ตอนที่ 41 เจ้าปัญญาอ่อนฆ่าคน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 41 เจ้าปัญญาอ่อนฆ่าคน

บังเอิญว่าวันนี้ท่านปู่เจียงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย จึงไม่ได้ไปที่ทุ่งนา เจียงโหย่วฉายกำลังก่อความวุ่นวายอยู่ด้านนอก แต่ท่านปู่เจียงกลับกำลังตบขาดังฉาดและพูดชมเจียงโหย่วฉายกับหลีโผจื่ออยู่ที่ห้องใหญ่

“เมียข้า หลานชายของเราล่ำสันมากเลยเจ้าว่าอย่างนั้นหรือไม่ ?”

หลีโผจื่อก็รู้สึกภูมิใจมากเช่นกัน “ก็ใช่น่ะสิตาเฒ่า”

ทว่าผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงตะโกนร้องของเจียงโหย่วฉายดังขึ้น เขากำลังตะโกนว่า “เจ้าปัญญาอ่อนฆ่าคน!”

ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อต่างพากันตกใจ คนหนึ่งหยิบม้านั่ง อีกคนคว้าไม้กวาดและรีบพากันออกไปด้านนอกทันที

ด้วยความที่ผลุนผลันออกมา พวกเขาก็ชนเข้ากับเจียงโหย่วฉายที่กำลังตกใจจนน้ำหูน้ำตาไหลพอดิบพอดี

“ไอ้โย! หลานรักของย่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?” หลีโผจื่อจับเจียงโหย่วฉายถามอย่างนึกสงสาร

เจียงโหย่วฉายน้ำหูน้ำตาไหล เขาตกใจจนปากสั่นตลอดเวลา “ท่านย่า เจ้าปัญญาอ่อนนั่น มันฆ่าคน! ตัวของมันเต็มไปด้วยเลือด!”

หลีโผจื่อกับท่านปู่เจียงสบตากัน ความตื่นตระหนกฉายชัดขึ้นในดวงตาของพวกเขาทั้งสอง

เป็นไปไม่ได้! เจ้าปัญญาอ่อนกล้าถึงขนาดฆ่าคนได้เลยรึ ?

แล้วฆ่าใครล่ะ ?

ท่านปู่เจียงถ่มน้ำลายลงพื้น มือที่ถือม้านั่งไม้กำแน่นขึ้น “ข้าจะไปดูสักหน่อย”

หลีโผจื่อจูงเจียงโหย่วฉายเดินตามหลังท่านปู่เจียงไป พวกเขาทั้งสามคนออกไปจากห้องใหญ่พร้อมกัน

เจียงเอ้อยาได้ยินการเคลื่อนไหวเข้าพอดีจึงวิ่งออกมา เมื่อนางเห็นว่าท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่ออยู่กันครบ ลูกตาของนางก็หมุนไปหมุนมาเล็กน้อย นางรู้สึกกลัวมากจึงวิ่งไปหลบข้างหลังหลีโผจื่อ และเตรียมไปดูเรื่องสนุก ๆ

เจียงป่าวชิงรู้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้จึงรออยู่ที่หน้าประตูห้องดินเหนียวพร้อมที่จะเผชิญหน้า เมื่อเห็นท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อต่างคนต่างถือม้านั่งกับไม้กวาดไว้ในมือ และเดินมาด้วยท่าทางราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูทำนองนั้น นางก็รู้สึกขบขันในใจเล็กน้อย

ถือว่าหาเรื่องสนุกทำในตอนที่ตัวเองกำลังป่วยก็แล้วกัน

เจียงป่าวชิงยิ้มตาหยี ท่านปู่เจียงกับหลีโผจื่อนั้นไม่เหมือนกับเจียงโหย่วฉายที่เป็นเด็กน้อยผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องอะไรเลย ท่านปู่เจียงเห็นไหล่ข้างซ้ายของเจียงป่าวชิงถูกพันด้วยผ้าไปครึ่งนึง ถึงแม้ว่าร่างกายส่วนใหญ่จะเปื้อนไปด้วยเลือดและดูค่อนข้างน่ากลัว ท่านปู่เจียงก็คิดว่านี่ดูเหมือนเลือดของเจียงป่าวชิงเองมากกว่า

