ขณะเดียวกันด้านในของเรือนหย่าเฟิง
พอตกกลางคืน โคมส่องแสงสว่าง อากาศร้อนอบอ้าว
ด้านในห้องของเรือนหย่าเฟิง ไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ที่ประดับอยู่บนผนังสูง เปล่งประกายสีเหลืองทองออกมา ทำให้ทั่วห้องสว่างจ้า ราวกับตอนกลางวัน
เวลานี้เห็นเพียงเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอามือไขว่หลัง เงยใบหน้างดงามขึ้นเล็กน้อย นัย์ตาเย็ชาลึกล้ำคู่นั้น ดำขลับดั่งค่ำคืน ราบเรียบไร้วิตก ทำให้คนไม่อาจคาดเดาความคิดเขาได้
เขายืนเงียบๆ อยู่ริมหน้าต่าง แสงอันนุ่มนวลสาดมาที่ตัวเขาอย่างช้าๆ ทำให้ร่างกายสูงใหญ่เขางามสง่า
แต่ยังปิดบังความเย็นชาที่แฝงอยู่ภายในไม่ได้
ภายในห้องเงียบสงบ ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างเป็นเวลานาน หากไม่สังเกตล้วนคิดว่าเขาคือรูปปั้นหินสลัก
จากนั้นไม่นาน เดิมทีผ้าม่านที่ห้อยย้อยลงคล้ายถูกลมพัดผ่าน ก่อนจะเลิกขึ้นเล็กน้อย
เงาสีดำสองร่าง หายเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ
เมื่อเห็นฝีมือที่แปลกประหลาดนั้น จึงรู้ว่าทั้งสองคนนี้วรยุทธ์สูงส่งเกินคาดเดา
เมื่อคนชุดดำสองคนเข้ามา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยืนนิ่งอยู่ริมหน้าต่างเช่นเดิม โดยไม่หันศีรษะกลับมอง คล้ายด้านหลังมีดวงตาโผล่ออกมา ไม่นานจึงเอ่ยปากถามขึ้น
“ซิง มีเรื่องใด?”
น้ำเสียงแหบพร่าทุ้มต่ำ ไร้ความรู้สึก ราวสายลมหนาวที่พัดผ่าน
แต่ชายชุดดำสองคนด้านหลัง คล้ายชินชากับความเย็นชาเช่นนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋แล้ว คนที่ตอบคำถามของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เป็นชายหนุ่มที่มีอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี อวัยวะทั้งหน้าบนใบหน้างดงามราวพระอาทิตย์
และชายผู้นี้ก็คือ ซิง!
ในจำนวนองครักษ์ลับของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เหม่ย เยว่ ซิง และเฉินคือคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งที่สุด อีกทั้งพวกเขาสี่คนยังเป็นผู้ช่วยที่มีความสามารถที่สุดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อีกด้วย
นอกจากเหม่ย เยว่ เฉินที่มีนิสัยเย็นชา ซิงถือเป็นคนเดียวที่มีนิสัยร่าเริงที่สุด
แม้จะเป็นองครักษ์ลับ เขากลับชอบทำหน้าทะเล้นทั้งวัน ทว่าวรยุทธเขากลับสูงส่งที่สุดในสี่คน และฝีมือคล่องแคล่วว่องไว ทุกครั้งที่เหลิ่งจวิ้นอวี๋มอบหมายภารกิจ ไม่มีสักครั้งที่ล้มเหลว
ดังนั้นชายหนุ่มที่ร่าเริงเช่นนี้ จึงทำให้คนคาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นถึงองครักษ์ลับที่สังหารคนโดยไม่กระพริบตา
นอกจากนี้นิสัยและวรยุทธที่โหดเหี้ยมของซิง ยังถูกคนอื่นตั้งสมญายามให้ว่า เสือหน้าหยก
เมื่อซิงได้ยินคำถามของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงยิ้มหน้าระรื่น ก่อนเอ่ยปากขึ้น
“เรียนนายท่าน อีกไม่กี่วันองค์ชายเจ็ดจะเสด็จถึงเมืองหลวง ทว่าครั้งนี้องค์ชายเจ็ดทรงแอบเดินทางมาก่อนกำหนด ดังนั้นจึงไม่อยากให้ผู้ใดทราบ ยังตรัสอีกว่าอยากจะพักที่วังอ๋องสักระยะ เลยอยากจะขอความคิดเห็นจากท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของซิง สีหน้าเย็นชาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ค่อยๆ ปรากฏความอบอุ่นขึ้น
เยว่และซิงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขาสังเกตเห็นโดยทันที
นี้ไม่ใช่เรื่องแปลก!
