ตอนที่ 65.3 ลงโทษหนัก (จำต้องมอง) (3)

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

อันที่จริงซื่อเฉิงไม่รู้ว่าเพราะตนโง่เขลา ทว่าหลี่คุ่ยกลับไม่ได้โง่ คาดเดาความหมายที่แฝงอยู่ภายในได้

อีกทั้งเวลานี้หากทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต พวกเขาไม่มีจุดจบที่ดีเป็นแน่ เพราะแม้บิดาซื่อเฉิงจะเป็นรองเสนาบดีกรมพิธีการ พี่สาวเป็นถึงพระสนมของฮ่องเต้ แล้วอย่างไร!?

แคว้นเทียนหยวนนี้อำนาจปกครองเป็นของตระกูลเหลิ่งมาโดยตลอด พวกเขาเป็นเพียงขุนนางเท่านั้น

อีกอย่างพญายมผู้นี้  นิสัยเอาแน่เอานอนไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ชื่นชอบสังหารคน หากทำให้เขาไม่พอใจ จนเกิดเสียงฉับขึ้นมา ชีวิตพวกเขาจบสิ้นแน่!

ยิ่งคิด หลี่คุ่ยที่แม้จะมีรูปร่างสูงใหญ่ ปกติเดินอยู่ด้านหลังของซื่อเฉิงอย่างวางอำนาจบาตรใหญ่ ยังถูกซื่อเฉิงแสร้งโง่เขลาทำให้อกสั่นขวัญแขวน

ทว่าน่าเสียดายที่ซื่อเฉิงกลับไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้ ใบหน้าราวสุกรเต็มไปด้วยโมโห เอ่ยตะโกนเสียงดังอย่างไม่เกรงใจกับหัวหน้าขันทีลี่

ว่ากันจริงๆ แล้ว ซื่อเฉิงถูกเลี้ยงตามใจมาตั้งแต่เด็ก จนกลายมีนิสัยที่ยโสโอหัง หากบ่าวรับใช้ภายในบ้านทำให้เขาไม่พอใจ ต้องถูกชกและเตะทันที

ดังนั้นหัวหน้าในสายตาของเขาจึงเป็นแค่บ่าวสุนัขรับใช้ตัวหนึ่งเท่านั้น

กลับกลายเป็นว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีสีหน้าถือดีเย็นชา หลังได้ยินคำพูดของซื่อเฉิง สายตาเย็นชาสงบนิ่งพลันไม่พอใจขึ้นมาทันที กระทั่งอุณภูมิรอบด้านยังคล้ายลดต่ำลง

“พ่อบ้านในวังของข้า ต้องให้เจ้ามายุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่?”

น้ำเสียงทุ้มต่ำ สายตาเย็นชาไม่พอใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เมื่อรวมเข้ากับกลิ่นอายน่าเกรงขามที่กระจายออกมาจากรอบตัว ส่งผลให้เขาดูราวกับพญายมที่ขึ้นมาจากนรกขุมที่สิบแปด ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น

ซื่อเฉิงที่ยังร้องโวยวายด้วยสีหน้ายโสโอหัง เมื่อเห็นใบหน้าไม่สบอารมณ์ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตกใจจนใบหน้าราวสุกรซีดขาว

ร่างกายอ้วนเทอะทะพลันสะดุ้งล้มลงไปทางด้านหลัง

ช่างน่าสงสารบ่าวรับใช้ด้านหลังเขา เมื่อถูกเขาล้มทับเช่นนี้พลันล้มลงกันเป็นแถว พร้อมกับเสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมา

เวลานี้ซื่อเฉิงยังจะกล้าเอ่ยปากอะไรขึ้นอีก ตกใจจนแทบจะฉี่ราดกางเกงแล้ว

แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเอ่ยเบาๆ ออกมาหนึ่งประโยค แต่ไอสังสารที่แผ่ออกมาจากตัวเขา กลับทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน

ทุกคนจึงหวาดกลัวว่าหากท่านอ๋องผู้นี้ไม่พอใจขึ้นมา พวกเขาทุกคนต้องจบชีวิตลงเป็นแน่ เพราะโจรภูเขาแห่งเขาเหลียงชานยังถูกท่านอ๋องผู้นี้จัดการราบคาบภายในคืนเดียว มิต้องเอ่ยถึงพวกเขา

ตอนนี้ซื่อเฉิงจึงเริ่มหวาดกลัวขึ้นมา จนไม่สนใจการแก้แค้นหรือศักดิ์หน้าตาอะไรทั้งสิ้น รีบสั่งให้บ่าวรับใช้ประคองตนจากไปอย่างรวดเร็ว

อันที่จริงพญายมผู้นี้น่าหวาดกลัวเกินไป หากเขาไม่รู้หลบเป็นหลีกรู้ปีกเป็นหาง คงรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้

ดังนั้นทุกคนที่เอะอะโวยวายกำเริบเสิบสานอยู่หน้าจวนอ๋อง หลังได้ยินประโยคนั้นของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ต่างพากันกลัวจนเยี่ยวรดตดหาย เล่อเหยาเหยาที่มองอยู่ด้านข้างยังลืมกังวลสภาพของตน จนแทบอดร้องตะโกนขึ้นมาอย่างดีใจไม่ได้

สวรรค์!