“มันเกิดอะไรขึ้น ?” ท่านปู่เจียงโบกม้านั่งในมือไปทางเจียงป่าวชิงด้วยสีหน้าเย็นชา

เจียงป่าวชิงชี้ไปที่ไหล่ข้างขวาของตัวเอง “เมื่อวานข้าหกล้มบนเขา ล้มลงไปบนก้อนหินจึงได้รับบาดเจ็บนิดหน่อยเจ้าค่ะ”

เจียงเอ้อยาพูดพึมพำเล็กน้อย “เหอะ! ทำไมไม่ตาย ๆ ไปเลยล่ะ”

นางพูดเสียงเบามากจึงไม่มีใครได้ยิน

หลีโผจื่อถือไม้กวาดเดินไปข้างหน้า ท่าทางของนางเหมือนอยากเล่นงานเจียงป่าวชิงสักทีสองที นางพูดขึ้นด้วยเสียงเหี้ยม “ทำจนเป็นแบบนี้ เจ้ายังกล้าขู่ขวัญพี่ฉายอีกรึ ?! เจ้าเท้าเล็ก ข้าว่าเจ้ารู้สึกคันจนต้องหาเรื่องให้ถูกตีสิไม่ว่า”

ท่านปู่เจียงจับหลีโผจื่อไว้ จากนั้นเขากระแอมไอและพูดเตือนหลีโผจื่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าว่าสองสามวันนี้การสอบในภูมิภาคของหยุนชานคงใกล้ประกาศรายชื่อแล้ว…”

สีหน้าของหลีโผจื่อเปลี่ยนไปทันที สุดท้ายนางก็ถ่มน้ำลายลงพื้น “เจ้ามันตัวซวย! ตัวซวยจริง ๆ ดูเลือดของเจ้าสิ ทำไมไม่หักแขนไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยล่ะ ?!” นางกอดเจียงโหย่วฉายและหันไปฉุดดึงเจียงเอ้อยา “ไป! พวกเจ้าอยู่ให้ห่างจากมัน อย่าให้เคราะห์ร้ายของมันมาแปดเปื้อนเรา ดูท่าทางความเป็นตัวซวยของมันสิ หายนะชัด ๆ”

พวกเขาเดินกลับไปที่ห้องใหญ่และก่นด่าเจียงป่าวชิงไปด้วย แต่เจียงป่าวชิงยังคงยืนอยู่ที่ประตูด้วยใบหน้าราบเรียบ

สำหรับการที่พวกเขาก่นด่านางเช่นนี้ ในสายตาของเจียงป่าวชิงนั้นถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก ทว่าในตอนนั้นเอง นางรู้สึกได้อย่างรำไรว่ามีสายตาของใครบางคนกำลังจ้องมาที่นางทำนองนั้น

เจียงป่าวชิงมองไปรอบ ๆ อย่างสงสัยใคร่รู้ ตอนนี้บ้านข้าง ๆ ได้ยินการเคลื่อนไหวแล้ว และกำลังชะโงกคอมองมาทางนี้อย่างสงสัย แต่มันต่างจากความรู้สึกที่แอบมองแบบเมื่อสักครู่โดยสิ้นเชิง

“ป่าวชิง ป่าวชิง” หวังอาซิ่งที่อยู่ที่รั้วเรียกเจียงป่าวชิงเสียงเบาด้วยท่าทางเป็นกังวล

เจียงป่าวชิงโบกมือซ้ายให้หวังอาซิ่ง

หวังอาซิ่งเป็นกังวลจนใกล้จะร้องไห้อยู่รอมร่อ “ป่าวชิงเจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ? หกล้มแต่ทำไมเลือดถึงออกเยอะแบบนี้ล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงไม่ได้แสดงท่าทีอะไร นางยังคงปลอบหวังอาซิ่งตามเดิม “ข้าไม่เป็นไร รักษาตัวไม่กี่วันก็หายแล้วล่ะ”

ใบหน้าที่เหลืองซูบของหวังอาซิ่งซีดไปเล็กน้อย “ถ้าหากหยุนชานกลับมา ข้าจะบอกกับเขายังไงล่ะ ?”