เจ้านายของพวกเขานิสัยเย็นชามาตั้งแต่กำเนิด ทำให้เข้าหายาก
ทว่าหลังอายุสิบขวบ บังเอิญถูกนักพรตเทียนชานที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเจียงหูหมายตาเข้า และรับเป็นลูกศิษย์
เวลานั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังมีพระชนม์ ดีพระทัยกับเรื่องนี้อย่างคาดไม่ถึง
ว่ากันจริงๆ แล้ววรยุทธของนักพรตเทียนชานสูงส่งแข็งแกร่ง ล้ำเลิศไร้เทียมทาน แม้วันนี้จะผ่านมาหลายสิบปี แต่ชื่อเสียงอันโด่งดังในเจียงหูล้วนเป็นที่ประจักษ์กันดี
นอกจากนี้ไม่ว่าเจียงหูหรือราชสำนัก ล้วนเคารพนับถือเขาอย่างยิ่ง
เรื่องนี้ย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน
แม้จะพูดว่านักพรตเทียนชานดูไม่สนเรื่องราวใดบนโลก แต่กลับมีหัวใจที่รักชาติ
หลายปีก่อน หลายแคว้นสมคบคิดวางแผนตีเทียนหยวน ต่อมาเป็นนักพรตเทียนชานแบกธงรบเข้าร่วมในสงคราม โจมตีจนหลายแคว้นนั้นถอยทัพไป
ตั้งแต่นั้นมา สถานะของนักพรตเทียนชานในแคว้นเทียนหยวนคงคาดเดากันได้ ตอนนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีราชประสงค์แต่งตั้งเป็นขุนนางในราชสำนัก คิดไม่ถึงว่านักพรตเทียนชานไม่สนยศถาบรรดาศักดิ์ หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ไร้ร่องรอยราวกับหมอกควัน
ขณะนั้นฮ่องเต้พระองค์ก่อนยังต้องถอนหายใจ คนที่เก่งกาจเช่นนี้ ยั้งไว้ไม่ได้ช่างน่าเสียดายจริงๆ
คาดไม่ถึงว่าสิบกว่าปีหลังจากนั้น นักพรตเทียนชานหมายตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอาไว้ เพียงเอ่ยปากอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์
ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงทราบเรื่องนี้เข้าดีอกดีใจยิ่งนัก เพราะถึงอย่างไรฮ่องเต้ทรงมีบุตรไม่มาก มีเพียงรัชทายาทและองค์ชาย
รัชทายาทอ่อนโยนมีเมตตา จึงเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในการเป็นฮ่องเต้ในอนาคต แต่กลับมีเพียงความรู้ไร้วรยุทธ หากองค์ชายอีกพระองค์ของตนสามารถฝึกฝนกับนักพรตเทียนชานได้จริง ถือเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก
และเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ทำให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อนผิดหวัง แม้นิสัยจะเคร่งขรึมเย็นชา ทว่าวรยุทธกลับล้ำเลิศ
ไม่ถึงเจ็ดปี กลายเป็นศิษย์ที่เหนือกว่าอาจารย์ ทำให้นักพรตเทียนชานดีใจอย่างยิ่ง
แต่นักพรตเทียนชาน นอกจากเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เป็นศิษย์เอกแล้ว ต่อมายังรับลูกศิษย์อีกสองคน และหนึ่งในลูกศิษย์คือองค์ชายเจ็ดแห่งแคว้นต้าเซี่ย หนานกงจวิ้นซี!
หนานกงจวิ้นซีอายุน้อยกว่าเหลิ่งจวิ้นอวี๋หนึ่งปี แต่นิสัยกลับต่างกันราวฟ้ากับเหว
คนหนึ่งยโสโอหัง อีกคนดื้อรั้นเอาแต่ใจ คนหนึ่งคล้ายถ้ำน้ำแข็งพันปี ส่วนอีกคนกลับเป็นแสงอาทิตย์ที่แจ่มจรัส
สองคนที่หนึ่งคนเย็นชา หนึ่งคนอบอุ่นอย่างสุดขั้วเช่นนี้ เดิมทีไม่เข้ากันและไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิดเดียว ทว่าหลังอยู่ร่วมกันในสำนักของนักพรตเทียนชานมาหลายปี ความผูกผันค่อยๆ ลึกซึ้งมากขึ้น
ดังนั้นหลังได้ยินคำรายงานของซิง เหลิ่งจวิ้นอวี๋ออดที่จะยิ้มเบาๆ ขึ้นมาไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยถามให้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า
“ครั้งนี้ เขาก่อปัญหาใดขึ้นอีก?”
แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยอย่างมั่นใจ
เพราะเขาเข้าใจศิษย์น้องผู้นี้ดี ครั้งนี้เขาต้องก่อเรื่องบางอย่างเป็นแน่ ถึงได้แอบมาหาเขาที่นี่ ทั้งยังไม่เปิดเผยให้ผู้ใดรู้อีก
เมื่อได้ยินคำพูดที่มั่นใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ซิงเอ่ยปากหัวเราะ ภายในน้ำเสียงปกปิดความสุขที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์เอาไว้ไม่ได้
“เอ่ยว่าเพราะหนีการอภิเษกสมรส ดังนั้นจึงต้องแอบมาเมืองหลวง คิดจะมาหลบภัยที่วังของนายท่านพ่ะย่ะค่ะ!”
