ตอนที่ 34 ผู้สืบทอดของผู้อาวุโสสวี

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ข้างหลังเธอ ฉินอวี่กำลังสับสนอยู่ข้างๆ หลินหว่าน 

 

 

ใบหน้าหลินหว่านดูประหลาดใจจึงถามขึ้นมาว่า “อวี่เอ๋อร์ นี่พี่สาวของหนูเหรอ” 

 

 

“ใช่ค่ะ หนูไม่คิดว่าเธอจะมาอยู่ที่นี่…” ฉินอวี่กะพริบตาแล้วถอนหายใจ 

 

 

ภายในร้านชานมไข่มุก ฉินหร่านไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง เธอหยิบถ้วยชาใบใหม่ขึ้นมาแล้วพูดว่า “อย่ามารบกวนหนูที่ทำงาน” 

 

 

หนิงฉิงได้ยินดังนั้น ก็กอดอกแน่น 

 

 

“ทำงานเหรอ ทำไปทำไม นี่ฉันดูแลแกไม่ดีงั้นเหรอ” หนิงฉิงหน้าซีดลง แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าหลินหว่านยังอยู่ด้านนอก เธอจึงเงียบข่มอารมณ์โกรธไว้ “ฉันจ่ายค่าเรียนพิเศษให้แก แต่แกก็ไม่ยอมไปเรียน สุดท้ายแกก็มาทำงานพิเศษที่นี่ ฉินหร่านแกกำลังแสดงให้ใครดู ฉันไม่ดูแลแกหรือไง” 

 

 

“ดูจากผลการเรียนของแก แม้แต่โรงเรียนจื๋อก็คงไม่รับ ตอนนี้ก็อยู่โรงเรียนอีจงแล้ว ทำไมแกถึงเรียนให้มันดีไม่ได้!” 

 

 

“เก็บของของแกซะ แล้วไปที่เรียนพิเศษกับฉัน” เมื่อเห็นฉินหร่านไม่ได้สนใจที่เธอพูด หนิงฉิงก็หันไปคุยกับพนักงานอีกคนด้วยน้ำเสียงจิกๆ “หัวหน้าเธออยู่ไหน ไปเรียกมาพบฉันหน่อย” 

 

 

เธอพูดเสียงสูงและเย่อหยิ่ง 

 

 

พนักงานคนอื่นไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน 

 

 

เธอมองไปที่ข้าวของมียี่ห้อของหนิงฉิง แล้วมองมาที่ฉินหร่านที่สวมแจ็กเกตนักเรียน ก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกได้ว่าไม่ควรขัดใจหนิงฉิง 

 

 

“ฉินหร่าน กลับไปกับแม่ของเธอเถอะนะ” พนักงานอีกคนพยายามเกลี้ยกล่อมเธอ “ยังไงนี่ก็แม่เธอนะ แม่หวังดีกับเธออยู่แล้ว…” 

 

 

“คนเป็นแม่ไม่มีวันเกลียดลูกสาวตัวเองหรอก” 

 

 

“ลูกชายคนเล็กของฉันยังเข้าโรงเรียนอีจงไม่ได้เลย แกได้เรียนที่นั่น แต่ยังทำตัวเนรคุณอีกเหรอ” บางคนถึงบ่นออกมาด้วยความไม่พอใจ 

 

 

“เด็กสมัยเรียนผลการเรียนไม่เอาไหน แถมยังไม่ยอมเรียนพิเศษ แล้วก็มาทำงานแทน…” 

 

 

“ขนาดเป็นเด็กยังทำตัวมีปัญหาได้ เฮ้อ คนเป็นแม่คงลำบากน่าดู…” 

 

 

ผู้คนที่มุงดูเริ่มกระซิบกระซาบกัน 

 

 

ในมุมมองแบบอนุรักษ์นิยม ยังไงคนเป็นพ่อแม่ก็ไม่มีวันผิด 

 

 

ความคิดของคนรอบข้างเสริมความมั่นใจให้หนิงฉิง เธอเอื้อมมือไปดึงฉินหร่าน… 

 

 

มือของเธอเอื้อมออกไป 

 

 

“เผียะ” 

 

 

มือผอมแห้งเรียวยาวทำให้เธอล้มลง 

 

 

หนิงฉิงเงยหน้าขึ้นทันทีและเห็นใบหน้าสะอาดหล่อเหลา วัยรุ่นดูสดใสนั่นเคลื่อนไหวอย่างสุภาพ เขาพูดอย่างใจเย็นว่า “ถ้าคุณอยากจะควบคุมเธอ คุณก็ควรจะทำไปเมื่อสิบปีก่อนแล้วไม่ใช่เหรอ” 

 

 

ในหัวหนิงฉิงว่างเปล่าไปชั่วขณะ 

 

 

เว่ยจื่อหังไม่ได้วางแผนไว้ให้เป็นไปแบบนี้ เขาคาบบุหรี่แล้วหันมาชี้ที่หนิงฉิง “คนคนนี้หย่าตอนที่ลูกสาวของเธออายุเจ็ดขวบ และไปแต่งงานใหม่กับเศรษฐี เธอปฏิเสธที่จะพาลูกสาวเธอไปด้วย ตลอดสิบสองปีที่ผ่านมา ไม่เคยกลับมาหาลูกสาวเธอเลยสักครั้ง พวกคุณคิดว่าเธอยังจะเป็นแม่ได้อยู่หรือเปล่า” 

