ส่วนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า ตอนที่ 18 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (18)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ซูหว่านตื่นขึ้นมาตอนที่ฉีมู่ช้อนตัวอุ้มเธอลงจากรถด้วยความระมัดวัง 

 

 

“อย่าดิ้น” ฉีมู่กระชับกอดคนในอ้อมแขนเมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะขยับตัว “เธอเพิ่งตื่น ระวังเป็นหวัด ฉันอุ้มเธอก็ไม่เป็นไรหรอก” 

 

 

ร้านอาหารที่ตกแต่งไว้สวยงามนั้นว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน แสงไฟในห้องโถงยังส่องสว่างหากแต่กลับไม่มีแขกหรือพนักงานบริการสักคนให้เห็น 

 

 

ฉีมู่อุ้มซูหว่านเข้าไปในห้องส่วนตัวและวางเธอลงที่นั่งด้านในสุด “ฉันเคยมาที่นี่บ่อยมาก ฉันจะไปดูครัวด้านหลังว่ามีอะไรให้กินบ้าง เธอรออยู่ที่นี่แป๊บหนึ่งแล้วกัน” 

 

 

ซูหว่านงุนงงไปครู่หนึ่งขณะมองร่างของฉีมู่เดินออกไป ครั้นเขากลับมาพร้อมกับอาหารไม่กี่จานเธอก็ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอย 

 

 

“กินได้แล้ว” 

 

 

ฉีมู่วางอาหารตรงหน้าเธอ อาหารจานผัดกลิ่นหอมสองจานยังคงมีไอร้อนลอยขึ้นมา  

 

 

ซูหว่านสูดกลิ่นหอมฉุยของอาหาร เมื่อหันไปก็เห็นเขายืนอยู่อีกด้านทั้งแขนเสื้อสองข้างที่พับขึ้นพร้อมกลิ่นกายจางๆ จากควันในห้องครัว 

 

 

“พี่ทำอาหารพวกนี้เหรอ” 

 

 

เธอมองหน้าเขาอย่างอึ้งและไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

ฉีมู่ระบายยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว “ฉันไม่ได้ทำอาหารมานานแล้ว ลองชิมว่าอร่อยหรือเปล่าดูสิ ฉันกลัวว่าเธอจะหิวเกินไปเลยทำแค่อาหารจานผัดง่ายๆ สองอย่าง” 

 

 

เขาว่าขึ้นพลางช่วยเธอตักข้าวและหยิบอุปกรณ์ที่ใช้ทานอาหารออกมา 

 

 

เธออ้าปากชิมอย่างกล้าๆ กลัวๆ รสชาติของมันเอร็ดอร่อยอย่างน่าทึ่ง 

 

 

“คิดไม่ถึงจริงๆ นะคะว่าพี่จะทำอาหารได้ด้วย” เธอวางตะเกียบและมองเขาด้วยสายตาแวววับ 

 

 

“การออกจากห้องโถงไปที่ครัวเป็นตัวอย่างของผู้ชายที่ดี ผู้ชายที่ทำอาหารไม่เป็นไม่ถือว่าเป็นสามีที่ดีหรอกนะ” 

 

 

ฉีมู่ตั้งใจตักอาหารใส่จานของเธอในขณะที่บอก “เธอกินเยอะๆ สิ เธอต้องอิ่มก่อนเราถึงจะมีแรงไปจัดการกับพวกเขานะ” 

 

 

ซูหว่านยกยิ้มก่อนบอกกับตัวเอง “ฉันเพิ่งรู้ว่าคนอย่างพี่…จริงๆ แล้วก็เป็นคนดีทีเดียวเลยนะเนี่ย” 

 

 

“เธอว่าไงนะ” 

 

 

รอยยิ้มบนริมฝีปากของเธอไม่ทันได้จางหายตอนที่เขาอึ้งไปและโน้มตัวมาด้านหน้า ใบหน้าของเขาแทบจะชิดติดเธอ ลมหายใจของทั้งคู่สอดประสาน เธอผละใบหน้าออกมาน้อยๆ ก่อนมันจะขึ้นสีแดง 

 

 

“พี่…ทำไมถึงโน้มเข้ามาใกล้ขนาดนี้ล่ะ” 

 

 

ซูหว่านใจเต้นระรัวและอยากจะเบี่ยงตัวหนี แต่เพราะเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทั้งร่างของเธอและเก้าอี้จึงล้มลงกับพื้น 

 

 

“เสี่ยวหว่าน!” 