“หนีการอภิเษกสมรส!”
เมื่อได้ยินคำตอบของซิง เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงเบะปาก ก่อนจะส่ายหัวอย่างจนใจ
ส่วนซิงเกรงว่าเจ้านายตนอาจไม่เข้าใจ จึงพูดเรื่องทั้งหมดที่ตนรู้ออกมา เล่าอย่างออกรสออกชาติ โดยไม่ต่อความยาวสาวความยืดเลยแม้แต่น้อย
“ได้ยินมาว่า องค์ชายเจ็ดมีพระคู่หมั้นที่ชอบพอกันมาตั้งแต่เด็ก และบิดาของพระคู่หมั้นเขาเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นต้าเซี่ยมาก่อนพ่ะย่ะค่ะ ทว่าตายระหว่างสงคราม ต่อมามารดาป่วยตายไป สุดท้ายฮองเฮาแห่งต้าเซี่ยทรงสงสาร จึงรับนางเข้ามาอยู่ในวังตนเอง ทั้งยังให้หมั้นหมายกับลูกชายตนแต่เด็ก ตอนนี้องค์ชายเจ็ดอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ฮองเฮาต้าเซี่ยทรงร้อนพระทัย เร่งให้องค์ชายเจ็ดกลับไป วางแผนให้พวกเขาอภิเษกสมรสกัน แต่องค์ชายเจ็ดฉลาดหลักแหลม หลังได้รู้ข่าวรีบแอบหนีมาหลบอยู่ที่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ซิงพูดนานราวครึ่งค่อนวันจนคอแห้ง ทว่าความยินดีในเคราะห์ร้ายของผู้อื่นบนใบหน้านั้นยิ่งเพิ่มมากขึ้น
เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังฟังจบ เพียงเผยอริมฝีปาก ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“เจ้ารู้มาไม่น้อยทีเดียว”
“นายท่านชมเกินไปแล้ว”
ซิงน้อมรับคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างยิ้มแย้ม
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงยิ้มเที่มุมปาก เมื่อครู่เขาชื่นชมซิงหรือ!?
ทว่าคนหน้าหนาเช่นซิง เขาเห็นเป็นเรื่องปกติไม่ถือว่าแปลกอันใด
แต่เมื่อคิดได้ว่าจวิ้นซิงจะมา สายตาของเหลิ่งจวิ้นอวี๋อดอบอุ่นขึ้นไม่ได้
พวกเขาศิษย์พี่น้อง ไม่ได้เจอหน้ากันมานานมากแล้ว!?
…
หลังเยว่และซิงจากไป เหลิ่งจวิ้นอวี๋ค่อยๆ เอนตัวหลับตาพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้นอน
ท่ามกลางท้องฟ้ามืดมิด พลันมีลมเย็นพัดเข้ามาในห้อง พร้อมกับหยดน้ำเย็นฉ่ำ ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีปิดตาลงคล้ายนอนหลับจึงหรี่ตาขึ้นอย่างอ่อนล้า ก่อนมองไปที่หน้าต่าง
จากบานหน้าต่างแกะสลักที่เปิดอยู่นั้น เห็นเพียงด้านนอกฝนตกหนักลงมาไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด
ลมหนาวพัดโชย ฝนตกโปรยปราย ราวกับฉากกั้นภาพธรรมชาติปิดกั้นทิวทัศน์ที่ห่างไกลเอาไว้
เมื่อมองพายุฝนยามค่ำคืน เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดใจลอยเล็กน้อยไม่ได้ ความคิดล่องลอยไปยังคืนหนึ่ง
ค่ำคืนนั้นพายุฝนโหมกระหน่ำเช่นคืนนี้ คืนนั้นเขาเมาจนแยกไม่ออกว่าตนอยู่ที่ใด จำได้เพียงด้านล่างตนคล้ายมีผู้หญิงร้องขอชีวิตไม่หยุด
น่าเสียดายที่เวลานั้นเขาดื่มจนมากเกินไป จึงจำหน้าตาหญิงผู้นั้นไม่ได้ จำได้เพียงว่าเธอร้องไห้อย่างน่าเวทนา
หากดวงตาคู่นั้นที่กลมโตเต็มไปด้วยน้ำตา งดงามยิ่งนัก และคุ้นเคยอย่างมาก ราวเคยพบที่ไหนมาก่อน!?
แต่เป็นที่ไหนกันแน่!?
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ขมวดคิ้ว ก้มหน้าไตร่ตรอง
ทว่าขณะที่เขาเกือบจะจับอะไรได้บางอย่าง ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ทำให้เขาได้สติกลับมา
“เข้ามา”
……………………………………