ตอนที่ 35 เริ่มต้นการทดสอบ
ตารางการสอนของไป๋อวิ๋นซวนเริ่มตั้งแต่บ่าย 3 ถึง 6 โมงเย็น ส่วนตารางการสอนของเฉินจื่อหรานนั้นไม่ได้ทับซ้อนกับการสอนของครูคนแรก
เพราะยังเช้าอยู่ หวังเย่าจึงได้แต่ดูวิดีโอการสอนการใช้ธนูก่อนจะใช้ห้องซ้อมธนูเพื่อเรียนรู้การยิงธนู
แต่เมื่อยิงครั้งแรก เขากลับหลงใหลไปกับมันจนกินเวลาไปถึงตอนบ่าย เพราะการที่เขาเป็นสมาชิกพิเศษ เขาจึงมีห้องพักเป็นของตัวเอง
ตอนบ่าย 3 เขาก็ได้เข้าฝึกยิงธนูอย่างเป็นทางการ
“นักเรียนใหม่แนะนำตัวให้ทุกคนรู้จักด้วย” ไป๋อวิ๋นซวนเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 30 ปี เขามีสายตาที่คมกริบและมือที่ใหญ่พร้อมกับธนูคันโต ตอนแรกเขามีนักเรียน 9 คน เมื่อรวมกับหวังเย่าแล้วก็เป็น 10 คน คนพวกนี้มีอายุมากกว่า 20 ปี ทุกคนต่างก็แสดงสีหน้าสงสัยเมื่อมองไปที่นักเรียนใหม่
หวังเย่าก้าวออกมาและพูดขึ้น “ครูไป๋ เพื่อนทุกคน ฉันชื่อหวังเย่า ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
ไป๋อวิ๋นซวนพยักหน้าและพูดขึ้น “จากวันนี้ไปฉันจะให้ทุกคนซ้อมยิงไปก่อน 30 นาที ฉันจะไปสอนหวังเย่าก่อน เขาคงยังไม่เข้าใจเท่าไหร่ ”
ทุกคนไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะต่างก็ชอบที่จะได้ซ้อมเองบ้าง
ไป๋อวิ๋นซวนทำการสอนหวังเย่า ตั้งแต่เรื่องการดึงสาย การใช้ลูกธนู การเก็บลูกธนู รวมไปถึงการเล็งเป้า
หลังจากที่สอนเรื่องเหล่านี้แล้ว ไป๋อวิ๋นซวนก็เริ่มสอนนักเรียนคนอื่น ๆ เรื่องวิธียิง เขาอธิบายมันอย่างละเอียด หวังเย่าที่อยู่ข้าง ๆ ก็พอเข้าใจได้บ้าง
หลังจากเรียนจบ หวังเย่าก็ไปกินอาหารเพื่อฟื้นฟูพลังงานที่เสียไป
จากนั้นเขาก็ได้ไปที่ชั้น 15 เพื่อเรียนรู้เรื่องการใช้มีด วิธีการใช้มีดเหล่านี้มีไว้ใช้ในการทำสงครามและการต่อสู้จริง ๆ
“ก่อนอื่น ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉัน ครูฝึกเฉินจื่อหราน ”
หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จ เขาก็ได้สะบัดมือพร้อมกับมีมีดโผล่ออกมา มันถูกสะบัดไปมาราวกับงูพิษและพุ่งแทงออกมาอย่างรวดเร็ว
หวังเย่ารับรู้ได้ถึงพลังของมีดที่แผ่ออกมา เขารู้สึกได้ว่าแม้แต่ตัวเขาก็ไม่อาจจะตอบโต้ได้
เฉินจื่อหรานเห็นแบบนั้นก็เริ่มอธิบายรายละเอียดและแก่นแท้ของการโจมตีอย่างละเอียด ดังนั้นหวังเย่าจึงพอเข้าใจได้บ้าง
….