เจียงป่าวชิงกะพริบตาปริบ ๆ จากนั้นก็โอ๋หวังอาซิ่ง “ไม่เป็นไร เลือดพวกนี้มันก็แค่ชวนให้คนตกใจเท่านั้นเอง ในความเป็นจริงคือแผลเล็กนิดเดียว ตอนที่พี่ชายข้ากลับมา ไม่แน่มันอาจจะหายดีแล้วก็ได้”

ได้ฟังดังนั้น หวังอาซิ่งถึงจะรู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้าง

เจียงป่าวชิงกลับไปที่ห้องดินเหนียวของนาง เมื่อปิดประตูห้อง นางก็ออกแรงใช้มือข้างซ้ายถอดผ้าพันแผลออก

บาดแผลดูเรียบร้อยดี ตรงบริเวณบาดแผล นอกจากกากสมุนไพรแล้วก็ยังมีอะไรบางอย่างที่มีลักษณะเหลวโปะอยู่เล็กน้อย คงเป็นยารักษาแผลของสองคนนั้น

เจียงป่าวชิงถอดเสื้อผ้าเก่าที่เต็มไปด้วยเลือดออก เมื่อเปลี่ยนยารักษาแผลเสร็จแล้วก็หาผ้าเก่า ๆ ที่สะอาดสะอ้านเพื่อนำมาพันแผลให้ตัวเอง ทำจนทุกอย่างเสร็จก็เปลี่ยนเป็นชุดเก่าที่เต็มไปด้วยรอยปะเพื่อจะได้คลุมไว้ด้านนอก แบบนี้ถ้ามองจากด้านนอกอย่างน้อยก็คงจะมองไม่เห็นบาดแผลสักเท่าไหร่

เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว ๆ อย่างโล่งอก  ขั้นตอนในการเปลี่ยนผ้าพันแผลและเปลี่ยนเสื้อผ้านั้นมักจะสะเทือนไปถึงบาดแผลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางเจ็บจนเหงื่อออกราวกับไปสู้รบมาอย่างไรอย่างนั้น

โดยปกติพื้นฐานร่างกายของเจียงป่าวชิงก็อ่อนแออยู่แล้ว ประกอบกับสูญเสียเลือดมากเกินไป ทำให้เจียงป่าวชิงรู้สึกราวกับได้รับพรจากฟากฟ้าที่ตัวเองยังสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้ หากหวังพึ่งตระกูลเจียง ความหวังนั้นคงจะไม่เป็นผลอย่างแน่นอน นางนำถุงผ้าอันเล็กที่ใช้ใส่เศษเงินกับทองแดงไปวางในอ้อมอก จากนั้นก็ออกจากบ้าน

เจียงป่าวชิงไปซื้อตับหมูครึ่งกิโลที่บ้านขายเนื้อสัตว์ในหมู่บ้าน จากนั้นก็ถือตับหมูไปที่บ้านของป๋ายรุ่ยฮัว

เนื่องจากตอนนี้ป๋ายรุ่ยฮัวอยู่ตัวคนเดียว อีกทั้งยังเป็นหม้ายทั้งที่ยังสาว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกเพื่อนบ้านนินทา นางจึงปิดบ้านใส่กุญแจอย่างแน่นหนาในตอนกลางวัน จะได้ไม่ค่อยมีใครมาที่นี่

เมื่อเปิดประตู ป๋ายรุ่ยฮัวเห็นเจียงป่าวชิงนางก็ตกตะลึงไปทันที “ป่าวชิง ทำไมหน้าเจ้าถึงได้ซีดแบบนี้เล่า ?” พูดเสร็จ นางก็พาแขกเข้ามาในลานบ้าน

สองสามวันนี้เฟิ่งเอ๋อร์ดื่มยาไม่ขาด จึงทำให้ใกล้หายดีแล้ว ตอนนี้ความร่าเริงของเด็กน้อยกลับมาเป็นปกติแล้วด้วย นางกำลังเกาะอยู่ข้างขาแม่ตัวเองและกำลังมองเจียงป่าวชิงอย่างสงสัย

