บทที่ 39 เกี้ยวขนาดใหญ่

หมอผีแม่ลูกติด

บทที่ 39

เกี้ยวขนาดใหญ่

แล้วทั้งสองคนต่างก็พากันพูดคุยในเรื่องของกลยุทธ์ทั้งในด้านดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ แล้วทั้งคู่นั้นก็สนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ ซูโยวอวิ๋น ผู้ที่ถูกทิ้งอย่างเย็นชานั้นไม่สามารถที่จะเข้าร่วมบทสนทนาได้เลย แต่ก็ยังไม่อยากที่จะไป ดูเหมือนว่านางจะมีดีก็แค่ภูมิหลังของนางเท่านั้น

“อวิ๋นเซวียน พี่เยี่ยมีเรื่องที่อยากจะขอร้องเจ้าหน่อย ไม่ทราบว่าเจ้าจะช่วยช้าได้หรือไม่?” จู่ๆเยี่ยจุนเจี๋ยก็นึกถึงปู่ของเขาได้ขึ้นมาซึ่งมีอาการป่วยกระเสาะกระแสะ เขาจึงได้อยากให้หลินอวิ๋นเซวียนไปลองรักษาดู

หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่ลูกพี่ลูกน้องของเขา ซึ่งจู่ๆก็มีสีหน้าที่จริงจังขึ้นมา นางจึงได้ตอบกลับไปอย่างจริงจังเช่นกัน “หากว่าน้องคนนี้สามารถทำได้ จะไม่บ่ายเบี่ยงอย่างแน่นอน”

“เมื่อสามเดือนก่อน ท่านปู่ของข้านั้นมีอาการป่วยจนต้องนอนติดเตียง ในช่วงที่ผ่านมานี้ ข้าได้หาหมอมากมายมารักษาแต่ก็ยังไร้ซึ่งหนทาง ข้าพบว่าความสามารถด้านการแพทย์ของน้องอวิ๋นเซียนนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าจึงอยากให้เจ้าช่วยมากับข้าแล้วไปดูอาการของท่านปู่ข้าหน่อย”

เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินว่าตาของนางล้มป่วยก็คิ้วขมวดขึ้นมา แน่นอนอยู่แล้วว่านางย่อมจะต้องไปรักษาเขา ไม่ว่าโรคนั้นจะพิสดารมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่หมอผีอย่างนางจะปฏิเสธที่จะไปตรวจอาการ

“อวิ๋นเซวียนเจ้าไม่อยากไปเหรอ?” เยี่ยจุนเจี๋ยเมื่อเห็นว่าหลินอวิ๋นเซวียนนิ่งคิดไป แววตาของเขาก็ได้หดหู่ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

หลินซีเหยียนก็ได้หันหน้ากลับมาแล้วกล่าว “พี่เยี่ยอย่าได้กังวลไป ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่แน่นอน”

“ดี ถ้าจะตีเหล็กก็ควรตีตอนกำลังร้อน พวกเราไปกันวันนี้เลย!”

ซูโยวอวิ๋นมองไปที่เยี่ยจุนเจี๋ยที่กำลังจะไปแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาตรงหน้าของเยี่ยจุนเจี๋ย แล้วจากนั้นนางก็ได้หยิบเอาถุงหอมจากที่เอวของนางใส่เอาไว้ในมือของเยี่ยจุนเจี๋ยแล้วจากไปอย่างหน้าแดงๆ

เยี่ยจุนเจี๋ยมองไปที่ถุงเครื่องหอมที่อยู่ในมือของเขาแล้วนิ่งคิด จึงได้มองหาใครสักคนในร้าน แล้วจ่ายเงินให้ 5 ตำลึงเงินแล้วกล่าว “แม่นางซูทำถุงหอมนี้ตกเอาไว้ ช่วยเอาไปคืนให้นางด้วย”

ชายคนนั้นก็ได้รีบผงกหัวอย่างรวดเร็ว จู่ๆก็มีคนมาให้เงินแล้วยังมีโอกาสได้พบกับสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงอีก เป็นงานที่ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้!

