ส่วนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า ตอนที่ 17 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (17)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

อาณาเขตของท่านไป๋อยู่ทางเหนือของเมือง C มันเป็นเขตที่กฏหมายหละหลวมมาตลอด ฉีมู่ขับรถไปทางเหนือและจอดรถอยู่ด้านนอกสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง ซูหว่านคิดจะโทรหาไป๋เสี่ยวเย่ว์และค้นตามเสื้อผ้าของเธออยู่นานก่อนจะพบว่าเธอทำโทรศัพท์หายไปสักที่หนึ่ง 

 

 

“ฉันจะโทรเอง” 

 

 

อี้จื่อเซวียนซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังหยิบโทรศัพท์ตัวเองออกมา ด้วนความยากจนโทรศัพท์เขาจึงเป็นของมือสอง โทรศัพท์ยี่ห้อในประเทศรุ่นเก่าที่ญาติของเขาเคยใช้มาก่อน 

 

 

เขาไล่หารายชื่อก่อนต่อสายทันทีที่เจอ แม้จะโทรติดทว่าไม่มีใครรับสาย 

 

 

“ตู๊ดๆๆ…” 

 

 

อี้จื่อเซวียนมุ่นคิ้ว ในจังหวะที่เขาคิดว่าจะวางสายกลับโทรติดอย่างคาดไม่ถึง 

 

 

“อี้จื่อเซวียนเหรอ” 

 

 

น้ำเสียงแจ่มชัดน่าฟังดังลอดมาจากปลายสาย แฝงแววฉงนมาตามเสียงนั้น 

 

 

มันไม่ใช่เสียงของไป๋เสี่ยวเย่ว์ 

 

 

เขาไม่ได้พูดอะไร คนที่อยู่อีกฝั่งของสายโทรศัพท์ชะงักไปก่อนจะว่าขึ้นอีกครั้ง “ฉันเมิ่งถิงเหยาเอง ตอนนี้ฉันอยู่กับไป๋เสี่ยวเย่ว์น่ะ” 

 

 

เมิ่งถิงเหยาหรือ 

 

 

อี้จื่อเซวียนนึกถึงใบหน้าห่างเหินระคนชดช้อยของเมิ่งถิงเหยาทันที 

 

 

เมิ่งถิงเหยาถูกรู้จักในฐานะดาววิทยาลัยและเทพี เธอเป็นคนรักในฝันและเป้าหมายของเหล่านักศึกษาชายนับไม่ถ้วน แม้ว่าอี้จื่อเซวียนจะไม่เคยคิดตามจีบเธออย่างนักศึกษาชายคนอื่นๆ มันก็ทำให้เขาหยุดเพลิดเพลินกับความงามของเทพีในใจเขาไม่ได้ 

 

 

ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงของเมิ่งถิงเหยาในตอนนี้ สีหน้าของเขาถึงได้ผ่อนคลายลงอย่างไม่รู้ตัวจนสังเกตได้ “ตอนนี้เธออยู่กับไป๋เสี่ยวเย่ว์เหรอ พวกเธอเจออันตรายกันหรือเปล่า” 

 

 

“อันตรายเหรอ” 

 

 

เมิ่งถิงเหยาที่ถือสายอยู่ออกจะอึ้งไปไม่น้อย “อันตรายอะไรล่ะ” 

 

 

“ไป๋เสี่ยวเย่ว์เป็นเป้าหมายแรกของพวกผี ตอนนี้เจ้าตัวตกอยู่ในอันตรายมาก เธอจะเป็นอันตรายถ้าอยู่กับเธอนะ ตอนนี้พวกเธออยู่ที่ไหน เราจะไปหาเธอ!” 

 

 

น้ำเสียงอี้จื่อเซวียนดูเป็นกังวลหน่อยๆ ซูหว่านซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้ารถขมวดคิ้วน้อยๆ 

 

 

“เราเหรอ” 

 

 

เธอดูใจเย็นมากเมื่อเทียบกับความตื่นตระหนกของอี้จื่อเซวียน ความจริงแล้วเธอกำลังลองใจเขาอยู่ต่างหาก จนกระทั่งตอนนี้เธอได้คลายการระวังตัวกับเขาแต่คำว่า ‘เรา’ นั้นทำให้เธอลังเลใจ 

 

 

ใครอยู่กับอี้จื่อเซวียนกัน 

 

 

คนที่อยู่กับเขาไว้ใจได้หรือไม่ 

 

 

“นายอยู่กับใครเหรอ” เมิ่งถิงเหยาอยากจะรู้ว่าคนที่อยู่กับเขาใครเสียก่อน 

 

 

“ซูหว่านกับฉีมู่น่ะ” 

 

 

ซูหว่านกับฉีมู่หรือ 

 

 

