ตอนที่ 32 เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาลุยกันเลยดีกว่า

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

เฉิงเจวี้ยนไม่ได้ถามว่าเธอจะเอาไปทำอะไร เขาแค่วางของของตัวเองลงและไปหยิบคอมพิวเตอร์มาให้เธอ 

 

 

เมื่อฉินหร่านได้คอมพิวเตอร์ เขาจึงถามว่า “ใครกัน น้ำเสียงดูไม่ดีเลย” 

 

 

ปลายนิ้วเย็นๆ ของฉินหร่านเลื่อนไปทั่วคอมพิวเตอร์ มุมปากเธอไม่ได้ยิ้มหรือเผยให้เห็นความเย็นชา 

 

 

เรื่องนี้ไม่ยากเกินไปที่จะอธิบาย ฉินหร่านจึงอธิบายว่าทำไมเธอถึงมาที่อวิ๋นเฉิงอย่างสั้นๆ 

 

 

มันสั้นกระชับ แต่เฉิงเจวี้ยนเข้าใจได้ตรงประเด็น 

 

 

เขามองฉินหร่านสักพักและพูดว่า “แม่ของเธอไม่ใช่แม่แท้ๆ เหรอ” 

 

 

เสียงฉินหร่านยังไม่ดีนัก เธอยังอ่อนแอและมีอาการไอ เฉิงเจวี้ยนหยุดดูเอกสารตัวเองแล้วมองดูอาการเธอ 

 

 

เขาขมวดคิ้วและคิดว่าทำไมหนิงฉิงไม่ถามเรื่องเขาสักคำ 

 

 

ประโยคนี้ทำให้ฉินหร่านยิ้มอย่างมีความสุข “ค่ะ แม่แท้ๆ” 

 

 

แฟลชไดรฟ์ของฉินหร่านอยู่ที่เขา 

 

 

เธอยืนขึ้นมองไปรอบๆ ห้อง จากนั้นก็เอาคอมพิวเตอร์ไปวางบนเสื่อใกล้กับหน้าต่าง 

 

 

คอมพิวเตอร์ของเฉิงเจวี้ยนมีหน้าจอกันการแอบมองและตรงนี้ก็เป็นทางตัน หากเขาไม่มายืนอยู่ข้างหลังเธอ จะมองไม่เห็นว่าเธอทำอะไรอยู่ดี 

 

 

เธอเสียบแฟลชไดรฟ์และทำงานอย่างสบายๆ เธอไม่ได้รับคำสั่งมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว 

 

 

เฉิงเจวี้ยนกำลังเตรียมตัวเรื่องการผ่าตัดในวันอาทิตย์ แต่ยังสงบใจไม่ได้ เขาดูคำที่เขาเขียนลงบนกระดาษ เขารู้ว่ามันคืออะไรแต่ยังไม่เข้าใจเสียที 

 

 

เขาเอียงคอมองไปที่หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเสื่อ เธอใส่เสื้อเชิ้ตแขนยาว สีหน้าเธอก็ดูไม่ผ่อนคลายเหมือนอย่างเคย เธอดูจริงจังกว่าที่เขาเคยเห็นขึ้นมานิดหน่อย เขาหรี่ตามองโดยไม่รู้ว่าอีกฝ่านกำลังทำอะไร แต่ร่างกายเธอดูเหมือนมีแสงเจิดจรัส 

 

 

เขาขยับมือตัวเอง 

 

 

หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันไปหาแก้ว เพื่อเทน้ำอุ่นพร้อมกับวางยาไว้ข้างๆ สองสามเม็ด 

 

 

ในขณะที่เขาทำง่วนอยู่นั้น สายตาฉินหร่านไม่ได้ว่อกแว่กแม้แต่น้อย 

 

 

หลังเวลาเลิกงาน ลู่จ้าวอิ่งจะเดินไปที่ประตูสนามเพื่อไปรับอาหารที่โรงแรมเอินอวี๋มาส่ง 

 

 

