บทที่ 41 หลอก
บัดนี้เขาถามจางซิ่วเอ๋อด้วยนัยน์ตาลึกล้ำ “เจ้าชื่ออะไร?”
จางซิ่วเอ๋องงไปหมด เดี๋ยวนี้คนสมัยโบราณเขาเปิดกว้างขนาดนี้เลยเหรอ? เจอหน้าไม่ทันไรก็ถามชื่อเลย?
นางไม่คิดว่าคนๆ นี้ชอบอะไรในตัวเองหรอกนะ ไม่แน่อาจจะไม่กล้าหาเรื่องเด็กผู้หญิงต่อหน้าทุกคน จึงแกล้งทำเป็นใจกว้าง แล้วค่อยมาหาเรื่องตัวเองทีหลัง!
จะว่าไปแล้ว ความคิดนี้ของจางซิ่วเอ๋อก็ไปตรงกับความคิดของเถ้าแก่พอดี
เพื่อกันไว้ก่อน จางซิ่วเอ๋อจึงเอ่ยขึ้นว่า “เถาฮวาเจ้าค่ะ”
นี่เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ คนในหมู่บ้านชอบตั้งชื่อตามดอกไม้ ฮวานั้นฮวานี้ แค่คนที่ชื่อเถาฮวาในละแวกใกล้ๆ ก็มีหลายคนมาก
ต่อให้คนผู้นี้คิดจะมาเอาคืนทีหลัง ความเป็นไปได้ที่จะหาตัวเองเจอก็ไม่สูงนัก
พอคิดได้แบบนี้จางซิ่วเอ๋อก็นับถือความฉลาดของตัวเอง แล้วสบายใจขึ้นมาบ้าง
“ถ้าไม่มีอะไรข้าขอไปก่อนนะเจ้าคะ ที่บ้านข้ามีท่านย่าผู้นอนป่วยติดเตียงที่ข้าต้องดูแล” จางซิ่วเอ๋อพูดจบก็วิ่งหายไปโดยไม่รอให้คุณชายฉินตอบอะไร
ส่วนท่านย่าที่นอนป่วยติดเตียงน่ะเหรอ? เหอะ นางมีย่าแค่แม่เฒ่าจางคนเดียว การได้แช่งแม่เฒ่าจางสำหรับนางแล้วไม่รู้สึกแย่เลยสักนิด
คุณชายฉินมองแผ่นหลังของจางซิ่วเอ๋อ แล้วมีสีหน้าขบขัน จึงมองเถ้าแก่พลางถาม “ข้าน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ?”
เถ้าแก่สะดุ้งก่อนจะรีบตอบ “คุณชายฉินเป็นคนใจดีขนาดนี้ จะน่ากลัวได้อย่างไรล่ะขอรับ?”
ตอนพูดไปแบบนั้น เถ้าแก่เองก็เหงื่อไหลซึมอย่างหวาดกลัวความผิด นึกสงสารจางซิ่วเอ๋อขึ้นไปอีก
เวลานี้เถ้าแก่ไม่นึกถึงความวุ่นวายที่จางซิ่วเอ๋อก่อขึ้นในโรงเตี๊ยมแล้ว เพราะเขาจินตนาการออกว่าหลังจากนี้จางซิ่วเอ๋อจะโชคร้ายขนาดไหน!
คุณชายฉินยิ้มบางพลางเดินไปทางด้านหลัง ต่อให้ตอนนี้เขาจะมอมแมมไปทั้งตัว ก็ไม่อาจบดบังราศีอันสูงส่งที่แผ่ออกจากตัวเขาได้
จางซิ่วเอ๋อในตอนนี้หันกลับมาอย่างระวัง พอเห็นว่าไม่มีใครตามหลังมาก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ รู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นผู้รอดชีวิต
ตอนที่ยังนึกกลัวอยู่ จางซิ่วเอ๋อก็จับตำลึงเงินในอกเสื้อตัวเองพร้อมรอยยิ้มกว้างบนใบหน้า
ถึงแม้ครั้งนี้จะหวาดเสียวไปหน่อย แต่อย่างไรเสียก็ได้อะไรดี ๆ มา
ตำลึงเงินน่ะเป็นของดี ที่บ้านนอกจากพวกผักป่าแล้วก็ยังขาดแคลนทุกอย่าง!