เจียงป่าวชิงยกตับมือในมือขึ้นมา และพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่รุ่ยฮัว ข้ามากินข้าวที่บ้านพี่ พี่อย่าไปบอกพวกย่าสองของข้านะ”

ป๋ายรุ่ยฮัวเห็นเจียงป่าวชิงถือตับหมูปริมาณไม่น้อยไว้ในมือ นางก็รู้ว่าเจียงป่าวชิงเตรียมมาสำหรับกินกันสามคน ป๋ายรุ่ยฮัวจึงชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นนางก็พูดขึ้น “เรื่องอาการป่วยของเฟิ่งเอ๋อร์เมื่อครั้งที่แล้ว โชคดีที่เจ้าคอยช่วยไว้ ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณเจ้าเลย ครั้งนี้ข้าจะ…”

ถ้าหากเป็นไปได้ อันที่จริงเจียงป่าวชิงก็ไม่อยากจะมารบกวนป๋ายรุ่ยฮัวเช่นกัน แต่นางเสียเลือดมากเกินไป หากไม่บำรุงให้ดี ไม่แน่พรุ่งนี้นางก็อาจจะไม่ตื่นแล้วก็ได้  ตอนนี้นางอาศัยอยู่กับคนอื่น ซึ่งไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นที่จับตามองของคนในบ้านเสมอ ครั้งที่แล้วนางเพียงแค่ซื้อเศษผ้ากลับมานิดเดียว หลีโผจื่อกับโจซื่อถึงกับอดไม่ได้ที่จะออกไปโพนทะนาไปทั่ว ดังนั้น หากนางทำอาหารประเภทบำรุงร่างกายในบ้านตระกูลเจียง เกรงว่าจะถูกคนในตระกูลเจียงรังเกียจเอาได้

นางครุ่นคิดอยู่สักพัก ทั้งชีหลี่โวก็มีเพียงบ้านของป๋ายรุ่ยฮัวเท่านั้นที่นางสามารถแบกหน้ามาขอรบกวนได้ ซึ่งในบ้านของป๋ายรุ่ยฮัวมีเพียงนางกับเฟิ่งเอ๋อร์เท่านั้น ผู้คนก็เรียบง่าย และไม่น่าจะมีใครมาพูดอะไร ประกอบกับก่อนหน้านี้พวกนางก็มีไปมาหาสู่ที่ถือได้ว่ามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน

“พี่รุ่ยฮัว ข้าได้รับบาดเจ็บที่ไหล่จึงต้องบำรุงร่างกายสักหน่อย แต่พี่ก็รู้เรื่องสถานการณ์ของตระกูลเจียงดี ก็อย่างที่เห็น ข้าทำได้เพียงแบกหน้ามาหาพี่นี่แหละเจ้าค่ะ” เจียงป่าวชิงอธิบายอย่างเกรงใจเล็กน้อย

ได้ฟังดังนั้น ป๋ายรุ่ยฮัวก็ถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย “ไหล่เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?  ในบ้านยังมีผักโขมอยู่นิดหน่อย ข้าจะไปเอาผักโขมให้เจ้า อีกประเดี๋ยวข้าตุ๋นน้ำต้มตับหมูใส่ผักโขมดีกว่า มันดีมากเลยนะ”

ป๋ายรุ่ยฮัวพูดเสร็จ นางก็ให้เจียงป่าวชิงเข้าไปนั่งพักในบ้าน ส่วนนางก็เอาตับหมูไปวางที่ห้องครัว จากนั้นก็ไปเด็ดผักโขมจำนวนมากที่สวนผักบ้านตัวเอง และนำไปจัดการทำน้ำต้มตับหมูใส่ผักโขมที่ห้องครัว

เฟิ่งเอ๋อร์เห็นแม่ของตัวเองกำลังยุ่งอยู่ตรงนั้น นางจึงไม่ได้เข้าไปพัวพันแต่เลือกที่จะหลบอยู่หลังประตูและยื่นหัวออกมาสังเกตเจียงป่าวชิงแทน

เนื่องจากครั้งที่แล้วที่เจอกันเฟิ่งเอ๋อร์กำลังป่วย ตอนนี้นางจึงไม่มีภาพความทรงจำต่อเจียงป่าวชิงเท่าไหร่นัก