ตอนที่ 31 มีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นไหม

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

แทบจะไม่มีใครเคยได้ยินข่าวนี้ 

 

 

โดยเฉพาะเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่ง 

 

 

หลี่อวี้หันรู้สึกแปลกใจ “ดาว…ดาวโรงเรียนคนนี้ซ้ำชั้นงั้นเหรอ ถ้าเธอมาเรียนที่โรงเรียนเรา ผลการเรียนของเธอคงจะออกมาดี เธอไปสร้างปัญหาอะไรถึงทำให้โรงเรียนเชิญเธอออก” 

 

 

“เธอเกรดตกเพราะโดดเรียนทุกวันแถมยังมีเรื่องทะเลาะวิวาท เธอเข้าโรงเรียนเป็นคนท้ายๆ หลังจากนั้นครูก็ไม่สนใจเธอเลย ที่เธอเข้าโรงเรียนอีจงได้ก็เพราะ…” มู่หยิงมองไปที่ฉินหร่านและลดเสียงลง “ยังไงก็เถอะ…เฮ้อ ฉันจะไม่บอกเหตุผลอะไรอีก” 

 

 

พูดจบหลี่อวี้หันก็คิดหนักและอยากจะนินทาใจจะขาด 

 

 

มู่หยิงช่วยอะไรไม่ได้ ได้แต่มองไปทางเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่ง เฉิงเจวี้ยนพิงประตูอยู่เงียบๆ เขาเล่นโทรศัพท์ด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย 

 

 

มือของเขาสมส่วน นิ้วมือเรียวยาว ปลายนิ้วขาวสะอาด ข้อนิ้วของเขายกขึ้นเมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา 

 

 

คิ้วของเขาย่นลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขามองไปที่ฉินหร่าน 

 

 

เขาไม่ใส่ใจว่าเธอพูดเรื่องอะไร 

 

 

ส่วนลู่จ้าวอิ่ง มือเขาอยู่บนกระจกหน้าต่างรถและกำลังหัวเราะ “นายน้อยเจวี้ยน คาดไม่ถึงเลยว่าฉินหร่านจะเก่งขนาดนี้” 

 

 

ปฏิกิริยาของทั้งคู่เกินความคาดหมายของมู่หยิง มู่หยิงบอกไม่ถูกว่าพวกเขารู้สึกยังไง เธอจึงได้แต่ทำปากจู๋ยืนอยู่ตรงนั้น 

 

 

“เอากระเป๋าไปให้ป้าของฉันทีสิ ฉันซื้อมาเมื่อคืน ยังไม่มีเวลาเอากลับไปเลย ช่วยฉันหน่อยนะ” ฉินหร่านส่งกระเป๋าคืนให้มู่หนาน 

 

 

เมื่อได้ฟังประโยคนี้มู่หนานก็ขมวดคิ้ว 

 

 

เขาอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็มักจะเงียบมาตลอด เขาจึงหยิบกระเป๋าและหันกลับไป 

 

 

มู่หยิงไม่กล้ามองฉินหร่าน เธอกระซิบ “ลูกพี่ลูกน้อง ฉันจะไปแล้วนะ” 

 

 

หลังจากที่มู่หนานและเธอจากไป ฉินหร่านก็ขึ้นรถแต่รถกลับสตาร์ตไม่ติด 

 

 

เด็กสาวตัวเล็กๆ วิ่งออกมาจากร้านชานมไข่มุก เพราะวิ่งเร็วมากทำให้หน้าของเธอแดงก่ำ ในมือถือแก้วชานมไข่มุกมาด้วย “ฉินหร่าน ขอบคุณนะที่ช่วยฉันทำงานล่วงเวลาเมื่อคืนนี้” 

 

 

ฉินหร่านเอนหลังพิงเบาะรถอย่างอ่อนแรง “ไม่เป็นไรหรอก” 

 

 

และสาวน้อยคนนั้นก็รีบกลับไปทำงาน 

 

 

