ลูกสะใภ้คนเล็กของท่านยายหวังกลับเข้าไปในถ้ำ นางพูดกับท่านยายหวัง “ท่านแม่ ซ่งเหล่าซานไม่เป็น ‘ถงเซิง’ หรอกหรือ เป็นบัณฑิตทำแบบนี้ได้อย่างไร?”
คุณยายหวังไม่สนใจคําพูดของลูกสะใภ้คนเล็กที่พูดจาครึ่งๆ กลางๆ นางกำลังง่วนอยู่กับการกล่อมหลานชายให้หลับ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงพูดออกมา “ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว จะต้องเป็นบัณฑิตอะไรกัน ถงเซิง? ถงเซิงก็ไร้ประโยชน์ เจ้าดูเขาทํางานสิ ไม่ได้เรื่อง”
“พูดจาเหลวไหล!” ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนดังภายในถ้ำ
ท่านย่าหม่าทนไม่ไหวแล้ว นางไม่สนใจว่าจะทำให้คนอื่นตื่นหรือไม่ “เจ้าอย่าคิดว่าในถ้ำนี้มืดแล้วข้าจะไม่สามารถเดาได้ว่าเจ้าเป็นใคร ใช่เจ้าหรือไม่? ยายหวัง! หากไม่มีลูกสามของข้า ครอบครัวของเจ้าก็คงถูกทหารจับไปแล้ว ทำไมถึงไม่จับพวกเจ้าไป ก็เพราะเขามาบอกพวกเจ้าไง ถ้าลูกสามไร้ประโยชน์ ครอบครัวของพวกเจ้าคงถูกจับมัดไปเป็นอาหารหมูหมดแล้ว”
ท่านยายหวังพูด “ทำไมเอ่ยถึงครอบครัวทั้งหมดของข้าแบบนี้ ยายหม่า ปากของเจ้าน่ะควรพูดแต่สิ่งดีๆ หน่อย ข้าไม่ได้เอ่ยถึงอย่างอื่น เจ้ามาด่าทั้งครอบครัวข้าแบบนี้ได้อย่างไรนะ”
“เจ้ายังอยากจะเถียงอะไรอีก? ฮะ? ทีเจ้ายังด่าว่าลูกของข้า ข้าทำดี ข้าทำดีมามากพอแล้ว เจ้าออกไปซะ ถ้ำนี้ลูกเขยของข้าเป็นคนหา ข่าวเรื่องที่ต้องอพยพลี้ภัย ลูกชายข้าก็เป็นคนมาบอก”
ทุกคนต่างเข้าไปห้ามปราม “อย่าทะเลาะกันอีกเลย ไม่เหน็ดเหนื่อยกันหรือไง วุ่นวายกันมาทั้งคืนแล้ว สงบสติอารมณ์กันหน่อย พวกเจ้าดูสิ ทำให้พวกเด็กๆ ตื่นกันหมดแล้ว”
ท่านยายหวังเป็นคนแรกที่ไม่พูดจาอะไรอีก นางคิดในใจว่า
ในตอนนั้นสถานการณ์บ้านเจ้า ฐานะในหมู่บ้านก็เป็นแค่ครอบครัวสามัญชนทั่วไป แต่ไม่เหมือนกับครอบครัวของข้า โดยปกติพวกเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันหรอก
ถ้าไม่ใช่เพราะต้องเดินทางลี้ภัยเอาชีวิตรอด ใครจะอยากอยู่ร่วมกับเจ้า เห็นใครก็จิกกัดไปทั่ว ข้ารู้จักแซ่ของเจ้าดี ถ้าครอบครัวเจ้าไม่มีบัณฑิต ทุกคนคงไม่อยากจะสนใจ
อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อครู่นางก็ไม่ได้มีเจตนาเป็นอย่างอื่น มีประโยคไหนที่พูดผิดไป? ตอนขึ้นภูเขามา ซ่งฝูเซิงก็อยู่ด้านหลัง บุตรชายของนางหลายคนเดินนําหน้าเปิดทาง ช่วยสร้างเพิงพัก ซ่งฝูเซิงทำไม่เป็น นอกจากพูดเก่งปากดีแล้ว เป็นบัณฑิตมีประโยชน์อะไรอีก