 

 

ฉีมู่รีบคว้าตัวเธอไว้ในพริบตา เขาล้มลงบนพื้นขณะที่กอดซูหว่านไว้ โชคดีที่เขาโอบเธอไว้ในอ้อมกอดเธอจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด 

 

 

“ฉีมู่?” 

 

 

แผลที่แขนของเขาปริเปิดออกมาอีกครั้งเพราะชนเข้ากับมุมเก้าอี้ตอนที่พวกเขาล้มลงมาทำให้เลือดไหลนองออกมา 

 

 

นิ้วของธอแตะเข้ากับเลือดอุ่นสีแดงสดก่อนเธอจะมีอาการแตกตื่นทันที เธอพลิกตัวไปนั่งอีกฝั่งและเรียกชื่อเขาอย่างตระหนก “ฉีมู่ เกิดอะไรขึ้นกับพี่ พี่รู้สึกตัวหรือเปล่า… 

 

 

…ตื่นสิคะ!”  

 

 

ดวงตาซูหว่านแดงก่ำ น้ำตาอุ่นๆ หยดลงบนใบหน้าฉีมู่อย่างไม่รู้ตัว ฉีมู่ซึ่งเปลือกตาปิดสนิทและไม่ตอบสนองค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้งในท้ายที่สุด 

 

 

“เสี่ยวหว่าน เธอรักฉันหรือเปล่า” 

 

 

เขาสบตาแดงๆ ของอีกฝ่าย จดจ้องเธอเขม็งพลางเอื้อมมือออกไปปาดน้ำตาบนใบหน้าเธอ คล้ายหวังว่าจะได้รับคำตอบรับจากปากเธอ 

 

 

เธอรักฉันหรือเปล่า 

 

 

ต่อให้จะเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม 

 

 

ท่าทีของซูหว่านสับสนงุนงงไม่น้อย เธอนิ่งค้างไปชั่วขณะก่อนสบตาเขากลับอย่างท้าทาย “ฉีมู่ งั้นพี่รักฉันหรือเปล่าล่ะ ทำไมพี่ถึงดีกับฉันขนาดนี้” 

 

 

เธอจำไม่ได้ว่าใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาแม้แต่น้อย ทั้งสองเคยพบกันเพียงสองครั้งเท่านั้น ครั้งแรกที่พวกเขาได้พูดคุยกันจริงๆ คือในระหว่างการเดินทางก่อนเกิดอุบัติเหตุ 

 

 

ซูหว่านไม่รู้ได้ว่าทำไมเขาถึงทำเช่นนี้ 

 

 

รักแรกพบอย่างนั้นหรือ เรื่องพรรค์นั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เด็กสาวอย่างเมิ่งถิงเหยาเป็นเป้าหมายของรักแรกสำหรับบรรดาคุณผู้ชาย แม้ว่าซูหว่านจะมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง เธอก็ไม่ได้หลงตัวเองจนคิดว่าตัวเองอยู่ในระดับที่ฉีมู่จะตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น   

 

 

อย่างนั้นทำไมกันล่ะ 

 

 

“ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่ฝันแรกที่เราเผชิญหรอกนะ และก็ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเหมือนกัน” 

 

 

สายตาของเขาฉายแววอ่านยาก เขายังคงมองหน้าเธอ ความอ่อนโยนในดวงตาของเขาไม่ได้จอมปลอม “ความจริงเธอกับฉัน เราเผชิญความฝันมาด้วยกันหลายครั้งแล้ว เสี่ยวหว่าน เธอเคยช่วยชีวิตฉันมาก่อน เราเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน แต่ในที่สุดเธอก็…ตาย…เพื่อช่วยฉันไว้” 

 

 

ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปน้อยๆ ราวกับกำลังนึกถึงประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุด “ในฝันแต่ละครั้ง คนสุดท้ายที่มีชีวิตรอดจะได้รับความสามารถและรางวัลต่างกันไป ฉันใช้รางวัลของฉันแลกกับโอกาสกลับไปในอดีตอีกครั้ง ฉันมีเวลาแค่เจ็ดสิบสองชั่วโมงเท่านั้น” 

 

 

พูดมาจนถึงตรงนี้ฉีมู่ก็ยกหงายฝ่ามือ ซูหว่านเห็นชัดเจนว่ามือของเขามีเครื่องหมายคล้ายเวลาที่นับถอยหลังไปเรื่อยๆ 

 

 

เวลาและมิติของพวกเขายังหยุดนิ่งอยู่ที่ตีสาม ทว่าเวลาบนฝ่ามือของฉีมู่นั้นไม่ได้เป็นไปตามมิตินี้ มันยังนับต่อไป 

 

 

ซูหว่านนั่งงงอยู่กับที่ เธอทำใจยอมรับความจริงที่ซับซ้อนและชวนพิศวงเช่นนี้ไม่ได้ไปครู่หนึ่ง 

 

 

“ฉีมู่…” 

 

 

เธอหลุบตาลง แววตาลึกล้ำขณะที่มองฉีมู่ ชั่งใจอยู่นานก่อนจะเข้าไปหาเขาในที่สุด 

 

 

ฉีมู่ระบายยิ้ม เขาเอื้อมมือมาจับอวัยวะเดียวกันที่เรียวเล็กของเธอ ปล่อยให้เธอออกแรงพยุงเขาขึ้นมา จังหวะนั้นเองที่ประตูห้องส่วนตัวพลันพังเปิดออก ร่างหนึ่งบุกเข้ามาพร้อมกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งที่ตามมา 

 

 

“ฟั่นซูจวิน!” 

 

 

ซูหว่านจ้องฟั่นซูจวินที่ปรากฏตัวที่ประตูด้วยความหวาดหวั่น เนื้อตัวเขาอาบเลือด ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ไม่ทันได้ชะงักเขาก็เงื้อมีดในมือตรงมาหาฉีมู่ 

 

 

“ฉีมู่ ระวัง!” 

 

 

เธอเอาตัวบังฉีมู่โดยไม่รู้ตัวทั้งที่นึกหวาดกลัว 

 

 

ในสถานการณ์เฉียดเป็นเฉียดตาย ฟั่นซูจวินผละไปชั่วขณะ ฉีมู่ถือโอกาสนี้ยกขาสูงเตะอาวุธของฟั่นซูจวินหลุดมือไป เขาหันมากอดซูหว่านแนบอกในเวลาเดียวกัน 

 

 

เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองใกล้ชิดกันขนาดนี้ ใกล้ชิดกันเหลือเกิน 

 

 

“เสี่ยวหว่าน ไม่นะ…” 

 

 

ร่างฉีมู่พลันแข็งค้างไป เขาไม่อยากจะเชื่อและมองซูหว่านในอ้อมกอดตัวเอง ใบหน้าเธอแนบอกเขาราวกับกำลังตั้งใจฟังจังหวะหัวใจของเขาอยู่ 

 

 

“หัวใจไม่เต้น” 

 

 

เสียงนุ่มนวลของหญิงสาวพาให้เกิดรอยยิ้มไม่ยี่หระบางๆ ซูหว่านเงยหน้าขึ้นมาและขยับเข้าใกล้ดวงตาเฉื่อยชาของฉีมู่ขึ้นเรื่อยๆ “ฉันชนะแล้ว” 

 

 

เธอแต่งรอยยิ้มที่งดงามที่สุดแต้มใบหน้าตัวเองก่อนป่าวประกาศชัยชนะสุดท้าย 

 

 

ตอนนี้ทั้งสองยังคงกอดรัดกัน หากแต่หอกทรงสามเหลี่ยมเล่มเล็กได้แทงเข้าที่หัวใจของฉีมู่อย่างเ**้ยมโหดเรียบร้อยแล้ว เลือดค่อยๆ ไหลรินออกมาจากหัวใจของเขา 

