ตอนที่ 33 จะเด่นอวดใคร

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ฉินหร่านพับแขนเสื้อ หรี่ตามองไปที่เจี่ยงหันพร้อมกับหัวเราะเบาๆ 

 

 

ทันใดนั้นเจี่ยงหันก็เกิดอาการขนลุกไปทั้งตัวและรับรู้ได้ถึงอันตราย ม่านตาเธอหดตัว เตรียมถอยหลังหาทางหนี! 

 

 

ก่อนที่เจี่ยงหันจะถอยหลังไป คนของเธอก็โดนบีบคออย่างแรง และคอของเธอก็โดนเหวี่ยงกระแทกกับกำแพงอย่างแรง 

 

 

ร่างกายแทบไร้เรี่ยวแรง 

 

 

ฉินหร่านจับเจี่ยงหันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง พลางเอาเท้าถีบเด็กสาวอีกสองคนลงกับพื้น เธอมองไปที่เด็กสาวคนสุดท้ายที่ยักคิ้วแล้วยิ้มให้ “อยากลองมั่งไหมล่ะ” 

 

 

เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายยุคนี้ไม่ละอายใจต่อการกระทำของตัวเองมั่งเลย ในสายตาของฉินหร่านพวกเขาเป็นเพียงไก่อ่อนเท่านั้น 

 

 

“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” มีคนดึงแขนเสื้อเธอจากด้านหลัง 

 

 

นั่นก็คือพานหมิงเย่ว์ 

 

 

ฉินหร่านไม่พูดอะไร เธอมองไปที่เจี่ยงหันด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ 

 

 

คิ้วของเจี่ยงหันเย็นและชุ่มเหงื่อ หญิงสาวตรงหน้ามัดผมไว้ มีผมสองสามเส้นตกลงมาที่ใบหน้าและติดอยู่ที่ปากของเธอ 

 

 

ดวงตาเธอชวนมอง แต่รูม่านตาแดงฉาน เธอถลึงตาใส่อย่างน่ากลัว ทำให้คนอื่นรู้สึกขนลุกกันไปทั่ว 

 

 

ทุกคนที่อยู่ในห้องนอนอื่นๆ รู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ 

 

 

อู๋เหยียนรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ แต่เธอเหลือบมองเจี่ยงหันกับคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ตรงประตูและพูดว่า “ฉินหร่าน อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ ฉันจะไปพบคนดูแลหอ…” 

 

 

ฉินหร่านเปิดประตูถัดไป 

 

 

ปั้ง! 

 

 

ประตูกระแทกกับกำแพงแล้วเด้งกลับด้วยเสียงดังสนั่น 

 

 

ไม่ใช่แค่อู๋เหยียนที่ไม่กล้าพูด แต่ทั้งชั้นเงียบสนิท 

 

 

ฉินหร่านสูงกว่าเจี่ยงหันนิดหน่อย เธอปล่อยมือที่จับคออยู่ออก ก้มหัวลงและยิ้มให้อย่างอ่อนโยน 

 

 

หลังจากนั้นไม่นานภายใต้สายตาที่น่ากลัวและแปลกประหลาดของเจี่ยงหัน เธอปล่อยมือและค่อยๆ พับแขนเสื้อขึ้น 

 

 

ฉินหร่านไปหยิบแก้วคืนจากหลินซือหราน 

 

 

ก่อนจะจากไป เธอหันมองด้วยสายตาแดงก่ำและยิ้มสยองให้เจี่ยงหัน “อย่าแส่เรื่องคนอื่นนัก แล้วก็กินให้เยอะๆ หน่อย” 

 

 

เธอหยิบแก้วและเดินกลับห้องนอนของเธอไปอย่างช้าๆ 

 

 

เด็กสาวที่เหลือยืนอยู่ตรงทางเดินเหมือนกระต่ายขี้ตกใจ รีบกระโดดหนีด้วยความกลัวเพื่อหลีกทางให้เธอ 

 

 

เด็กผู้หญิงเกือบทั้งหมดในห้องโถงหดตัวเข้าไปในประตูห้องนอน สายตามองฉินหร่านเดินเข้ามาในห้อง เธอเป็นผู้หญิงคนแรกที่กล้ายุ่งกับเจี่ยงหัน 

 

 

ไม่มีใครรู้สึกตัว และก็เงียบมาเป็นเวลาหลายนาที 

 

 

หลังจากหลินซือหรานอาบน้ำเสร็จ เธอก็ไม่เห็นฉินหร่านอยู่ในหอพัก เธอขมวดคิ้วเพราะมองไม่เห็นจนกระทั่งมาตรงระเบียง 

 

 

เธอเห็นฉินหร่านนั่งหันหลังอยู่ที่ระเบียง เห็นขาของเธอห้อยลงมา 

 

 

หลินซือหรานกลัวจนหัวใจแทบหยุดเต้น “หร่านหร่าน!” 