ดูเหล่าลูกเต่าที่ไม่มีอนาคตพวกนี้ ตอนเช้ายังกำเริบเสิบสานอยู่เลยไม่ใช่หรือ? ตอนนี้ท่านอ๋องเอ่ยปากเพียงไม่กี่คำ กลัวจนเยี่ยวรดตดหายหมดแล้ว

เพ่ย!

ขณะที่เล่อเหยาเหยากำลังดูถูกเหล่าลูกเต่าที่ไร้อนาคตอยู่ในใจพลันรู้สึกถึงไอสังหารที่รุนแรง กำลังซัดสาดมาที่ตน จึงอดหนังศีรษะชาวาบไม่ได้

จนตกใจพลันมองยังสายตาเปี่ยมด้วยไอสังหารนั้นราวกับหุ่นยนต์อย่างช้าๆ ทันที

เมื่อสัมผัสถึงสายตาเย็นชาราวน้ำแข็งพันปีคู่นั้น ในใจเล่อเหยาเหยาเต้นแรงพลันหน้าเสียทันที

จบกัน! ลืมไปว่าพญายมยังยืนอยู่ข้างกาย!

 เมื่อครู่จัดการเหล่าลูกหลานเต่าไปแล้ว แต่พญายมข้างกายจะจัดการเช่นไร!?

หรือเธอจะรักษาชีวิตเล็กๆ นี้ไว้ไม่ได้!?

ตรงข้ามกับสีหน้าเศร้าหมองของเล่อเหยาเหยา ทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋หรี่ดวงตาลงเล็กน้อย เม้มริมฝีปากแน่น แสดงออกถึงความไม่พอใจของเจ้าของ

น้ำเสียงนั้นราวลมหนาวที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง เย็นยะเยือกจนคนหนาวสั่น

“ไม่เลวๆ เจ้ากล้าหาญไม่น้อยทีเดียว”

น้ำเสียงแหบพร่าเนิบทุ้ม ดูราวชื่นชม แต่ไม่อาจปิดบังความโกรธที่แฝงอยู่ภายใน

“เอ้อ”

เมื่อได้ยินคำพูดของพญายม ลำคอและคอหอยด้านในของเล่อเหยาเหยาจึงคล้ายถูกอุดด้วยสำลี จนพูดอะไรไม่ออก

อีกทั้งร่างกายบอบบางนั้น สั่นเทาราวไม่มีศักดิ์ศรี

ว่ากันจริงๆ แล้ว เธอกลัวอย่างแท้จริง!

เมื่อคิดถึงชายหนุ่มตรงหน้า หลายวันก่อนเพิ่งสังหารบุรุษตัวใหญ่ที่มือถือดาบเล่มใหญ่กว่าสิบคนนั้นอย่างเหี้ยมโหด ไม่รอดชีวิตแม้คนเดียว อีกทั้งลงมืออย่างดุดัน ไร้ความปราณี

ราวเป็นพญายมที่โหดร้ายไร้คาวมปราณี กระทั่งบุรุษพวกนั้นยังถูกเขาจัดการอย่างง่ายดาย ไม่ต้องพูดถึงเธอที่เอวบางร่างเล็ก เพียงเขาประกบมือ เธอหนีออกไปไม่รอดแล้ว

ยิ่งคิดเล่อเหยาเหยายิ่งหวาดกลัวในใจ ใบหน้างดงามพลันซีดขาว

แต่โชคดีหลังรู้สึกถึงความกดดันบนศีรษะอยู่ได้ไม่นาน จู่ๆ เลือนหายไปทันที

หลังได้ยินเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นค่อยๆ ไกลออกไป เล่อเหยาเหยาจึงกล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก

พระโพธิสัตว์คุ้มครอง พญายมผู้นั้นไปแล้ว

แต่การที่พญายมไม่สังหารเธอ เรื่องนี้เล่อเหยาเหยาเองคาดไม่ถึงเช่นกัน

เพราะครั้งก่อนเสี่ยวมู่จื่อพูดไว้ไม่ใช่หรือ? ว่าครั้งก่อมีขันทีน้อยคนหนึ่ง เพียงทำเรื่องเล็กอย่างทำถ้วยชาหกต่อหน้าพญายม ถูกพญายมสั่งสังหาร แต่เพราะเหตุใดตอนเธอก่อปัญหาใหญ่โต พญายมกลับให้อภัยเธอ!?