 

 

เป็นไปได้อย่างไร… 

 

 

ฉีมู่ขยับริมฝีปากเหมือนต้องการพูดบางอย่าง ซูหว่านส่งท่าทางให้เขาเงียบไว้ 

 

 

“ลาก่อนนะ คุณปีศาจ ไม่สิ บางทีฉันน่าจะเรียกคุณว่า…” 

 

 

ซูหว่านเขย่งและค่อยๆ โน้มเข้าหาหูฉีมู่ เอ่ยเน้นคำลาทีละคำ “ผู้สร้างฝัน ชีเย่ว์” 

 

 

สติของฉีมู่เลือนรางลงไปทุกขณะ แม้ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ยอมแพ้หากแต่ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลง ก่อนทั้งร่างของเขาจะกลายเป็นแสงดาวและจางหายไปในทันที… 

 

 

สำนักงานใหญ่ฟื้นฟูเขตแดนซึ่งเป็นอิสระจากมิติเวลา ผู้รับบัญชาการติดต่อไปยังโรงเก็บหมายเลขสาม  

 

 

ชีเย่ว์ลืมตาขึ้นช้าๆ และไม่ลืมรอยยิ้มสบายๆ อย่างเคยของตัวเอง ตอนนี้สารรูปของเขาดูย่ำแย่กว่าปกตินัก 

 

 

เขาปะทะกับหมายเลขสามจากอีกฝ่ายหนึ่งเป็นครั้งแรก เขาพ่ายแพ้อย่างหมดท่าจริงๆ หรือ และมันยังอยู่ในความฝันที่เขาสร้างขึ้นเองอย่างช่ำชองอีกด้วย นี่มันไม่มีเหตุผลเลย! 

 

 

“นายแพ้เหรอ” 

 

 

เสียงคุ้นหูดังขึ้นข้างหูชีเย่ว์ในจังหวะนั้น ทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นก็เห็น อวิ๋นเซิง อดีตคู่ปรับกำลังระบายยิ้มพลางพิงกับทางเข้าห้องปฏิบัติการหมายเลขห้า เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้รีบมาเพื่อเยาะเย้ยเขาโดยเฉพาะ 

 

 

“สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง เรื่องนี้จะเป็นอะไรไปล่ะ” 

 

 

ชีเย่ว์แสร้งเลิกคิ้วขึ้นอย่างดูแคลน อวิ๋นเซิงซึ่งยืนอยู่ที่ประตูหัวเราะออกมา “พี่เช่อเตือนนายหลายครั้งแล้วไงว่าอย่าไปแหย็มกับหมายเลขสามจากอีกฝั่ง แต่นายไม่ฟังเอง ตอนนี้รู้ถึงความเก่งกาจของเธอหรือยังล่ะ” 

 

 

เก่งกาจอย่างนั้นหรือ 

 

 

ท่าทีของชีเย่ว์แข็งกร้าว ผู้หญิงคนนั้น… 

 

 

กระทั่งตอนนี้ชีเย่ว์ก็ยังไม่เข้าใจ เขาอยู่ในความฝันของตัวเองแท้ๆ ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมและการจับตามองของเขา ผู้หญิงคนนั้นเล่นละครตบตาโดยไม่เผยพิรุธให้เห็นสักนิดได้อย่างไรกัน 

 

 

นี่มันไม่คาดฝันไปแล้ว! 

 

 

ในบรรดาคนที่ทำภารกิจสำเร็จทั้งหมด นอกจาก สวีเช่อ หมายเลขหนึ่งของฝั่งพวกเขาก็ไม่มีใครแสร้งทำต่อหน้าผู้สร้างความฝันได้แนบเนียน ผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับพี่เช่ออย่างนั้นหรือ 

 

 

ไม่ เป็นไปไม่ได้ 

 

 

ชีเย่ว์ไม่ยอมรับสมมุติฐานของตัวเอง หากแต่ในใจเขากลับยิ่งว้าวุ่นขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