เมิ่งถิงเหยานิ่งไปชั่วขณะก่อนกระซิบบอกทันที “ไป๋เสี่ยวเย่ว์ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้เราอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกันแล้ว นายจะมาหาพวกเราก็ได้แต่ว่านายมาได้แค่คนเดียวนะ” 

 

 

เธอรู้สึกว่าเชื่อใจอี้จื่อเซวียนได้แม้จะไม่เต็มร้อยก็ตาม ส่วนกับฉีมู่เธอยิ่งนึกสงสัยมากขึ้นไปอีก 

 

 

ดังนั้นเธอจึงขอพบกับอี้จื่อเซวียนเพียงคนเดียว เช่นนี้ทั้งสองฝ่ายถึงจะมั่นใจว่าจะปลอดภัยได้ หากอี้จื่อเซวียนไว้ใจไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็มีแค่ตัวคนเดียว เธอกับไป๋เสี่ยวเย่ว์สามารถล้มเขาได้หากพวกเธอร่วมมือกัน ถ้าซูหว่านหรือฉีมู่อยู่ด้วยมันคงวุ่นวายมากกว่านี้ 

 

 

เขาเพียงครุ่นคิดไปครู่หนึ่งเมื่อได้ฟังข้อเสนอของเธอ ก่อนจะตอบตกลงทำตามทันที 

 

 

ไม่นานหลังจากนั้น อี้จื่อเซวียนวางสายพร้อมความเงียบที่ก่อตัวในรถไปช่วงหนึ่ง 

 

 

“คิดได้หรือยัง” 

 

 

ฉีมู่เหลือบมองเขา อี้จื่อเซวียนพยักหน้ารับ “ตอนนี้การที่เราจะอยู่แยกกันมันไม่ได้เสียหายอะไร” 

 

 

อันที่จริงความคิดของเขานั้นเรียบง่าย ในเมื่อไป๋เสี่ยวเย่ว์คือหมายเลขหนึ่ง เขาแค่ต้องอยู่กับไป๋เสี่ยวเย่ว์เท่านั้น พอมีใครบางคนมาฆ่าเธอเขาก็ใช้พลังของเขา อย่างนี้พวกผีที่เหลือจะกรูกันมาในคราวเดียว 

 

 

มันเป็นหนทางที่ได้ผลและรวดเร็วที่สุด ส่วนอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกับกฏในโลกนี้นั้นเขารู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่ฉีมู่ว่าไว้ 

 

 

ในเมื่อพวกผีมีสิทธิ์ที่จะมีชีวิตรอดโดยการฆ่าคนเป็น อย่างนั้นคนเป็นจะได้รางวัลอะไรถ้าพวกเขากำจัดพวกผีได้กันล่ะ 

 

 

ไม่อย่างนั้นฉีมู่จะลงมือฆ่าเฉินอวี้เฟิงโดยไม่ลังเลได้อย่างไรกัน 

 

 

อี้จื่อเซวียนสงสัยในตัวฉีมู่มาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้ที่เขารู้ว่าไป๋เสี่ยวเย่ว์อยู่ที่ไหน เป็นโอกาสที่เขาจะทดสอบสมมุติฐานของเขา 

 

 

พูดได้ว่าในสถานการณ์แบบนี้ ความเชื่อใจกันได้ถึงจุดเปราะบางขั้นวิกฤติที่สุด อี้จื่อเซวียนต้องการฉวยผลประโยชน์ให้มากที่สุดและปกป้องตัวเองสุดขีด มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์เช่นกัน 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ลงจากรถไป เราคงได้เจอกันสักวันหนึ่ง” 

 

 

ฉีมู่ปลดล็อกรถก่อนอี้จื่อเซวียนจะลงไปอย่างไม่ลังเล 

 

 

ซูหว่านเห็นเขาเดินไปทางซอยหนึ่งพลางต่อสายโทรศัพท์จากกระจกมองหลัง 

 

 

“อะไรกัน เธอทนแยกจากกันไม่ได้เหรอ” 

 

 

ฉีมู่จับจ้องสายตาของซูหว่านและอดถามออกมาไม่ได้ 

 

 

เธอส่ายหน้าและเบือนสายตาหนี “ไม่มีอะไรให้รู้สึกแย่ที่แยกจากกันหรอก ฉันแค่รู้สึกเหมือนไม่เคยเข้าใจอี้จื่อเซวียนคนนี้จริงๆ เฉยๆ น่ะ” 

 

 

ซูหว่านเอนหลังพิงเบาะรถขณะเอ่ยพร้อมถอดถอนลมหายใจ “ฉีมู่ เราจะไปไหนกันต่อล่ะ” 

 

 

“เธอหิวหรือเปล่า” 

 

 

ฉีมู่ไม่ได้ตอบเธอแต่กลับถามขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย 

 

 

หิวหรือ 

 

 

ความรู้สึกหวาดระแวงและกลัวทำให้เธอไม่หิวแม้แต่น้อยไปเสียแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินเขาถามเธอก็พลันหิวขึ้นมาบ้าง 