เฉิงเจวี้ยนนั่งอยู่ในที่นั่งผู้โดยสาร เขาเอนหลังพิงเบาะ มองกระจกมองหลัง เธอถือแก้วชานมไข่มุก สีหน้าของเธอดูดีขึ้นมากแต่จิตใจยังอ่อนแอ “เธอทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านชานมไข่มุกด้วยเหรอ” 

 

 

ฉินหร่านเขี่ยหลอดและพยักหน้า 

 

 

เฉิงเจวี้ยนเปรยตาขึ้นมอง “เงินไม่พอใช้เหรอ” 

 

 

เขานึกถึงหนิงฉิงที่ใส่แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมได้อย่างไร เขาไม่รู้รายละเอียดของครอบครัวเธอ แต่หนิงฉิงดูไม่เหมือนคนที่มาจากครอบครัวยากจน 

 

 

“ค่ะ” ฉินหร่านพยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

เฉิงเจวี้ยนก็ไม่พูดอะไรอีก 

 

 

** 

 

 

ณ ตระกูลหลิน 

 

 

คืนนี้คนในตระกูลหลินและหลินจิ่นเซวียนอยู่บ้าน ฉินอวี่ตรงกลับมาที่บ้านเลยเนื่องจากไม่มีคาบศึกษาด้วยตัวเองสำหรับเธอ คาบศึกษาด้วยตัวเองในชั้นมัธยมต้นมีไว้สำหรับนักเรียนโรงเรียนประจำ ฉะนั้นเธอจึงเป็นอิสระมากขึ้น 

 

 

ที่โต๊ะอาหารค่ำของตระกูลหลินสนใจอยู่สามเรื่อง หนึ่งคือช่วงนี้หลินจิ่นเซวียนงานยุ่งมาก สองคือตอนที่หลินหว่านจะกลับปักกิ่ง และสุดท้ายคือเรื่องการเรียนของฉินอวี่ 

 

 

“เฟิงฉือกลับมาหรือยัง” หลินฉีคุยกับหลินจิ่นเซวียนแบบไม่ใส่ใจ 

 

 

หลินจิ่นเซวียนพยักหน้า “คราวนี้โครงการของเราอยู่ที่อวิ๋นเฉิง เดี๋ยวเขาก็กลับมาครับ” 

 

 

หลินฉีตบบ่าเขา “ทำดีกับเขาหน่อยล่ะ” 

 

 

ตระกูลเฟิงเป็นตระกูลที่มีเกียรติในอวิ๋นเฉิง พ่อเขาเป็นนายกเทศมนตรีและตระกูลหลินก็มีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเฟิง แม้แต่หลินฉีก็ใช่ว่าจะขอพบนายกเทศมนตรีได้ง่ายๆ  

 

 

ถึงกระนั้นหลินจิ่นเซวียนก็สนิทสนมเฟิงฉือ 

 

 

หลินหว่านหัวเราะ เธอตักผักให้หลินจิ่นเซวียนชิ้นนึงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล “ตระกูลเฟิงมีรากฐานที่มั่นคง ถ้าคุณสองคนร่วมมือกันไม่มีทางเจอปัญหาหนักแน่ค่ะ” 

 

 

หลินจิ่นเซวียนพยักหน้า “ใช่ครับ” 

 

 

พอพูดเรื่องหลินจิ่นเซวียนเสร็จ ก็กลับมาคุยเรื่องของฉินอวี่อีกครั้ง 

 

 

หลินหว่านถามละเอียดมากหน่อย ทำให้รู้ว่าฉินอวี่ทำคะแนนสอบได้ดี จึงชมเธอยกใหญ่ 

 

 

“นี่เป็นการสอบปกติ ได้ที่เก้าก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยค่ะ” ฉินอวี่ยิ้ม พูดอย่างถ่อมตัว แต่ซ่อนน้ำเสียงที่ดูภูมิใจไว้ไม่มิด 

 

 