ท่านย่าหม่าอารมณ์ไม่ค่อยดี นางรู้สึกจิตใจไม่สงบ
คิดว่าลูกสามไม่จำเป็นต้องบอกข่าวกับทุกคน แค่ครอบครัวนางครอบครัวเดียวก็เดินทางเองได้ คนเหล่านั้นจะเป็นจะตายก็ช่างมัน
ตอนนี้ไม่มีใครสักคนที่จะกล่าวขอบคุณกับนาง ไม่ขอบคุณก็ไม่เป็นไร แต่ยังนินทาลับหลัง ทำกันเกินไปจริงๆ
มองดูรถลากเทียมล่อของครอบครัวนางอีกครั้ง มันถูกควายของครอบครัวอื่นเบียด ดูเหมือนเป็นส่วนเกิน
ดูเด็กเหล่านี้สิ พวกเขาต้องนอนเบียดเสียดชิดผนังถ้ำ ถ้ามีคนมาด้วยไม่เยอะขนาดนี้ พื้นที่ในถ้ำนี้ก็คงเพียงพอ ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยกับการสร้างเต็นท์อะไรอีก ตอนนี้คงสามารถนอนหลับได้แล้ว ไม่ต้องให้วุ่นวายเช่นนี้
ไม่ควรใส่ใจอะไรมาก ยิ่งเรื่องน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดี นี่ถ้าสามารถกลับหมู่บ้านไปได้อีกครั้ง คนที่หลบหนีออกมาตอนนี้ก็คงตําหนิลูกสามของนางอยู่ดี ดูนิสัยของพวกเขาสิ นางเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว
แม่ของเถียนสี่ฟาปลอบท่านย่าหม่า “เหตุการณ์แบบนี้สามารถเกิดขึ้นได้ ทุกคนคงไม่ได้ไร้เหตุผลกันหมดหรอก อีกอย่าง การช่วยเหลือชีวิตคนถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลนะ เจ้าไม่ต้องคิดอย่างนั้นแล้ว”
“เมื่อก่อน เวลาในหมู่บ้านมีเรื่องอะไร มีใครออกมาช่วยครอบครัวของข้าบ้าง? แบบนี้ไม่ถือเป็นความใจดีที่มากเกินไปหรอกหรือ”
“ตอนนี้มันอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกันแล้ว เจ้าอย่าได้คิดถึงแต่เรื่องเก่าเลย ถึงอย่างไรก็ต้องเจอหน้ากันอยู่ดี อยู่ร่วมหมู่บ้านกันมาหลายสิบปีแล้วเ จ้ายังจะปากหนักอีกหรือ หากซ่งฝูเซิงไม่ได้ป่าวประกาศ เจ้าก็คงตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วเอง ในชีวิตเจ้าจะเสียเปรียบคนอื่นก็เพราะปากของเจ้าเนี่ยแหละ”
ระหว่างที่ท่านย่ากำลังวิวาทอยู่นั้น ซ่งฝูหลิงก็หลับจนน้ำลายไหล
นางคิดว่าตนเองคงนอนไม่หลับ แต่ปรากฏว่าเมื่อเฉียนหมี่โซ่วนอนอยู่ในอ้อมแขนซ้ายของนาง ด้านขวามีซ่งจินเป่า เด็กชายทั้งสองเสมือนเตาไฟขนาดเล็กที่อยู่ติดกับนาง ช่วยให้ความอบอุ่น ตั้งแต่ซ่งฝูหลิงสัญญาว่าจะให้ข้าวสวยกับจินเป่ากิน เขาจึงคอยตามติดซ่งฝูหลิงไม่ห่าง
พวกเขาสามคนคลุมตัวด้วยผ้าห่มที่ทับด้วยแผ่นกันชื้นด้านนอกอีกที จึงนอนหลับอย่างสบายอารมณ์
ซ่งฝูหลิงกําลังอยู่ในห้วงของความฝัน นางไม่รู้เลยว่าแม่และพ่อกำลังสร้างบ้านบนต้นไม้ให้นาง พวกเขาไม่ได้หลับนอน ตอนนี้ใช้เวลาสร้างบ้านไปสามชั่วโมงกว่าแล้ว เล็บมือของแม่นางก็พังหมด