 

 

“งั้นไปหาอะไรกินกันเถอะ ฉันรู้จักร้านอาหารที่ของทานเล่นอร่อยมากอยู่หลายร้านเลย” 

 

 

“แต่ว่า…” 

 

 

ซูหว่านอยากจะบอกบางอย่าง แต่ฉีมู่ได้เร่งเครื่องขับไปตามท้องถนนแล้ว 

 

 

การจราจรไม่ติดขัดแต่อย่างใด ตลอดเส้นทางไม่มีสัญญาณไฟแดง อยู่ๆ ซูหว่านก็ง่วงงุนเล็กน้อยและผล็อยหลับไปที่เบาะนั่ง ฉีมู่ลดความเร็วลงโดยไม่รู้ตัวและหันหน้าไปครั้นเห็นว่าเธอหลับไปแล้ว สายตาเอาแต่จับจ้องใบหน้าของเธอ 

 

 

“นอนหลับให้สบายนะ มันจะต้องไม่เป็นอะไร” 

 

 

ฉีมู่พึมพำประโยคหนึ่งก่อนเลี้ยวรถเข้าสู่ถนนทางเดียวในความทรงจำของเขา… 

 

 

ฟั่นซูจวินเดินไปตามถนนว่างเปล่าเงียบๆ ตามลำพัง เงาของเขายืดยาวขึ้นเรื่อยๆ เพราะแสงไฟข้างทาง  

 

 

ไม่รู้ได้ว่าเขาเดินมาไกลเพียงไหนแล้ว ทว่าเสียงโทรศัพท์ของเขาที่ดังขึ้นดึงให้เขากลับมามีสติ 

 

 

เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา หน้าจอยังคงเหนียวเหนอะด้วยเลือดแห้งกรัง มันเป็นเลือดของไป๋เสี่ยวเย่ว์  

 

 

แสงขาวจากหน้าจอยิ่งสว่างเป็นพิเศษท่ามกลางไฟสลัว เมื่อเห็นคำสามคำ ‘อี้จื่อเซวียน’ เขาก็ยิ้มหยันก่อนจะกดวางสาย 

 

 

จากนั้นเขาก็เตร็ดเตร่ไปตามถนนต่อไปอย่างกับผีเร่ร่อนยามเที่ยงคืน กระทั่งโทรศัพท์เอาแต่ร้องดังขึ้นไม่หยุด ครั้งนี้สายที่โทรเข้ามาคือ “ฉินลู่” 

 

 

วุ่นวายอะไรขนาดนี้ 

 

 

อยู่ๆ ฟั่นซูจวินก็ยกมือขึ้นเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือเข้าไปพงหญ้ารกทึบ เขาถอดแว่นออกอย่างหัวเสียไม่น้อย ดวงตากลมโตพร่าเลือนสดใสแจ่มชัดขึ้นมาในทันใด 

 

 

ฉันควรไปที่ไหนต่อ ฉันควรไปหาใครต่อไป 

 

 

ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่กลางทางแยกด้วยความสับสน ใบหน้าทุกส่วนดูไม่สู้ดีนัก 

 

 

รถยนต์คันหนึ่งพลันค่อยๆ ขับมาจากหัวมุมถนนในขณะนั้น ฟั่นซูจวินชะงักไปเล็กน้อยและรีบไปซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้แถวนั้น 

 

 

รถคันนั้นขับมาอย่างเชื่องช้า ฟั่นซูจวินจึงเห็นซูหว่านซึ่งนอนหลับสนิทอยู่ที่เบาะผู้โดยสารด้านหน้าได้ชัดเจน รวมถึงตัวฉีมู่ที่จดจ่อกับการขับรถอยู่ข้างเธอด้วย 

 

 

ทำไมซูหว่านกับฉีมู่ถึงมาอยู่ด้วยกันได้ล่ะ 

 

 

ฟั่นซูจวินงุนงงไปพอสมควร แต่ทั้งร่างของเขาก็แข็งทื่อในวินาทีต่อมา 

 

 

มือเปื้อนเลือดข้างหนึ่งวางอยู่บนบ่าอย่างไม่ได้ตั้งตัว พร้อมกับกลิ่นคาวเลือดที่เข้าจู่โจมสัมผัสของเขา 

 

 

“ไม่ต้องตกใจไป ฉันเอง” 

 

 

น้ำเสียงออกจะแปร่งๆ ดังมาจากด้านหลังเขา อารมณ์แข็งขึงของฟั่นซูจวินผ่อนคลายลงฮวบฮาบทันที “นายมาที่นี่ได้ยังไง ใครทำร้ายนาย” 

 

 

ฟั่นซูจวินค่อยๆ หันไปมองใบหน้าคุ้นเคยตรงหน้าด้วยแววเป็นกังวลเต็มเปี่ยม