 

 

“แต่…ถ้าฉันไม่สนใจเธอ ทำไมฉันต้องช่วยเธอให้ได้เรียนที่โรงเรียนอีจง…” 

 

 

“พูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็อยากจะถามอีกสักหน่อย” เว่ยจื่อหังมองมาที่หนิงฉิงแล้วก็ยิ้ม แต่สายตานั้นเย็นชา “ฉันจำได้ว่าอาจารย์ใหญ่สวีให้น้องสาวฉินเข้าโรงเรียนอีจงเมื่อหนึ่งปีก่อน ป้าหนิงขอถามหน่อยว่าทำไมคุณถึงได้ทำเหมือนกับว่าน้องฉินสามารถเข้าเรียนได้เพราะครอบครัวของคุณ” 

 

 

ขณะนี้มีแต่ความเงียบ 

 

 

ตอนนี้หนิงฉิงพูดไม่ออก ใบหน้าถอดสี ในหัวมีแต่ความว่างเปล่าไปตามสัญชาตญาณ 

 

 

เว่ยจื่อหังหัวเราะเบาๆ “จะว่าไปแล้วน้องฉินนี่ก็โตแล้วนะ และคุณก็ไม่เคยมาดูแลเธอมาก่อนเลย ลืมไปว่าคุณใช้ประโยชน์จากเธอ ตอนนี้คุณจะยังโจมตีและวิจารณ์เธออีกเหรอ” 

 

 

ตอนนี้ทุกคนไม่ได้มองไปที่ฉินหร่านอีกต่อไป แต่ทั้งหมดหันกลับไปมองที่หนิงฉิง 

 

 

การมีพ่อเลี้ยงหมายถึงต้องมีแม่เลี้ยงด้วย แม่ผู้ให้กำเนิดคนไหนถึงไม่มาหาลูกสาวแท้ๆ ตั้งสิบสองปี 

 

 

หนิงฉิงไม่คิดเลยว่าทุกอย่างจะเป็นแบบนี้ 

 

 

ในช่วงสิบสองปี เธอไม่เคยประสบกับสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ 

 

 

ทุกคนมองมาที่เธอ เริ่มจับกลุ่มซุบซิบจึงทำให้เธอเริ่มรู้สึกอึดอัด 

 

 

ในไม่ช้าก็มีคนจำกระเป๋าราคาสามหมื่นหยวนในมือของเธอได้ และคุยกันถึงเสื้อผ้าของฉินหร่าน หนิงฉิงเห็นใครบางคนถือโทรศัพท์แล้วก้มหัวลงออกจากร้านชาไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ฉินหร่านยังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ต้นจนจบ 

 

 

เสมียนอีกคนจำเว่ยจื่อหังได้ เขาก้มหน้าด้วยความกลัวและไม่กล้าพูดอะไรสักคำ 

 

 

มือที่เธอเงินของเธอกำลังสั่น 

 

 

หนิงฉิงออกไปแล้ว 

 

 

หลินหว่านยิ้มเยาะ 

 

 

หนิงฉิงกำกระเป๋าของเธอไว้แน่นและไม่หันไปมองหลินหว่าน 

 

 

“พี่รู้จักเขาได้ยังไง” ฉินอวี่กระซิบ 

 

 

“ทำไมล่ะ” หลินหว่านเอียงคอเล็กน้อยพร้อมปล่อยให้ฉินอวี่เกาะแขนต่อไป 

 

 

ฉินอวี่มองเว่ยจื่อหังด้วยความไม่เข้าใจนัก เว่ยจื่อหังเป็นที่รู้จักกันดีและทุกคนไม่มีใครกล้ายุ่งกับเขา ใครๆ ก็มักจะพูดถึงเขาลับหลังตลอดเวลา 

 

 

“นั่นเด็กเกรเรที่สุดในโรงเรียนจื๋อที่อยู่ติดกันนี่นา พวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่น่านับถือ ฉันได้ยินมาว่าเขาเกี่ยวข้องกับพวกใต้ดินเสียด้วยซ้ำ” ฉินอวี่กระซิบ 

 

 

สีหน้าหนิงฉิงแย่ลงไปอีก 

 

 

หลินหว่านชำเลืองมองหนิงฉิง เธอยิ้มเล็กน้อยพร้อมพยักหน้า เธอเลิกคิ้วแล้วถามขึ้นมาว่า “อวี่เอ๋อร์ คนคนนี้บอกว่าฉินหร่านเข้าโรงเรียนอีจงได้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะพ่อของเธอเหรอ” 

 

 

