั้นข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปหรอก!”

ถังหยินหรี่ตาลงแล้วมองไปจนเจอหยวนกุย เขารู้ได้ในทันทีว่าจะต้องมีคนอื่นซ่อนอยู่ด้านหลังแม่ทัพใหญ่ผู้นี้แน่

ในตอนที่เขากำลังคิดถึงเรื่องการจัดการอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็พลันได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากทางใต้ แต่เพราะมันไกลออกไปจึงได้ยินไม่ชัดเจนเท่าไหร่

เขาขมวดคิ้ว หรือว่าจะมีใครพยายามโจมตีแนวป้องกันของพวกหนิงกัน? หลังจากคิดดูแล้วก็น่าจะมีแค่ อู่เหมย อู่อิง กับพลทหารที่เหลือเท่านั้น

ดูเหมือนว่าการโจมตีของอู่เหมยจะไปได้ไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ถังหยินเองที่ตอนแรกคิดว่าจะหนีไปยังทิศตะวันออกก็พลันเปลี่ยนความคิดทันที

จางเป๋างุนงง เขารีบถามถังหยินอย่างตื่นเต้น “สหายถัง ไม่ใช่ว่าพวกเราต้องกลับไปทางประตูหน้าด่านตงหรือ? แล้วพวกเรากำลังจะไปไหนกัน?”

ชายหนุ่มตอบกลับ “ไปตามหาอู่เหมย ถ้าไม่มีการช่วยเหลือจากนาง พวกเราคงไม่อาจกลับไปที่ประตูตงได้หรอก”

“ท่านแม่ทัพอู่?” จางเป๋าถามอย่างสงสัย “ท่านแม่ทัพน่าจะผ่านไปแล้วนี่นา”

“ไม่ใช่แน่ ๆ!”

ถังหยินสัมผัสได้ว่าเสียงการต่อสู้ที่อยู่ห่างไกลออกไปดูไกลออกไปอีก ตอนนี้เขาไม่ได้ยินเสียงดังกล่าวอีกแล้ว พวกเขาทั้งหมด 16 คนและม้า 30 ตัวมุ่งหน้าไปยังจุดตรวจทางใต้

หยวนกุยยังไม่ยอมแพ้และพวกเขาก็ตามไปติด ๆ

ผ่านไป 10 นาที ชายหนุ่มก็มองเห็นเข้ากับแนวรบของพวกหนิงที่มีฝุ่นตลบอบอวล และเสียงดาบปะทะกันไปทั่วท้องฟ้า

จากที่ไกลนั้นเขาสามารถสัมผัสถึงกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งในอากาศได้อย่างชัดเจน หลังจากถังหยินเห็นแบบนั้น เขาก็รีบควบม้าเข้าไปโดยเร็วที่สุด

จากนั้นไม่นานชายหนุ่มก็มาถึงขอบสนามรบ ก่อนที่จะหยุดม้าลงแล้วตะโกน “ทุกคนหยุดก่อน!”

เสียงดังราวกับฟ้าผ่าลงในสมรภูมิที่เต็มไปด้วยความอลหม่าน โดยไม่ทันได้มองก็ได้มีคนจากฝูงชนตะโกนออกมา “ถังหยิน!”

ชายหนุ่มมองไปตามเสียงก็ได้พบกับแม่ทัพเกราะสีทองที่มีหน้ากากสีทองบนใบหน้าด้วย แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นทั้งใบหน้าแต่ก็สามารถจดจำได้จากดวงตาที่เล็ดลอดออกมาได้

ไม่มีใครที่มีดวงตาที่มากไปด้วยเสน่ห์แบบนี้นอกจาก อู่เหมยอีกแล้ว!