ซ่งฝูเซิงแบกต้นไม้แห้ง เฉียนเพ่ยอิงแบกกิ่งไม้
สองคนเข้ามาอยู่ด้านข้างของเถียนสี่ฟา ตั้งใจเรียนรู้ว่าจะใช้เถาวัลย์มัดท่อนไม้อย่างไร เพราะเชือกฟางมีจำนวนจำกัด
“ท่านพี่ นี่ท่านทำช้าๆ หน่อยสิ”
ซ่งฝูเซิงเหยียบพลาด ลื่นลงมาจากบนต้นไม้ เขาถุยน้ำลายลงฝ่ามือไปสองที แล้วปีนขึ้นไปอีกครั้ง
เฉียนเพ่ยอิงเงยหน้าเอ่ยกับเขา “ขนาดท่านยังปีนต้นไม้ลําบาก แล้วท่านแน่ใจเหรอว่าฝูหลิงของเราจะสามารถปีนขึ้นไปได้? มันสูงเกินไปหรือเปล่า”
ซ่งฝูเซิงเหงื่อไหลตามใบหน้า เขานั่งอยู่บนต้นไม้ “ข้าคิดว่านางทำได้” เขามองไกลออกไปบนภูเขาที่เต็มไปด้วยสีเขียว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นของพืชพรรณไม้ต่างๆ ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมา
“นี่ เมียข้า พวกเราลองปรับจิตใจและความรู้สึกใหม่ก็ไม่เลวนะ พวกเราเคยอยากซื้อบ้านให้ลูกสาวของเราไม่ใช่หรือ แต่การสร้างบ้านไม้บนต้นไม้ให้กับนางด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเราเอง มันก็เป็นสิ่งที่วิเศษเหมือนกันนะ”
เฉียนเพ่ยอิงยิ้ม “ถ้าสามารถกลับไปได้เป็นแบบนี้บ้างได้ก็ดีน่ะสิ แต่ถ้าไม่สามารถกลับไปได้แล้ว เฮ้อ ช่างเถอะ ไม่อยากคิดแล้ว ไปทำงานกันต่อดีกว่า”
ซ่งฝูเซิงมีกำลังใจในการทำงาน “ถูกต้อง ทํางาน! อย่าเพิ่งไปสนใจเรื่องอื่น เมื่อลูกสาวตื่นขึ้นมา พวกเราจะได้เซอร์ไพรส์นาง”
สองสามีภรรยากําลังยุ่งกับทำงานแข่งกับเวลาอีกครั้ง
ในระหว่างนี้ เถียนสี่ฟากับเกาเถี่ยโถวก็เข้ามาช่วย เกาเถี่ยโถวได้ยินว่าเถาฮวาสามารถมาพักกับซ่งฝูหลิงที่นี่ได้ เขาก็ทุ่มเทแรงกายแรงใจทำอย่างเต็มที่
เฉียนเพ่ยอิงเหยียบบนก้อนหินยืนอยู่ใกล้ลำธารสายเล็ก นางไม่สนใจว่าใครจะเห็นหรือไม่ นางม้วนชายกางเกงล้างเท้า ล้างขา ล้างหน้า และล้างแขน
ซ่งฝูเซิงยืนอยู่ข้างกายนาง เปลือยท่อนบนล้างน้ำ เขาอยากจะหยิบกะละมังราดน้ำตั้งแต่หัวลงมา
เขาทั้งสองได้ยินเสียงน้ำไหลรินจากภูเขา ซ่งฝูเซิงพูดออกมาอย่างน่าสงสาร “เมียข้า ตอนนี้ข้าอยากดื่มเบียร์วุ้นมากเลย ทั้งเหนื่อยทั้งร้อน”
“ท่านเข้าไปเอาออกมาเถอะ ข้าคอยช่วยท่านดูต้นทางเอง ในตู้เย็นของเรามีอยู่ ตรงระเบียงทางทิศเหนือก็ยังมีอีกสองลัง ตอนนั้นใกล้ฉลองเทศกาลปีใหม่ ข้าเลยซื้อมาเยอะเพื่อตุนเอาไว้รับแขกที่มาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน มันน่าจะพอให้ท่านได้ดื่ม”
“แล้วเจ้าจะเอาอะไรไหม?”