ฉินอวี่มองไปทางเดียวกับเว่ยจื่อหัง เธอหยุดมือของเธอ เมื่อเธอได้สติก็พูดมาว่า “ตอนนั้นที่โรงเรียนไม่ได้ยอมรับพี่สาว เรารู้ดีเรื่องผลการเรียนของพี่… แต่ก็ได้ยินมาว่าอาจารย์ใหญ่สวีไปที่หมู่บ้านหนิงไห่เพื่อช่วยเหลือคนยากจนมาก่อน เมื่อสามปีที่แล้วคงมีอะไรเกิดขึ้นที่นั่น เลยเดาว่าอาจารย์ใหญ่สวีคงสงสารพี่ค่ะ” 

 

 

เมื่อหลินหว่านได้ยินดังนั้นก็ครุ่นคิดสักพักและไม่ได้ถามอะไรอีก 

 

 

ฉินหร่านไม่ได้ดูเหมือนกับคนที่จะเกี่ยวข้องอะไรกับอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนอีจงนั่นเลย 

 

 

พวกเขาไปดูการแสดงของฉินอวี่ ความสามารถพิเศษของฉินอวี่นั้นดีมากจริงๆ เธอยังเด็กแต่ฝีมือการเล่นไวโอลินนั่นดีมากทีเดียว 

 

 

หลินหว่านรู้จักดนตรีและเข้าใจได้โดยธรรมชาติ 

 

 

เธอกำลังจะกลับปักกิ่งในอีกไม่กี่วัน 

 

 

เธอกำลังคิดถึงเรื่องนั้นและจะพาฉินอวี่ไปด้วยหลังจากการแสดง 

 

 

“ป้าคะ” ฉินอวี่พูดอย่างประหลาดใจ 

 

 

หลินหว่านครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วพูดว่า “ฉันเจออาจารย์สอนไวโอลินสำหรับหนูแล้วนะ เป็นมืออาชีพระดับนานาชาติเลยเชียว ตอนนี้ยังบอกชื่อไม่ได้ แต่เขาเป็นผู้สอนที่ดีมาก เขาชอบนักเรียนที่มีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง เป็นการดีที่หนูจะเอาเพลงต้นฉบับไปให้ฟัง ในอีกไม่กี่เดือนก็จะมีโอกาสได้แสดงต่อหน้าเขา เข้าใจไหม” 

 

 

ฉินอวี่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ 

 

 

หัวใจเธอเต้นรัวเหมือนกลอง สถานะของหลินหว่านตอนนี้เป็นยังไง ครอบครัวที่เธอแต่งงานด้วยก็มีชื่อเสียงไม่น้อยในปักกิ่ง การเป็นครูสอนไวโอลินจะน่าทึ่งขนาดไหน ถึงแม้เธอจะได้รับคำชมมามากมาย 

 

 

ฉินอวี่ตระหนักดีถึงพื้นฐานของเธอ ครูแบบนี้คงต้องมีมาตรฐานสูงแน่ๆ เธอเองก็คงเขียนเพลงของเธอเองได้ แต่ก็อาจจะไม่ใช่ที่เขาต้องการ 

 

 

“อวี่เอ๋อร์” ฉินอวี่ไม่ได้พูดมาสักพัก และหลินหว่านก็เรียกหาเธออีกครั้ง 

 

 

ฉินอวี่เหม่อลอยเล็กน้อย เธอจำได้ถึงโน้ตดนตรีที่เธอเก็บล็อกไว้ในลิ้นชัก จากนั้นไม่นานเธอก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาเธอส่องประกายเหมือนดั่งคบเพลิงแล้วพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “ป้าคะ ขอบคุณมาก หนูจะไม่ทำให้ป้าผิดหวัง”  

 

 

เธอกำหมัดแน่น 

 

 

** 

 

 

ร้านชานมไข่มุกที่อยู่ไม่ไกล 

 

 

เฉิงเจวี้ยนคาบบุหรี่ไว้ในปาก เขาไม่ได้จุดไฟ ใบหน้าเขาเรียบเฉย สายตาเฉยชาไม่เป็นมิตร “ลู่จ้าวอิ่ง มีเรื่องเร่งด่วนมาน่ะ”  

 

 

ลู่จ้าวอิ่งมองไปที่เฉิงเจวี้ยนด้วยความไม่พอใจ นี่เขากังวลแค่ไหน! 

 

 

พระเอกได้ช่วยนางเอกไว้ 

 

 

ถ้านี่เป็นรายการทีวีคงไม่พ้นบทพระรอง! 

 

 

เป็นคนโง่ที่มีแต่ให้! 

 

 

เป็นคนที่ไม่รอดในสามตอนท้าย! 

 

 

เขาอยากจะอาเจียน แต่ตอนนี้มีบางอย่างที่แปลกไปกว่านั้น ลู่จ้าวอิ่งหันกลับมาและบอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉิงเจวี้ยน จากนั้นเขาก็ขัดว่า “เจวี้ยนเหยีย เป็นเวลาหลายปีแล้วที่คนมากมายอยู่ในมือผู้อาวุโสสวี แต่มีสักครั้งไหมที่เห็นว่าผู้อาวุโสสวีจะใจดีให้จดหมายรับรองบ้างไหม” 

 

 

“ครั้งล่าสุดผู้อาวุโสสวีบอกว่าเขาได้เจอผู้สืบทอดแล้ว จำได้ไหม”