เดิมที่หญิงสาวใส่ชุดกับหมวกสีดำของพวกเฟิง แต่เกราะทองนั่นคือเกราะที่ได้รับการเสริมพลังปราณเข้าไปแล้ว

ผู้ฝึกยุทธ์สามารถปลดปล่อยพลังออกมาเพื่อรวมกับเกราะให้มันกลายเป็นเกราะปราณได้ ส่วนสีนั้นก็จะขึ้นอยู่กับธาตุที่อยู่ในร่างกายมนุษย์อันประกอบไปด้วย 5 ธาตุ ทอง ไม้ น้ำ ไฟ และ ดิน

เกราะปราณคือวิชาพื้นฐานของผู้ฝึกยุทธ์และง่ายกว่าการใช้อาวุธปราณมาก แม้แต่คนที่เพิ่งเริ่มฝึกยุทธ์ก็สามารถใช้เกราะปราณได้ แต่การที่จะทำได้อย่างอู่เหมยที่คงสภาพเกราะไว้ได้นานขนาดนี้ คนผู้นั้นจะต้องมีพลังที่สูงพอตัว

ถังหยินมองและเห็นอู่เหมยใส่พลังเข้าไปในดาบของนางจนยาวประมาณ 1 จั้ง แถมยังกว้างมากและมีฟันปลาอยู่ คล้ายกับการเสริมพลังอาวุธปราณเลยทีเดียว การที่จะทำอะไรแบบนี้พร้อมกันได้จะต้องอยู่ในระดับปราณสู่พิสดารเป็นอย่างน้อย

ถังหยินตะลึงและไม่คิดว่านางจะเกิดมาพร้อมกับพลังที่น่ากลัวแบบนี้ บางทีผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นนักรบพลังปราณก็ได้ หนึ่งในทหารเกราะดำที่กำลังสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ของอู่เหมยเองก็ใส่หน้ากากเช่นกัน และบ่งบอกได้จากสายตาเลยว่านางคืออู่อิง

พี่น้องที่ทรงพลังรวมตัวกันแบบนี้ ดูเหมือนว่าตำแหน่งและยศถาที่แคว้นเฟิงมอบให้จะไม่ใช่แค่เพียงของประดับเสียแล้ว

ถังหยินไม่ได้พูดอะไร เขามองไปยัง 2 พี่น้องคู่นี้และทหารเฟิงโดยรอบเพื่อที่จะหาชิวเจิ้นที่เขากังวลมากที่สุด แต่สุดท้ายแล้วก็หาไม่เจอ

เมื่อคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายกับชิวเจิ้นในการต่อสู้ ชายหนุ่มก็ได้เข้าไปหาตัวถึงในกองทหารเฟิงที่กำลังชุลมุนอยู่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง “สหายถัง เจ้ายังไม่ตายอีกงั้นเหรอ?!”

ชายหนุ่มมองดี ๆ และสังเกตได้เลยว่าคนที่พูดคือชิวเจิ้นจริง ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายยังปลอดภัยดีอยู่เขาก็โล่งใจและยิ้มออกมา ชายหนุ่มหัวเราะในใจและคิดไปถึงความสามารถในการเอาตัวรอดของชิวเจิ้นที่สูงกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก

“เจ้าเป็นใครกัน?”

โดยไม่รอช้า แม่ทัพหนิงก็ขี่ม้าสีดำเข้ามาแล้วชี้ดาบไปยังปลายจมูกของเขา

ถังหยินแต่งชุดธรรมดาและแม่ทัพคิดว่าเขาคือหนึ่งในพวกเดียวกัน แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจำเขาไม่ได้แบบนี้ แสดงว่ามีมันต้องอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่

โดยไม่ต้องพูดอะไรมาก ถังหยินยกหยูฉางขึ้นมาแล้วตะโกน “ปลดกำลังพลของพวกเจ้าซะ ทำเดี๋ยวนี้!”

“ทำไมข้าต้องฟังเจ้ากัน ! ”

แม่ทัพของพวกหนิงผู้นี้มีตำแหน่งที่ไม่สูงมาก ดังนั้นเขาจึงไม่รู้จักหยูฉาง และไม่รู้ด้วยว่าเขาคือองค์ชายสาม จึงทำให้เมื่อได้ยินคำพูดแบบนั้นของถังหยิน มันก็ยิ่งทำให้เขาโกรธจนตะโกน “ล้อมพวกมันไว้!”