เดิมทีเขาจะโทรหาฉินหร่านก่อน แต่ก็ถูกสายตาเฉิงเจวี้ยนขัดจังหวะเสียก่อน 

 

 

“ไว้ค่อยกินทีหลัง” ลู่จ้าวอิ่งวางกล่องไม้สองกล่องลงบนโต๊ะ “นายน้อยเจวี้ยน คุณมีนัดผ่าตัดวันอาทิตย์ใช่ไหมครับ” 

 

 

เขาเดินมาดูสมุดบันทึกในมือของเฉิงเจวี้ยน 

 

 

ให้ตายเถอะ เหมือนเมื่อตอนเที่ยงเลย 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งแปลกใจ “นายน้อยเจวี้ยน ทำไมยังไม่เสร็จอีกล่ะครับ” 

 

 

เฉิงเจวี้ยนเหลือบมองเขา นิ้วมือที่เรียวสวยของเขาตีไปบนโต๊ะ เขาพูดสั้นๆ ว่า “ไม่มีเวลาน่ะ” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง “…” 

 

 

ฉินหร่านทำงานเสร็จเรียบร้อย นี่ก็กินข้าวเย็นมาได้สิบนาทีแล้ว เธอกินข้าวและกินยา จากนั้นก็มองไปรอบๆ ห้องพยาบาล ก่อนจะจัดข้าวของให้เป็นระเบียบ 

 

 

ขณะที่เธอกำลังจะออกไป เฉิงเจวี้ยนก็ดึงแขเสื้อเธอไว้ 

 

 

ถ้าเป็นที่อื่นหรือคนอื่นละก็ เธอจะชักสีหน้าใส่ ไม่ก็หักมือน่ารำคาญนั่นซะ 

 

 

“มีอะไรเหรอคะ” ตอนนี้อารมณ์ของฉินหร่านดีขึ้นแล้ว 

 

 

เธอหันไปด้านข้าง หรี่ตามองเฉิงเจวี้ยน 

 

 

“เอาแก้วนี่ไป เป็นแก้วใหม่ยังไม่มีใครเคยใช้” เฉิงเจวี้ยนส่งแก้วเก็บความร้อนที่เธอเพิ่งดื่มไปให้กับเธอ เขาขี้เกียจนิดหน่อยทำให้ดวงตาเขาหม่นแสง เขาหยุดแป๊บนึงก่อนจะพูดว่า “เธอเป็นผู้หญิง อย่าดื่มน้ำเย็นบ่อยนักสิ” 

 

 

ตอนที่ฉินหร่านมาที่ห้องพยาบาล เธอมักจะพกน้ำแร่หนึ่งขวดหรือไม่ก็โคล่าหนึ่งกระป๋อง 

 

 

เฉิงเจวี้ยนสังเกตเห็นหลายหลายครั้งแล้ว เธอเป็นคนไข้ของเขาที่ยังป่วยอยู่ มันถูกแล้วที่เขาจะเป็นห่วงเธอ 

 

 

ฉินหร่านหยิบแก้วขึ้นมามองดู แก้วสีขาวนี่น่ารักดีแฮะ 

 

 

เฉิงเจวี้ยนแตะโดนปลายนิ้วของเธอ มือเธอเริ่มเย็นแสดงว่าอุณหภูมิลดลงแล้ว 

 

 

เขาชักมือกลับอย่างแผ่วเบา 

 

 

“ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านโบกมือให้เฉิงเจวี้ยน 

 

 

เฉิงเจวี้ยนมองไปที่ร่างของเธอ จากนั้นก็ยกมือขึ้มามองอยู่เนิ่นนาน 

 

 

“นายน้อยเจวี้ยน มองอะไรอยู่ครับ เราไปกันเถอะ” ลู่จ้าวอิ่งเข้ามา 

 

 

เฉิงเจวี้ยนหดมือลงอย่างไม่ใส่ใจ “ไปเถอะ” 

 

 

** 

 

 

ฉินหร่านกลับเรียนคาบศึกษาด้วยตัวเอง 

 

 

การศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองในช่วงเย็นของเธอก็คือการอ่านหนังสือและการถ่ายเอกสาร 

 

 

เธอเก็บโน้ตที่มู่หนานให้เธอและเริ่มจัดเรียงเอกสารของตัวเอง 

 

 

เธอวางกระดาษข้อสอบทีละแผ่น ตามคะแนนจากน้อยไปหามากและวางลงไปอย่างพอใจ 

 

 

เธอเริ่มมองหาหนังสือภาษาต่างประเทศที่ยังไม่ได้แปล 

 

 

“ตายแล้ว ไอดอลฉันออกอัลบั้มใหม่แล้ว จะวางขายพรุ่งนี้ตอนเก้าโมงเช้า!” เสียงหลินซือหรานดังอยู่ข้างๆ เธอ แม้ว่าจะดูจงใจไปหน่อยก็เถอะ 

 

 

โชคดีที่ใกล้จะหมดคาบแล้ว เสียงเธอจึงไม่เร่งเร้านัก 

 

 

เธอเขย่าแขนของฉินหร่าน “หรานหรานดูเขาสิ หล่อมากเลย” 

 

 

ฉินหร่านมองไปที่หน้าจอ เขาเป็นชายหนุ่มร่างใหญ่ในชุดพังก์สีดำ แต่งตาเข้มซึ่งก็ดูเข้ากับเขาดี 

 

 

คิ้วเขาดูสวยได้รูปและเขายังโดดเด่นมากที่สุดในวงการบันเทิง 

 

 

“รู้จักเขาไหม นี่น่ะ…” หลินซือหรานตื่นเต้นมากเวลาพูดถึงไอดอลของเธอให้ฉินหร่านฟัง 

 

 

“เหยียนซี” ฉินหร่านยกขาขึ้นและพูดอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

“หร่านหร่าน เธอก็เป็นแฟนคลับเขาด้วยเหรอ” หลินซือหรานดูสดใสขึ้นทันที 

 

 

ฉินหร่านไม่ใส่ใจ “เปล่า” 

 

 

หลินซือหรานไม่รู้สึกอะไร ยังคงพร่ำบอกเรื่องความรักของเธอที่มีต่อเขาให้ฉินหร่านฟัง “สามปีมานี้เขาได้รับความนิยมไปทั่วประเทศ เพลงที่เขาร้องอย่างกับมีมนตร์สะกดแน่ะ…” 

 

 

ฉินหร่านหยิบอมยิ้มออกมาปอกเปลือกแล้วเอาใส่เข้าไปในปาก 

 

 

หลินซือหราน “….” 

 

 

หลังจากจบคาบเรียนด้วยตนเอง ฉินหร่านกับหลินซือหรานก็กลับไปที่ห้องนอน 

 

 

ห้องนอนของพวกเธออยู่สุดทางเดิน พวกเธอจึงผ่านห้องนอนของพานหมิงเย่ว์ 

 

 

พานหมิงเย่ว์กลับมาถึงก่อนแล้ว กำลังต้มน้ำอยู่ มีสาวสวยคนหนึ่งขวางทางเข้าห้องของเธอ 

 

 

“พานหมิงเย่ว์ ทำไมเธอถึงได้คะแนนสอบเข้ามหาวิทยาลัยยี่สิบคะแนนล่ะ น้อยไปหรือเปล่าเนี่ย” หญิงสาวผมประบ่าคนนั้นมองไปที่พานหมิงเย่ว์ 

 

 

พานหมิงเย่ว์ก้มหน้า ไม่แม้แต่พูดหรือมองหน้าเธอ 

 

 

“ช่างเถอะ เจี่ยงหัน อย่าไปยุ่งเลย คนดูแลหอกำลังจะมา” ผู้หญิงอีกคนเกาะผู้หญิงที่กำลังพูดอยู่ 

 

 

เจี่ยงหันเอามือลงอย่างอวดดี “ทำไมจะพูดไม่ได้ เธอกับสวีเหยากวงห่างกันยี่สิบคะแนนตลอด ครูหลี่บอกว่าเธอได้คะแนนเพิ่มยี่สิบคะแนนก็มีโอกาสชนะ พานหมิงเย่ว์ บอกเราซิ เราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน เธอมันเหนือกว่ามนุษย์หรือไง” 