หวังเย่าใช้เวลาตลอด 3 วันนี้ที่สกายคลับ เขาใช้เวลาทั้งหมดไปกับการเรียนรู้เรื่องการใช้มีดและธนู
แม้ว่าการใช้มีดนั้นจะดูง่าย แต่การใช้มันให้คล่องแคล่วนั้นกินเวลานาน รวมไปถึงการใช้ธนู ตอนนี้เขาพอยิงเป้าที่อยู่ห่าง 100 เมตรได้เท่านั้น
เมื่อมาถึงวันสำหรับทำการทดสอบ
ในวันนั้นคนกว่า 400 คนจากโรงเรียนศิลาศักดิ์สิทธิ์ถูกแบ่งออกเป็น 10 กลุ่มโดยมีครูแต่ละคนเป็นหัวหน้ากลุ่ม
หวังเย่าไปทันเวลาพอดี เขาพบว่าเขาได้อยู่ในกลุ่มแรกซึ่งมีครูประจำชั้นหนึ่งเป็นหัวหน้าทีม ในทีมยังมีจ้าวเมิ่งซีอยู่ด้วย
เมื่อทุกคนมากันครบ ครูก็ได้แจกจ่ายเสบียงและพูดขึ้น “การทดสอบนี้อยู่ที่เขตไนลอนซึ่งอยู่ไม่ห่างจากเมืองนัก แม้ว่ามันจะไม่ได้อันตรายเท่าไหร่ แต่ก็ต้องระวังตัวเอาไว้ด้วย”
จากนั้นทุกคนก็ได้ขึ้นรถบัสของโรงเรียนเพื่อมุ่งหน้าไปที่ประตูทางใต้
ตอนที่หวังเย่านั่งลงนั้น เขาก็ได้กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก เมื่อหันกลับไปมองเขาก็พบเข้ากับใบหน้าที่งดงามข้าง ๆ เขา โดยที่เธอหันมายิ้มให้กับเขา
“สวัสดีหวังเย่า” จ้าวเมิ่งซีพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“จ้าวเมิ่งซี เธอนี่เอง” หวังเย่ารีบขยับออกห่างก่อนจะมองไปที่เธอ เธอราวกับคนที่หลุดออกมาจากภาพวาด เธอดูไร้ที่ติรวมไปถึงกลิ่นตัวที่หอม มันทำให้คนแทบจะตกอยู่ในความลุ่มหลง
“ทำไมนายมองฉันแบบนั้น ? มีอะไรติดหน้าฉันรึไง ? ” จ้าวเมิ่งซีถามขึ้น
“ไม่มีอะไร ฉันแค่คิดว่าฉันคงโชคดีที่ได้นั่งข้าง ๆ เทพธิดาอย่างเธอ” หวังเย่าลูบจมูกแล้วพูดขึ้น
“แน่นอน ถ้านายกลัวเหลิ่งจื่อมู่ นายจะเอาฉันเป็นโล่ก็ได้” จ้าวเมิ่งซีพูดยิ้ม ๆ ขึ้นมา
เหลิ่งจื่อมู่นั้นอยากจะจีบจ้าวเมิ่งซี แต่สุดท้ายในการแข่งขันเขากลับพ่ายแพ้ให้กับจ้าวเมิ่งซี ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้าสำหรับเขา
และในกลุ่มแรกนี้ก็มีเหลิ่งจื่อมู่อยู่ด้วย ตอนนั้นเหลิ่งจื่อมู่เองก็มองมาที่หวังเย่าราวกับจะจับเขากินทั้งเป็น
หวังเย่ายักไหล่ “เธอไม่ต้องมาสนใจฉันหรอก ฉันจะกลัวเขาไปทำไม ฉันกลัวว่าเธอจะกลายเป็นคนแบบเหลิ่งจื่อมู่ต่างหาก ถ้าถึงเวลาที่ไปเจอกับอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”
“ฉันไม่เป็นแบบนั้นหรอก ฉันไม่คิดที่จะเป็นคนแบบที่ฉันเกลียด” จ้าวเมิ่งซียิ้มออกมา รอยยิ้มของเธอราวกับดอกไม้บาน มันทำให้โลกนี้ดูหม่นหมองลงทันทีเมื่อเทียบกับรอยยิ้มของเธอ
“งั้นก็ดี ฉันคงเข้าใจได้ว่าเธอน่ะจะยอมให้คนตามจีบก็ต่อเมื่ออีกฝ่ายมีความสามารถและคอยสนับสนุนเธอได้” หวังเย่าพูดขึ้น
“ฉันเองก็ไม่มั่นใจว่าคิดยังไง อันที่จริงพวกเราก็ยังเด็กกันอยู่ เราน่าจะคิดถึงเรื่องอนาคตกันก่อน ต่อหน้าคนมากมาย คำตอบเรื่องนี้มันยากที่จะตอบได้” จ้าวเมิ่งซีมองไปที่หวังเย่า