“ช้าก่อน!”

คนที่พูดไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหยวนกุยที่ตามมาทัน

ถึงจะไม่รู้จักหยูฉางแต่เขาก็รู้จักแม่ทัพหยวนกุย เมื่อเห็นเขาวิ่งมาด้วยตัวเองแบบนี้ก็รีบลงจากม้ามาโค้งหัวให้ “ท่านแม่ทัพหยวนกุย ทำไมท่านถึงมาที่นี่?”

หยวนกุยไม่สนใจและมองไปยังสนามรบที่เต็มไปด้วยซากศพมนุษย์จำนวนมาก เมื่อเห็นใบหน้าของหยวนกุยที่เย็นชาลง แม่ทัพหนิงผู้นั้นก็พลันตัวสั่น “ท่านแม่ทัพ มีผู้ฝึกยุทธ์ในกองทัพศัตรูด้วย พวกเราถึงได้เสียหายมากขนาดนี้ แต่ตอนนี้พวกเราล้อมไว้หมดแล้ว…”

โดยไม่ทันให้เขาได้พูดจบ หยวนกุยก็รีบพูด “ปล่อยพวกเขาไปซะ!”

“รับทราบ…”

แม้ว่าจะตอบรับไปแบบนั้นแต่ร่างของเขาก็สั่นพร้อมด้วยใบหน้าที่ตกตะลึง ก่อนที่จะพูดพึมพำออกมา “ปล่อย… พวกมันหรือ? ท่านแม่ทัพหยวน พวกมันคือศัตรูนะ!”

“ข้ารู้ ไม่ต้องพูดมาก!” หยวนกุยสบถด่าแล้วมองไปที่ ถังหยิน “ถัง… ท่านแม่ทัพ ข้าทำการปล่อยทหารของเจ้าทั้งหมดแล้ว ได้โปรดปล่อยตัวฝ่าบาทด้วยเถิด”

ถังหยินยิ้มทันที “ถ้าข้าปล่อยไอ้นี่ไป พวกเจ้าจะให้พวกข้าผ่านไปหรือไม่?”

“แน่นอน!”

“แต่เจ้ามันเชื่อถือไม่ได้!”

“ทำไมถึงคิดแบบนั้นกัน?”

“ถ้างั้นเอาไว้รอจนกว่าจะไปถึงประตูหน้าด่านตงอย่างปลอดภัยก็แล้วกัน”

“เจ้า… คิดจะพาฝ่าบาทไปถึงที่ประตูตง?”

“ก็ใช่สิ!”

“นี่มัน…”

“ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้า ถ้างั้นข้าเองก็ไม่เชื่อเจ้าเช่นกัน ถ้ายังขวางทางกันอยู่แบบนี้ บอกได้เลยว่าฝ่าบาทของเจ้าได้ตายคนแรกแน่!” ถังหยินทำสีหน้าเย้ยหยันไปทางหยวนกุย

ทั้ง 2 โต้ตอบคารมกันอย่างดุเดือด แต่ในขณะเดียวกันการพูดคุยของพวกเขาก็ได้ดึงดูดความสนใจจากอู่เหมยและอู่อิงด้วยเช่นกัน

ทั้ง 2 มองไปยังหยูฉางที่ถูกจับตัวอยู่ แค่มองจากเสื้อก็รู้เลยว่าชายคนนี้คือคนที่มีตำแหน่งสูงมากในแคว้นหนิงเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเข็มขัดรอบเอวที่จะมีเฉพาะคนในวังเท่านั้นที่จะสวมมันได้ ยิ่งไปกว่านั้นหยวนกุยเองก็ยังเรียกเขาว่าฝ่าบาทอีกด้วย แบบนี้มัน..