อวิ๋นเซิงดูจะทนไม่ได้เมื่อเห็นท่าทีประสาทเสียของเขา เขาถอนหายใจออกมาและเอ่ยเบาๆ “ฉันอยู่ข้างพี่เช่อมานานที่สุดเลยรู้เรื่องบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้ จริงๆ แล้วหมายเลขสามจากฝั่งตรงข้าม เธอกับพี่เช่อเคยเป็น…” 

 

 

ไม่ทันที่เขาจะพูดจบ เสียงหนึ่งพลันดังแทรกขึ้นมา 

 

 

“ขึ้นไปแล้ว อันดับเขาขึ้นไปอีกแล้ว! อันดับเปลี่ยนไปอีกแล้ว!” 

 

 

“มือใหม่คนนั้นขึ้นไปถึงสิบอันดับแรกแล้ว! เขาเป็นสัตว์ประหลาดหรือยังไงเนี่ย” 

 

 

“เวรเอ๊ย ไม่เคยเห็นหน้าใหม่ที่บ้าระห่ำขนาดนี้มาก่อนเลย เรียกเราว่าคนแก่อย่างนี้จะทนได้ยังไงกัน!” 

 

 

เสียงที่แทรกขัดยิ่งดังลอดมาให้ได้ยิน ตอนนี้ชีเย่ว์เดินไปที่ประตูและมองไปทางหน้าจอซึ่งแสดงรายชื่อตามด้วยคะแนนสะสมอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” 

 

 

อวิ๋นเซิงลืมเรื่องที่จะพูดก่อนหน้านี้ ก่อนหันหน้าไปหัวเราะใส่ชีเย่ว์อย่างสะใจพอเห็นสีหน้างุนงงของอีกฝ่าย “โอ้ แล้วฉันก็เกือบลืมบอกให้นายรู้ไป ตอนที่นายทำภารกิจอยู่ พี่เช่อรับคนใหม่ที่ดูเจ๋งดีมาจากโลกที่ล่มสลายอยู่ด้วย ความคิดของหมอนั่นอย่างล้ำ พละกำลังก็ไม่ธรรมดา แถมยังสติปัญญาเกินมนุษย์มนาด้วย จิ๊ๆ หน้าใหม่คนนี้คึกเป็นพิเศษเลยล่ะ เขาไม่เห็นพี่เช่อในสายตาแล้วก็ปฏิบัติภารกิจแบบบ้าระห่ำสุดๆ ตอนนี้เขากลายมาเป็นน้องใหม่ของฝ่ายเราแล้ว บางทีเขาอาจจะมาแทนที่นายเข้าสักวันหนึ่งก็ได้!” 

 

 

“เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ” 

 

 

ชีเย่ว์อดจะพูดไม่ออกไม่ได้ หน้าใหม่ที่พุ่งขึ้นไปอยู่สิบอันดับแรกอย่างนั้นหรือ เขาปฏิบัติภารกิจมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน 

 

 

เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า 

 

 

ชีเย่ว์ไม่กล้าคิดว่าคนคนนี้จะเป็นเช่นไร ความรวดเร็วนี้กำลังจะทำลายสถิติของพี่เช่อที่รักษาไว้มาหลายปีอย่างนั้นหรือ 

 

 

เขาลืมความหัวเสียที่พ่ายแพ้ของตัวเองไปครู่หนึ่ง กลับมองอวิ๋นเซิงอย่างกระตือรือร้นแทน “น้องใหม่คนนั้นยังทำภารกิจอยู่เหรอ ฉันอยากจะซัดเขาจริงๆ เขาชื่อว่าอะไรล่ะ” 

 

 

“ซูรุ่ย” 

 

 

อวิ๋นเซิงพ่นชื่อนั้นออกมาอย่างเย็นชา เรื่องการคุณสมบัติของซูรุ่ย ว่ากันตามจริงเขาเองก็ไม่มีปัญญาไปทัดเทียมกับอีกฝ่ายได้จริงๆ 

 

 

ซูรุ่ยหรือ 

 

 

ชีเย่ว์มุ่นคิ้ว พลันรู้สึกฝังใจเกลียดนามสกุลซูขึ้นมา กำจัดมันออกไปอย่างไรดีล่ะ