“นั่น…ฉันเข้าใจ นี่คือความลับของเราสองคน ยังไงซะเราก็ยังเด็กเกินกว่าจะคิดเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ” จ้าวเมิ่งซีอ้าปากด้วยความแปลกใจเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัด แต่กลับทำให้เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาแทน
“ถ้าคุยกันนานกว่านี้ ฉันกลัวว่าฉันคงไม่รอด” หวังเย่าชี้ไปที่เหลิ่งจื่อมู่ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก
จากนั้นหวังเย่าก็พยักหน้าและพูดขึ้น “ดังนั้นหยุดพูดได้แล้ว เธอควรเงียบแล้วนอนไปซะ”
จ้าวเมิ่งซีขมวดคิ้ว เธออยากตบหวังเย่าที่พูดแบบนี้จริง ๆ เธอไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เอาซะเลย เขาทั้งปากร้ายและไม่เข้าใจผู้หญิง
…
1 ชั่วโมงต่อมา หวังเย่าที่หลับอยู่ก็ได้ยินเสียงตะโกนดังขึ้น
“ดูนั่น นั่นคือกำแพงของเมืองอรุณ”
“ใช่ ทุกครั้งที่เห็นที่นี่ฉันรู้สึกว่ามันคือปาฏิหาริย์ ”
หวังเย่าลืมตาขึ้นมาและมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นกำแพงหนาสูงเป็นร้อยฟุตที่คอยแยกสัตว์อสูรออกจากโลกมนุษย์
กำแพงนี้เป็นสีดำเทา ด้านบนกำแพงนั้นจะมีสถานีของทหารตรวจตราที่มีอาวุธต่าง ๆ ติดตั้งอยู่
รถแล่นไปที่ประตูเมืองก่อนจะหยุดลง ครูได้พาทั้ง 40 คนลงไปที่ประตูเมืองที่สูงกว่า 10 เมตรก่อนจะเข้าไปหาทหารที่ดูแลประตู
“ไม่นานมานี้มีหลายโรงเรียนได้ส่งคนออกไปทดสอบ อย่าคิดที่จะเสี่ยงหรือประมาท จำเอาไว้ว่าอย่าออกจากกลุ่ม ถึงการแข็งแกร่งขึ้นนั้นจะสำคัญ แต่ชีวิตนั้นสำคัญกว่า” ทหารที่ดูแลประตูพูดขึ้นมา
คุณครูผู้คุมทีมพยักหน้าและพานักเรียนเดินผ่านประตูเหล็กเพื่อออกจากเมืองไป
หวังเย่าพบว่าประตูนี้ทำจากเหล็กหนากว่า 3 เมตร ที่ด้านนอกประตูนั้นมีหนามเพื่อกันไม่ให้สัตว์อสูรโจมตีประตู
เมื่อออกมาด้านนอก ทุกคนต่างก็พากันมองเศษซากอารยธรรมด้วยความสงสัย มันมีทั้งป่ารวมถึงเครื่องมือของมนุษย์อยู่ด้วย มันมีรถที่ขึ้นสนิมโดนฝังอยู่ในดิน ตึกที่ถล่ม กระดูกของสัตว์อสูรที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกที่
แม้ว่าจะมีแค่กำแพงคั่นกลาง แต่มันกลับดูแตกต่างกันราวกับเป็นคนละโลก เหมือนแยกดินแดนแห่งความตายกับดินแดนแห่งชีวิตออกจากกัน
ตอนนั้นเองทุกคนก็เห็นเงาหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่เศษเนื้อเน่า ก่อนที่เงานั้นจะพุ่งหนีออกไป
“ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกับสัตว์อสูรด้วย มันตัวใหญ่จริง ๆ ” ทุกคนต่างพากันเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น
หวังเย่าได้ตรวจสอบสถานะของมันทันทีก่อนจะพบข้อมูลของมัน
****
สายพันธุ์ : หนูแสง
ระดับ : ทองแดง
เลเวล : 26
ความสามารถ : ขุดรู, รวดเร็วดั่งผี, กินเนื้อเน่า พวกมันมีอยู่จำนวนมาก เมื่อสิ่งมีชีวิตได้รับบาดเจ็บก็จะถูกมันฆ่าได้ง่ายดายขึ้นกว่าเดิม
****
หวังเย่าไม่กล้าที่จะประมาท แม้แต่หนูที่อยู่ใกล้กับประตูเมืองก็ยังดูแข็งแกร่งแบบนี้ ดูเหมือนว่าการทดสอบนี้ไม่ใช่แค่การเดินเล่นแล้ว แต่กลับเป็นภัยถึงชีวิต ไม่แปลกเลยที่ทหารดูแลประตูจะบอกแบบนั้น