“ข้าไม่เอา”
ซ่งฝูเซิงมองไปรอบๆ ทันใดนั้นเขาก็คว้าตัวเฉียนเพ่ยอิงเข้ามาจูบ เขาซาบซึ้งใจมาก ไม่ใช่เพราะภรรยาไม่อยากดื่มเบียร์ เป็นเพราะนางรู้สึกเสียดาย แต่กลับยอมให้เขาได้ดื่มเบียร์
เบียร์เย็นหนึ่งกระป๋อง ซ่งฝูเซิงแอบหยิบออกมา เขาทำเป็นเสมือนสิ่งของล้ำค่า วางไว้ใกล้หูตนเองและเฉียนเพ่ยอิง “ข้าจะเปิดมัน เจ้าฟังเสียงฟองอากาศสิ คิดถึงมันมากเลยใช่หรือไม่”
เสียงเปิดดังปังขึ้นมา เฉียนเพ่ยอิงเอ่ยขึ้นอย่างรวดเร็ว “เร็วเข้า ฟองลอยขึ้นมาแล้ว รีบดื่มซะ”
ซ่งฝูเซิงดูดฟองอากาศจนหมด เขายื่นกระป๋องเบียร์ให้เฉียนเพ่ยอิงชิม “ดื่มสิ”
ในยุคปัจจุบัน เฉียนเพ่ยอิงไม่แตะของมึนเมาเลยแม้แต่น้อย ในหนึ่งปีก็ไม่เคยดื่มเลยสักอึก แต่เมื่อมาอยู่ตรงนี้ นางจับมือซ่งฝูเซิงไว้แล้วดื่มเบียร์ที่เขายื่นให้ นางดื่มเข้าไปหลายอึกและเรอออกมา “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี่มันดีจริงๆ นี่ถ้าเป็นโค้กเย็นๆ จะยิ่งดีกว่านี้”
ซ่งฝูเซิงยิ้ม “ที่บ้านยังมีอีก ข้าเก็บไว้ให้ลูกสาวจึงไม่ได้เอาออกมา เราสองคนมาดื่มเบียร์กันเถอะ”
แม้แต่กลิ่นเบียร์หยดสุดท้าย ซ่งฝูเซิงก็เอาน้ำเปล่าใส่เข้าไปข้างใน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นดื่มจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว แม้แต่กระป๋องเปล่าก็เสียดายไม่ยอมโยนทิ้ง
เฉียนเพ่ยอิงใส่หินหลายก้อนลงในกระป๋องเปล่าพร้อมกับผูกเชือกไว้ นางแกว่งเชือกไปมาแล้วพูดว่า “ท่านพี่ ท่านดูสิ ถึงตอนนั้นก็นำไปแขวนไว้ หากลูกสาวอยู่บนต้นไม้ต้องการอะไรก็เรียกพวกเราได้ เพียงแค่แกว่งมันไปมาก็มีเสียงกระทบกัน ไม่ต้องใช้เสียงตะโกนเรียกแล้ว”