นางต้องคำนวณดี ๆ ว่าจะใช้ตำลึงเงินนี่อย่างไร
ในตอนบ่ายนี้เอง จางซิ่วเอ๋อก็ซื้อของเสร็จและเก็บของเรียบร้อย ก่อนจะเดินกลับทีละก้าว
ตอนแรกนางจะเดินกลับ แต่ระหว่างทางก็เจอเกวียนของตาเฒ่าหลี่พอดี
ตาเฒ่าหลี่เห็นแล้วก็ทักจางซิ่วเอ๋อ “ซิ่วเอ๋อ เจ้าขาพลิกไม่ใช่หรือ? ขึ้นรถสิ ข้าไม่คิดเงิน”
ตาเฒ่าเองก็เห็นใจจางซิ่วเอ๋อมากกับสิ่งที่นางต้องเจอ จึงอยากจะช่วยดูแลบ้าง
จางซิ่วเอ๋อนั้นขาพลิกเสียที่ไหนล่ะ? แต่ด้วยความที่นางเป็นคนบอกเอง เวลานี้ถ้าบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไรก็เหมือนโกหก
แล้วนางก็เจ็บเอวมากด้วย
นางมองคนบนรถเกวียน ซึ่งแม่หลินก็อยู่ นางล่ะไม่อยากจะไปนั่งอยู่บนรถเกวียนเลยจริง ๆ
แต่คิดไปคิดมาก็ตัดสินใจขึ้นมานั่ง
นางอาจจะผละจากไปเลยโดยไม่ต้องวุ่นวายก็จริง แต่แม่หลินอาจจะคิดว่านางกลัว!
“ขอบคุณท่านปู่หลี่เจ้าค่ะ”จางซิ่วเอ๋อกล่าวยิ้ม ๆ
ตาเฒ่าหลี่ได้ยินคำว่าท่านปู่หลี่แล้วก็อุ่นใจเป็นพิเศษ เขารับคำก่อนออกเกวียน
แม่หลินมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสายตาเย็นเยียบพลางคิดในใจ อายุเท่านี้ก็รู้จักยั่วคนอื่นแล้ว!
จวี๋ฮวาเข้ามาใกล้และถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าขายผักได้ไหมจ๊ะ?”
จางซิ่วเอ๋อมีรอยยิ้มระบายบนใบหน้า “ขายได้เจ้าค่ะ”
ของที่นางซื้อล้วนใส่ไว้ในตะกร้าสาน และตอนนี้มีที่ครอบปิดตะกร้า คนอื่นย่อมมองไม่เห็น ไม่อย่างนั้นจางซิ่วเอ๋อคงไม่มีทางนั่งเกวียนแน่
แต่ก็ไม่มีใครอยากรู้อยากเห็นกับของในตะกร้าจางซิ่วเอ๋อเลย
นอกจากนั้นจางซิ่วเอ๋อก็ถือถุงเล็ก ๆ ไว้ ซึ่งของด้านในเป็นข้าวโพดบด หากซื้อธัญพืชก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ทุกคนจึงไม่แปลกใจ
ถึงจางซิ่วเอ๋อจะซื้อธัญพืชคุณภาพค่อนข้างดีก็น่าจะทำเพื่อจางชุนเถา
จางชุนเถาไม่เหมือนกับจางซิ่วเอ๋อ
ปกติจางซิ่วเอ๋อเป็นคนไม่มีปากมีเสียง แทบไม่มีตัวตนในหมู่บ้าน แต่จางชุนเถานี่ขึ้นชื่อในหมู่บ้านเรื่องความก๋ากั๋นและทำงานเก่ง
ถ้าไม่ใช่เพราะจางชุนเถามีแม่ที่ไม่มีลูกชาย คงมีคนมาขอแต่งงานกับนางนานแล้ว