 

 

ฉินหร่านได้ยินเสียงเอะอะ ก็หรี่ลงจนตาหยี “ตกใจอะไรเนี่ย” 

 

 

บุหรี่ยังคาอยู่ในปากของเธอ เธอแกว่งขาอย่างไม่ใส่ใจ ภาพตอนกลางคืนแวบเข้ามาทำให้เธอนึกถึงเรื่องบางอย่างขึ้นมา 

 

 

หลินซือหรานไม่ตอบโต้ 

 

 

ฉินหร่านหัวเราะเสียงเบาๆ เธอยื่นมือออกไปและกระโดดลงมาโยนบุหรี่ลงถังขยะ “ไปนอนกันเถอะ” 

 

 

หลินซือหรานถอนหายใจและเอามือทาบอก “หร่านหร่าน เธอนี่น่าทึ่งจริงๆ เลย” 

 

 

อีกฝ่ายกำลังพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ 

 

 

เธอไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนทำให้เจี่ยงหันกลัวได้ขนาดนี้ 

 

 

ฉินหร่านเข้าไปในห้องนอนเอามือไพล่ท้ายทอยและไม่ได้พูดอะไรอีก 

 

 

นานมากที่จะได้ยินหลินซือหรานพูดสี่คำนี้ออกมา ทั้งสั้นและเยือกเย็น “ฉันไม่ใช่พระเจ้า” 

 

 

** 

 

 

บ้านพักต่างอากาศแห่งหนึ่งในอวิ๋นเฉิง 

 

 

เฉิงเจวี้ยนถือมีดเรียนเกี่ยวกับหุ่นอยู่ 

 

 

เขาได้ยินลู่จ้าวอิ่งเปิดประตูก็ตกใจ “เจวี้ยนเหยีย เจวี้ยนเหยียครับ มี… มี…” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนใช้มีดผ่าตัดบางๆ ของเขาชี้ไปที่ลู่จ้าวอิ่งและส่ายหัว “ถ้าฉันทำพัง นายจะหาซื้อหุ่นมาให้ฉันได้ไหม” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเงียบสนิท 

 

 

นายน้อยเฉิงใช้เงินห้าล้านในการปรับแต่งหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ แม้แต่หลอดเลือดก็ยังทำออกมาได้เหมือนมาก เขาหาเงินมาจ่ายได้แต่จะหาคนมาช่วยปรับแต่งหุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ได้หรือไม่นั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง… 

 

 

เขาอึ้งและพูดว่า “คำสั่งถูกตีกลับครับ…” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนดึงมีดของเขาออกมา ลมแรงพัดชายเสื้อของเขาถลกขึ้น “ทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง “…” 

 

 

** 

 

 

แม้ว่าจะเป็นปีสุดท้าย แต่โรงเรียนอีจงก็ไม่มีคาบเรียนเสริมในช่วงวันหยุด ก่อนหน้านี้ยังมีอยู่ แต่หลังจากที่ผู้ปกครองนักเรียนบางคนรายงานเรื่องนี้ไปยังสำนักการศึกษา พวกเขาหยุดให้มีคาบเรียนเสริมทันที 

 

 

สองวันถัดมาฉินหร่านงดไปทำงานพิเศษที่ร้านชานมไข่มุก 

 

 

ช่วงเช้าวันเสาร์หนิงฉิงโทรหาเธอหลายครั้งแต่เธอไม่รับสาย 

 

 

ฉินหร่านสะพายกระเป๋าเป้ไปเยี่ยมเฉินซูหลานที่โรงพยาบาล 

 

 

เฉินซูหลานอยู่ในห้องวีไอพีของโรงพยาบาลและได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อฉินหร่านมาถึง คุณป้าก็กำลังป้อนซุปให้เฉินซูหลานอยู่ 

 

 

มู่หยิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้าง กำลังเล่นกับโทรศัพท์มือถืออยู่ 

 

 

มู่หนานนั่งหั่นแอปเปิลอยู่อีกด้านหนึ่ง 

 

 

ฉินหร่านเดินเข้าไปยืนมองเฉินซูหลานอยู่ด้านนอกหน้าต่างกระจกสักพัก 

 

 

เฉินซูหลานแต่งงานกับตาของเธอไวนะแต่กลับมีลูกช้า เพิ่งมีลูกคนแรกตอนอายุสามสิบ 

 

 

ตอนนี้ก็จะแปดสิบแล้ว 

 

 

เมื่อคนเราอายุมากขึ้นอวัยวะต่างๆ ก็เริ่มถดถอย โรคมากมายก็รุมเร้า 

 

 

ฉินหร่านมีวิธีช่วยเรื่องขาของหนิงเวย แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความตาย การเจ็บป่วยและอาการอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว เป็นฉินหร่านก็คงทำอะไรไม่ถูก 