หลังจากที่ออกมาจากร้านน้ำชา หลินซีเหยียนก็ได้ถามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “พี่เยี่ยไม่ทราบจริงๆเหรอว่า แม่นางคนนั้นกำลังคิดอะไรอยู่?”

เยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้ยิ้ม “คนหยาบกร้านอย่างข้าจะไปคู่ควรกับดอกไม้ที่งดงามอย่างแม่นางซูได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องของอุปสรรคที่จะตามมาเลย”

เมื่อหลินซีเหยียนได้ยินคำพูดนี้นางก็พลันนึกถึงเรื่องที่เขากังวลขึ้นมาได้ พ่อของซูโยวอวิ๋น ท่านราชครูซูนั้นอยู่ฝ่ายถือหางองค์ฮ่องเต้คนปัจจุบัน ในขณะที่กำลังทหารนั้นกลับอยู่ในมือของอดีตแม่ทัพเจิ้นกว๋อ ทั้งสองคนนั้นจึงมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันนัก

ในตอนนั้นเอง นางก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจลูกพี่ลูกน้องของนางขึ้นมา

“ถ้าพี่เยี่ยชอบแม่นางคนนั้นจริงๆ ข้าว่ามันจะต้องมีทางออกดีๆแน่” หลินซีเหยียนพูดปลอบเขา

เยี่ยจุนเจี๋ยนั้นคิดว่าหลินซีเหยียนนั้นคงจะเข้าใจอะไรผิดไปจึงได้อธิบาย “อวิ๋นเซวียนเจ้าคิดมากไปแล้ว พี่เยี่ยนั้นมีคนที่ชอบอยู่แล้ว”

แววตาของหลินซีเหยียนก็บ่งบอกความสนใจขึ้นมา แล้วนางก็ได้มองไปที่เยี่ยจุ่นเจี๋ยอย่างใคร่รู้ “แม่นางคนนั้นคือใครเหรอ ไม่ทราบว่าท่านพอจะบอกกับน้องชายคนนี้บ้างได้หรือไม่?”

“ดูหน้าเจ้าตอนนี้สิ” เมื่อเห็นสายตาที่ร้อนรนของหลินอวิ๋นเซวียนแล้ว เยี่ยจุนเจี๋ยก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดว่าหลินอวิ๋นเซวียน “นางคนนั้นอยู่บริเวณชายแดนโน่นแหละ เจ้าไม่รู้จักหรอก”

“ถึงข้าจะไม่รู้จัก แต่ข้าก็ยังอยากรู้อยู่ดีนี่นา” หลินซีเหยียนกะพริบตาและพูดอย่างออดอ้อน

เยี่ยจุนเจี๋ยจึงได้ตอบอย่างช่วยไม่ได้ “นางคนนั้นชื่อว่า ซวีจื้อเป็นเด็กกำพร้า พวกเราพบกันในระหว่างสงครามและวิทยายุทธของนางก็แกร่งกล้ามาก”

จากที่ได้ฟังที่ลูกพี่ลูกน้องของนางเล่าแล้ว หลินซีเหยียนก็นึกถึงเรื่องราวประมาณพระเอกที่ไปช่วยเหลือสาวงามคนหนึ่งไว้แล้วจากนั้นนางก็ตอบแทนด้วยร่างกายของนาง

“พี่เยี่ย ถ้าท่านมีคนที่ชอบอยู่แล้วข้าว่าท่านควรจะรีบจัดการอะไรให้เรียบร้อยนะ ไม่อย่างนั้นท่านอาจต้องตกไปเป็นของผู้หญิงคนอื่น เมื่อถึงตอนนั้นก็จะสายไปแล้ว” หลินซีเหยียนพูดเตือนเขา