 

 

หลายคนยืนขวางทางและปิดกั้นถนนด้านข้าง เด็กสาวที่เดินผ่านไปมาไม่มีใครกล้าเงยหน้า ได้แต่เดินผ่านพวกเขาไป 

 

 

ฉินหร่านไม่ได้เข้าไปใกล้พวกนั้น เธอก้มหน้าลงและพูดสั้นๆ ว่า “หลีก อย่าขวางทาง” 

 

 

ดวงตาขาวซีดของเธอเริ่มแดงฉาน เธอชั่งน้ำหนักแก้วในมือ 

 

 

เจี่ยงหันอึ้ง “เธอว่าไงนะ” 

 

 

เจี่ยงหันคนนี้เป็นตัวปัญหาในโรงเรียนอีจง เมื่อเห็นอย่างนี้ สาวๆ ที่ตั้งใจจะไปเอาน้ำตรงทางเดินก็รีบกลับหอพักทันที ไม่มีใครกล้าเดินไปสักคน 

 

 

เธอเป็นแฟนคลับสาวอันดับหนึ่งของสวีเหยากวง ก็เลยไม่กล้ายั่วโมโหฉินอวี่ เธอจึงต้องระบายความโกรธด้วยวิธีอื่น 

 

 

ฉินหร่านเงยหน้าขึ้นมองและยิ้ม แต่น้ำเสียงเธอไม่ค่อยดีนัก วิญญาณร้ายในดวงตาเธอแทบจะพุ่งออกมา ดีที่หยุดไว้ได้ก่อน เธอก็หลับตาลง “บอกให้หลีกทางไง หมาแสนรู้มันไม่ขวางทางนะ” 

 

 

เจี่ยงหันมองไปที่หญิงสาวที่กล้าพูดกับเธอแบบนี้ เธอไม่คุ้นกับใบหน้าที่ดูดีและผิวขาวนี่เลย อากาศร้อนจะตาย แต่เธอดันสวมแจ็กเก็ต แถมยังดึงเสื้อผ้าขึ้นสูงเหมือนนักเรียนที่อยู่ในระเบียบ 

 

 

หลินซือหรานอยู่เฉยๆ มองฉินหร่านและไม่มีเวลาพูดอะไรเลย 

 

 

มีกิจการขนาดเล็กมากมายในโรงเรียน เจี่ยงหันก็มาจากครอบครัวเช่นนี้เช่นกัน พ่อของเธอเป็นเศรษฐีใหม่ที่บริจาคเงินทำห้องสมุด ผลการเรียนของเธอก็ดี ดังนั้นเธอจึงอยู่ในห้องสามทับหนึ่ง 

 

 

“เธออยู่ชั้นไหน ไม่รู้เหรอว่าฉันเป็นใคร” ดวงตาเจี่ยงหันฉายแววขบขันและดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อย เด็กสาวสองสามคนข้างหลังเธอเข้ามาล้อมรอบตัวเธอทันที จากนั้นเธอก็หัวเราะเยาะ “อยากตายนักหรือไง…” 

 

 

ฉินหร่านให้หลินซือหรานถือแก้วชา 

 

 

หลินซือหรานรู้สึกตัวอีกครั้ง “หรานหราน เธอจะทำอะไรน่ะ อย่าเพิ่ง…” ในโรงเรียนมีเด็กสาวไม่กี่คนที่กล้ายั่วโมโหเจี่ยงหัน 

 

 

ฉินหร่านเอื้อมมือออกไปถอดแจ็กเกตนักเรียนออก ด้านในเป็นเสื้อยืดสีขาว เธอวางแจ็กเก็ตนักเรียนไว้ในมือของหลินซือหราน ปรายตามองและพูดอย่างใจเย็น “เพื่อไม่ให้เสียเวลา มาลุยกันเลยดีกว่า”