 

 

ฉินหร่านเปิดประตูเดินเข้าไป เฉินซูหลานก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นทันที 

 

 

“หร่านหร่าน ยายให้แม่ของหลานเอาของพวกนี้มาให้ หลานเก็บเอาไว้สิ” มือเฉินซูหลานสั่นเทาขณะหยิบกองกระดาษออกมาจากใต้หมอน แล้วส่งให้กับฉินหร่าน 

 

 

ฉินหร่านก้มดู นี่มันกองกระดาษบันทึกที่เธอเคยขยำทิ้งลงถังขยะนี่นา 

 

 

เป็นการเขียนแบบลวกๆ 

 

 

เธอไม่คิดว่ายายจะเก็บมันไว้เป็นอยางดี 

 

 

เมื่อเห็นว่าเธอนิ่งเฉย เฉินซูหลานก็เอากระดาษยัดใส่ไว้ในมือฉินหร่านอย่างถือวิสาสะ เฉินซูหลาน อายุมากแล้ว ความจำก็ไม่ดี แต่เธอยังจำได้ว่าอาจารย์ของเมืองหลวงจักรวรรดิได้ดูบันทึกเหล่านี้อย่างไร 

 

 

เสมือนว่าเป็นอัญมณี 

 

 

ถ้าเป็นพ่อแม่คนอื่น คงบังคับให้ลูกเรียนแน่นอน 

 

 

แต่เฉินซูหลานไม่เหมือนกัน เธอมีความสุขต่อให้ฉินหร่านจะไม่ได้แต่งงาน เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร 

 

 

“ลูกพี่ลูกน้อง นั่นอะไรน่ะ” เมื่อมู่หยิงเห็นฉินหร่านเข้ามา ก็วางโทรศัพท์และเดินเข้าไปหา 

 

 

เธอเอาแต่จ้องกระดาษ 

 

 

แต่มองไม่ออกว่าเขียนว่าอะไร 

 

 

ฉินหร่านม้วนกระดาษยัดใส่กระเป๋าเสื้อนักเรียน “ไม่มีอะไร” 

 

 

เธอพูดอย่างแผ่วเบา 

 

 

ถึงมู่หยิงจะอยากรู้ แต่เธอก็ไม่ถามให้มากความเพราะรู้สึกแปลกๆ 

 

 

พวกเขาอยู่กับเฉินซูหลานที่โรงพยาบาลจนถึงเที่ยง และเมื่อฉินหร่านออกไปทำงานที่ร้านชานมไข่มุก เธอก็ออกไปด้วยเช่นกัน 

 

 

** 

 

 

ฉินอวี่ยังคงมาที่โรงเรียนในวันเสาร์เพื่อฝึกซ้อมไวโอลิน 

 

 

ฉินอวี่ต้องขึ้นแสดงในวันครบรอบโรงเรียน 

 

 

ในวันธรรมดาคนขับจะมาส่งเธอ ตอนนี้หลินหว่านอยากเจอฉินอวี่เป็นการส่วนตัวจึงตามมาด้วย ส่วนหนิงฉิงแค่ไปเป็นเพื่อนพวกเขา 

 

 

วันเสาร์สามารถขับรถเข้าไปในโรงเรียนได้ 

 

 

แต่พอเข้าประตูไป ฉินอวี่พลันอยากกินชานม 

 

 

ทั้งสามคนจึงลงจากรถ 

 

 

คนขับลงมาเข้าคิวเพื่อซื้อชานมให้ฉินอวี่ 

 

 

ฉินอวี่จับแขนหลินหว่าน ส่งยิ้มพร้อมแนะนำให้รู้สถารการณ์ภายในโรงเรียนอีจง 

 

 

เธอเห็นร่างที่คุ้นตาอยู่ที่ร้านชานมไข่มุก ฉินอวี่อึ้งไปพักนึง 

 

 

หลินหว่านเห็นว่าฉินอวี่ทำท่าทางแปลกๆ “มีอะไรเหรอ” 

 

 

เธอถามและมองตาม 

 

 

“แม่คะ ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ” ฉินอวี่จ้องหนิงฉิง 

 

 

หนิงฉิงเห็นอยู่ก่อนแล้ว เธอหน้าซีดและเม้มริมฝีปากก่อนจะเดินไปที่ร้านชานมไข่มุกด้วยสายตาไม่เป็นมิตร 

 

 

ฉินหร่านเดินมาตรงเคาน์เตอร์ ก้มหน้าลงก่อนวางแก้วชานมไข่มุกลงบนโต๊ะอย่างใจเย็น 

 

 

หนิงฉิงกำมือแน่น เธอถือกระเป๋าใบละสามหมื่นหยวนพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฉินหร่าน ทำอะไรของแก ฉันไม่ได้ให้เงินแกหรือไง”