แล้วใบหน้าของเยี่ยจุนเจี๋ยก็ปรากฏสายตาอ้างว้างออกมา “ดูเหมือนว่านางจะมีธุระสำคัญต้องจัดการ นางนั้นได้จากไปโดยไม่ได้กล่าวคำบอกลาสักคำในวันที่ข้าเดินทางกลับเมืองหลวง ตอนนี้นางอยู่ที่ไหนข้าก็ไม่รู้เลย”

เมื่อเห็นว่าเรื่องที่นางกำลังพูดทำให้ลูกพี่ลูกน้องของนางเสียใจ หลินซีเหยียนจึงได้รีบปลอบเขา “หากพี่เยี่ยผูกพันกับนาง ข้าเชื่อว่าพวกท่านจะต้องได้พบกันอีกแน่”

แล้วทั้งสองคนก็เดินไปและพูดคุยกันไป แต่แล้วพวกเขาก็ได้ต้องถูกหยุดขณะที่กำลังเดินผ่านตรอกแห่งหนึ่ง ซึ่งผู้ที่มานั้นก็คือคนเฝ้าประตูที่ไล่หลินซีเหยียนออกไปก่อนหน้านี้

“ท่านหมอผีขอรับ ขอให้ท่านช่วยใจกว้าง ยกโทษให้ข้าสักครั้งด้วย” คนเฝ้าประตูลงไปคุกเข่ากับพื้นและก้มหัวโขกกับพื้นรัวๆ ซึ่งเพราะการโขกอย่างแรง ทำให้มีรอยเลือดติดอยู่ที่พื้น

หลินซีเหยียนจึงได้ยิ้ม “ดูเหมือนว่าฮวงจุ้ยจะเปลี่ยนทิศเสียแล้ว!”

เยี่ยจุนเจี๋ยที่ยืนมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นอยู่พักหนึ่ง

พ่อบ้านที่ไล่ตามคนเฝ้าประตูมา ก็ได้เตะคนเฝ้าประตูออกไปด้านข้าง จากนั้นก็ก้มหัวคารวะ “ท่านหมอผีขอรับ ท่านกว๋อกงจิ่งหยางให้มารับท่านไปขอรับ”

หลังจากที่พูดจบเขาก็เดินหลบไปด้านข้างเผยให้เห็นเกี้ยวขนาดใหญ่ที่ทำมาจากไม้จันทน์แดงที่อยู่ด้านหลังเขา

หลินซีเหยียนก็แอบยิ้มที่มุมปากเมื่อได้เห็นมัน รสนิยมของกว๋อกงจิ่งหยางนั้นเป็นอย่างไรกันแน่นะ เอาเกี้ยวสีแดงที่ใช้ในพวกงานมงคลต่างๆก็เรื่องนึงแล้ว แล้วนี่ยังเอาเกี้ยวขนาดใหญ่มารับนางอีก!

“อวิ๋นเซวียน เจ้าคือหมอผีอย่างนั้นเหรอ?” เยี่ยจุนเจี๋ยถามอย่างตกตะลึง

“ข้าก็แค่หมอผีที่ถูกคนห้ามไม่ให้เข้าน่ะ ทำไมพี่เยี่ยถึงต้องตกใจขนาดนั้นด้วย” หลินซีเหยียนพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ

“อวิ๋นเซวียน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำว่าหมอผีน่ะมันหมายความว่าอย่างไร?” น้ำเสียงของเยี่ยจุนเจี๋ยก็มืดดำมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วเขาก็พูดต่อ “มันหมายความว่าไม่ว่าผู้ป่วยจะใกล้ตายแค่ไหนก็จะฟื้นคืนมาได้”

หลินซีเหยียนลูบจมูกของนางแล้วกล่าว “จริงๆแล้วข้าเองก็รักษาไม่ได้ทุกอย่างหรอก ผู้คนก็แค่พูดเกินจริงกันไปเองนิดหน่อยเท่านั้น”

“ท่านหมอผีขอรับ ท่านกว๋อกงจิ่งหยางกำลังรอท่านอยู่นะขอรับ”

เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ลืมตัวเองไปแล้ว พ่อบ้านจึงต้องเตือนเขาอย่างช่วยไม่ได้

หลินซีเหยียนจึงได้พูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา “หึ ข้าหมอผีเคยพูดไว้แล้วว่า หากไม่นำเงินมาให้ ก็อย่าหวังจะให้ข้าไปอีกเลย”

ส่วนพ่อบ้านที่ดูเหมือนจะเตรียมการไว้แล้ว ก็ได้ตบมือของเขา “ถ้าเช่นนั้นคงต้องอาจจะรุนแรงกันหน่อย”

หลินซีเหยียนเห็นเช่นนี้ก็ได้ฉวยโอกาสดึงแขนเสื้อของเยี่ยจุนเจี๋ยแล้วกล่าว “พี่ชายช่วยปกป้องข้าหน่อยสิ ข้าไม่อยากไปกับพวกเขา ข้าอยากไปดูอาการของท่านแม่ทัพมากกว่า”

เยี่ยจุนเจี๋ยที่พบว่าคนพวกนี้คิดที่จะใช้วิธีรุนแรง ในเวลานี้เขาจึงไม่คิดที่จะปล่อยให้พวกเขาเข้าใกล้หลินซีเหยียนได้

เพื่อความมั่นใจ พ่อบ้านนั้นได้พานักสู้ที่มีชื่อเสียงมามากกว่าสิบคน แต่ถึงแม้ว่าทางนั้นจะได้เปรียบด้านจำนวน แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับแม่ทัพกล้าที่อาบเลือดมาในสมรภูมิมานานถึง 3 ปี จึงทำให้ผลที่ออกมายากที่จะคาดเดา

หลินซีเหยียนที่ยืนมองดูอยู่ห่างๆ และมองดูเรื่องตื่นเต้นนี้อย่างสนใจ

“สนุกไหม?” ในขณะที่นางกำลังดูถึงช่วงจุดสำคัญแล้ว เสียงที่คุ้นหูของเจียงหวายเย่ก็ได้เข้ามาในหูของนาง

“ท่านมาทำอะไรที่นี่?” หลินซีเหยียนมองไปที่เจียงหวายเย่อย่างสงสัย

“เปิ่นหวางได้ยินมาว่ามีท่านหมอผีปรากฏตัว และในเวลานี้ก็ดูเหมือนกำลังถูกชิงตัวจากหลายๆฝ่ายอยู่เสียด้วย” เจียงหวายเย่กล่าวติดตลก

หลินซีเหยียนก็ได้ลูบจมูกของนาง เจียงหวายเย่กำลังโกรธอยู่เหรอ? แต่นางก็ยังไม่ได้ทำอะไรให้เขาโกรธเลยนี่นา นางจึงไม่อยากที่จะมากังวลในเรื่องที่นางไม่สามารถคิดออกได้ นางจึงได้หันไปดูการต่อสู้ที่กำลังน่าสนใจต่อ

ส่วนเจียงหวายเย่นั้นกำลังหงุดหงิดมากกับการที่ หลินซีเหยียนนั้นมัวแต่ไปสนใจอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เขาจึงได้พูดอย่างเย็นชา “อันอี้เข้าไปช่วยที”

เขาต้องการให้ละครนี้จบอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเยี่ยจุนเจี๋ยกับหลินซีเหยียนนั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องกันก็ตาม แต่เขาก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี

อันอี้นั้นรู้สึกลังเลอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุด แล้วก็ออกไปช่วยอยู่ดี

ไม่นานนักผลสรุปก็ออกมา คนของบ้านกว๋อกงจิ่งหยางต่างก็ถูกอัดลงไปนอนกองอยู่กับพื้น แล้วหลินซีเหยียนก็ได้เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาแล้วเดินเข้าไปหา “สำหรับพวกเจ้าที่พยายามอย่างหนักเพื่อหมอผีคนนี้ ข้าก็จะขอมอบของรางวัลให้พวกเจ้า”