ในสายตาทุกคน จางชุนเถาเป็นสาวน้อยบ้านไร่ที่ไม่เลวเลย ถึงจะก๋ากั๋นไปหน่อย แต่ภาพลักษณ์ของนางในสายตาทุกคนก็ไม่เลวนัก พอตอนนี้จางชุนเถามาเจอเรื่องแบบนี้ ทุกคนจึงเห็นใจอย่างมาก
“ซิ่วเอ๋อ เวลาเจ้าไม่ได้ทำอะไรก็ออกมาข้างนอกบ้างนะ อย่าเอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้าน” จวี๋ฮวาพูดอย่างเป็นห่วง
จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าความหมายของจวี๋ฮวาคือให้พวกนางไปมาหาสู่กันบ่อย ๆ นางจึงรีบเอ่ยขึ้น “แน่นอนเจ้าค่ะ”
แม่หลินแค่นเสียง พึมพำขึ้นมา “ช่างไม่กลัวเสนียดเลยนะ”
จวี๋ฮวาได้ยินก็มองจางซิ่วเอ๋ออย่างเป็นห่วง กลัวว่าจางซิ่วเอ๋อกับแม่หลินจะทะเลาะกันอีก
แต่ตอนนี้จางซิ่วเอ๋ออารมณ์ดีสุด ๆ จึงแค่กลอกตามองบนใส่ทิศที่แม่หลินอยู่และไม่ได้สนใจนาง
ทุกคนคุยกันเรื่องที่บ้านเสียงเบา ซึ่งจางซิ่วเอ๋อก็ไม่แทรก ตั้งใจเงี่ยหูฟังหวังว่าจะได้ข้อมูลของหมู่บ้าน
แล้วนางก็ได้รู้เรื่องดี ๆ จริง ๆ
พอมาถึงหมู่บ้าน จางซิ่วเอ๋อก็ยกของตัวเองลงมาเพื่อเตรียมกลับบ้าน
แต่คิดไม่ถึงว่าจะเห็นแม่เฒ่าจางยืนอยู่ใต้ต้นหวายฉู่ นางมองถุงในมือจางซิ่วเอ๋อสลับกับตะกร้าสานบนหลังของนาง พลางกลอกตาไปมา
จางซิ่วเอ๋อนึกในใจว่าแย่แล้ว ด้วยความที่กลับมาพร้อมทุกคน นางก็ไม่กล้าจะลงจากเกวียนนอกหมู่บ้าน
พอเห็นแม่เฒ่าจางเดินมาทางตัวเอง จางซิ่วเอ๋อก็บอกกับทุกคน “ไอ้หยา วันนี้ข้ากลับมาช้าไปหน่อย ชุนเถาอยู่ที่บ้านคนเดียวข้าไม่ค่อยวางใจ ข้าไปก่อนนะ!”
พูดจบจางซิ่วเอ๋อก็วิ่งเหยาะ ๆ ไป
แม่เฒ่าจางเห็นภาพนี้ก็รีบไล่ตามไป “นังตัวซวย!”
นางไล่ตามไปด้วยพลางตะโกนด่าไปด้วย
ตอนนี้จางซิ่วเอ๋อทั้งถือของในมือแล้วยังแบกตะกร้าสานอีก ทำให้การวิ่งนั้นกินแรงมาก แต่พอคิดถึงแม่เฒ่าจางที่ไล่ตามมาข้างหลังราวกับหมาป่า จางซิ่วเอ๋อก็ต้องวิ่งให้เร็วขึ้น
นางจะให้แม่เฒ่าจางเห็นถุงข้าวโพดบดในมือไม่ได้เด็ดขาด ส่วนของในตะกร้าสานยิ่งให้นางเห็นไม่ได้เข้าไปใหญ่
จางซิ่วเอ๋อในตอนนี้จึงแทบจะเค้นพลังตั้งแต่สมัยยังกินนมออกมา
ดีที่แม่เฒ่าจางไล่ตามไปด้วยด่าไปด้วย จึงวิ่งช้ากว่าปกติไม่น้อย
……………………………………