แปลก แปลกมากจริงๆ!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาประหลาดใจ พลันได้ยินน้ำเสียงเดือดดาลดังเข้ามา จนเธอต้องดึงสติที่หลุดไปกลับมาให้เร็วที่สุด

เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของหัวหน้าขันทีลี่ เล่อเหยาเหยาอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตา

สมควรตาย เจ้าความโชคร้ายไม่เคยปล่อยเธอไปเลย

แม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน แต่อากาศยังแปรปรวนเช่นเดิม

ผ่านไปไม่นาน ขอบฟ้าเดิมทีที่แจ่มใส ถูกเมฆดำที่หนาแน่นเข้ามาบดบัง จนไม่หลงเหลือท้องฟ้าสีคราม

เมฆที่ลอยต่ำอยู่กลางอากาศสีดำทะมึน ดูราวกับน้ำวนสีดำ ทำให้คนที่เห็นพลันรู้สึกอึดอัดจหายใจไม่ออก

ก่อนที่พายุฝนจะมา มักจะสงบเงียบอยู่เสมอ

กระทั่งอากาศร้อนอบอ้าวอย่างมาก ไร้สายลมเย็นพัดผ่าน จึงทำให้ขณะนี้เล่อเหยาเหยาที่กำลังประคองถังน้ำไว้บนศีรษะ พร้อมคุกเข่าอยู่บนพื้น ร้อนจนเหงื่อชุ่มไปทั้งตัว หน้าผากอิ่มเอิบนั้นเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเช่นกัน

เหงื่อเม็ดใหญ่นั้นไหลจากหน้าผากของเธอลงมาตามแก้มเรียวขาวสองข้าง จนถึงคางแหลมไม่หยุด ก่อนจะไหลหยดลงบนพื้น

เสียง ‘เพียะ’ ดังขึ้นคราหนึ่ง เหงือเม็ดใหญ่นั้นถูกพื้นหินสีน้ำเงินที่ร้อนแห้งดูดหายไปอย่างรวดเร็ว

เวลานี้เห็นเพียงเล่อเหยาเหยานั่งคุกเข่ามีถังน้ำอยู่ด้านบนอยู่ด้านข้างประตูใหญ่มากว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว

เพราะตอนกลางวันท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดร้อนแรง ดังนั้นบนพื้นจึงร้อนผ่าวยิ่งนัก

แม้จะสวมเสื้อผ้าบนร่างกาย แต่เพราะขณะนี้เป็นฤดูร้อน บนตัวเล่อเหยาเหยาจึงสวมเพียงชุดที่เนื้อผ้าบางเบาเท่านั้น

ตอนนี้เธอคุกเข่าอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพื้นสีน้ำเงินร้อนจนเผาไหม้เท้า หรือหัวเข่าที่คุกเข่าจนบวมแดง สรุปแล้วตอนนี้เธอเข่าของเธอปวดแสบปวดร้อนอย่างยิ่ง

คล้ายเจ็บปวดราวถูกเปลวไฟเผาไหม้

ไม่ต้องพูดถึงมือสองข้างที่ยกถังน้ำอยู่ด้านบน ยังบรรจุน้ำไว้อีกครึ่งถัง

หลอกลวง ช่างเป็นสังคมที่ชั่วช้ายิ่งนัก!

ขันทีผู้นี้เสียสติไปแล้ว สิ่งที่คิดออกมาทำโทษคนอื่นจึงบ้าบอเช่นนี้ ทำให้คนตายทั้งเป็นอย่างทรมาน

หากเป็นไปได้ เธออยากทุบถังน้ำในมือทิ้งเสียจริง ทว่าเสียดายที่ไม่สามารถทำได้

อีกทั้งหัวหน้าขันทีลี่ยังออกคำสั่งว่า เธอต้องคุกเข่าอยู่ตรงนี้สองชั่วยาม ข้ามขาดแม้นาทีเดียว และยกถังน้ำในมือขึ้นให้สูงที่สุด หากปล่อยลงมาต้องคุกเข่าไปอีกหนึ่งชั่วยาม

พอนึกถึงใบหน้าเคร่งขรึมของหัวห้าลี่เมื่อครู่ เล่อเหยาเหยาอยากเตะเขาแรงๆ สักทีเสียจริง

มารดามันเถอะ ขันทีน่าตายผู้นี้! อย่าให้เธอเจอหน้านะ มิฉะนั้นคนแรกที่เธอจะจัดการคือเขา!

เล่อเหยาเหยาคิดอย่างโหดเหี้ยมในใจ ภายในสมองก็คิดไม่หยุด หากวันหน้าหัวหน้าขันทีลี่ถูกเธอทำร้ายอย่างโหดเหี้ยม ต้องคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ข้างเท้าเธอ เรียกเธอว่าท่านย่าก่อนเถอะ

บางทีตอนนี้เธออาจทำได้เพียงใช้สิ่งที่ไม่เกิดขึ้นจริงมากำจัดความทุกข์ขณะนี้เท่านั้น เพื่อทำให้สบายใจขึ้น

แต่ลมพายุพลันพัดกระหน่ำรุนแรง ท้องฟ้าเปลี่ยนสีทันที

ตามมาด้วยเสียงดังเซ็งแซ่ของฝนที่ตกลงมาราวกับฟ้ารั่ว อย่างไร้ความปราณี

“น่าตายนัก สวรรค์ ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้กับข้า”

เล่อเหยาเหยาตะโกนอย่างไร้เรี่ยวแรง ใบหน้าราวอยากร้องไห้ แต่ไร้น้ำตา

………………………………………..