“หนูนี่ถ่อมตัวจังเลย” หลินฉียิ้มอย่างพอใจ 

 

 

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีมากๆ หนิงฉิงนั่งถัดจากหลินฉี เธอตักเนื้อให้หลินฉีพร้อมกับส่งยิ้มให้ และเธอก็เรียกให้ป้าจางให้หยิบถ้วยน้ำแกงอีกใบมา 

 

 

เธอทำทุกอย่างเหมือนเป็นเจ้าของบ้าน 

 

 

หลินหว่านชายตามองเธอก่อนวางตะเกียบลง 

 

 

“อวี่เอ๋อร์ ได้ยินว่าพี่สาวของหนูก็อยู่โรงเรียนอีจงนี่นา เป็นยังไงบ้างล่ะ” หลินหว่านถามพร้อมกับส่งยิ้มให้ 

 

 

ใบหน้าหนิงฉิงแข็งค้าง 

 

 

ท่าทางของฉินอวี่ยังคงเป็นปกติ “ฉันไม่ได้อยู่ชั้นเดียวกับพี่ค่ะ ก็เลยไม่ค่อยรู้…” เธอหยุดพูด “แต่พอเห็นพี่ได้คะแนนวิชาอังกฤษสามสิบคะแนน ก็คิดว่าพี่คงเพิ่งจะเข้ามาเลยยังไม่ชินกับวิธีการสอนของโรงเรียนนี้ พอชินแล้วก็คงจะเข้าที่เองแหละ” 

 

 

“เอ้อ…” หลินหว่านหยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดที่มุมปาก เสียงเธอขุ่นมัว “การศึกษาที่หมู่บ้านหนิงไห่แย่มากจริงๆ ขอบคุณพระเจ้าที่อวี่เอ๋อร์โตมาในตระกูลหลินของเรา” 

 

 

สีหน้าหนิงฉิงยิ่งแย่ลง 

 

 

หลังมื้ออาหาร ทุกคนที่โต๊ะก็แยกย้ายไปทำเรื่องของตนเอง 

 

 

ฉินอวี่ขึ้นไปซ้อมไวโอลินด้านบน แผ่นโน้ตไวโอลินอยู่ข้างหน้าเธอ เธอเล่นอยู่หลายครั้ง 

 

 

แม้ว่าเพลงจะไพเราะ แต่ฉินอวี่ไม่สามรถสื่ออารมณ์ในเพลงออกมาได้ 

 

 

เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้พักนึงและล็อกโน้ตเพลงอีกครั้ง แม้ว่าเพลงจะไพเราะ แต่มันใช้เวลามากไป เธอจึงไม่ได้ซ้อมอีก 

 

 

ห้องอ่านหนังสือก็อยู่ที่ชั้นสองเช่นกัน 

 

 

“พี่จะกลับปักกิ่งเมื่อไร” หลินฉีรินชาใส่แก้วให้หลินหว่านและพูดอย่างแผ่วเบา 

 

 

หลินหว่านนวดขมับตัวเองอย่างอ่อนล้า “อีกสองวัน” 

 

 

“ดูด้วยว่าต้องไปเมื่อไหร่” หลินฉีพยักหน้า 

 

 

หลินหว่านหยิบชาขึ้นมาจิบ “เรื่องครูเว่ย เมื่อวานนี้ฉันได้ยินที่อวี่เอ๋อร์เล่นไวโอลิน ฉันคิดว่าเธอเล่นแต่เพลงที่ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้ว” 

 

 

“เธอยังเด็ก” หลินฉีหัวเราะ “ยังแต่งเพลงไม่ได้หรอก” 

 

 

“ครูเว่ยชอบลูกศิษย์ที่มีจิตวิญญาณของตัวเอง เพลงสมัยนิยมแบบนี้ทำให้เขาประทับใจไม่ได้หรอก ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้ เพื่อให้อวี่เอ๋อร์เต็มที่กับการแต่งเพลง ยังพอมีเวลาอยู่” หลินหว่านวางแก้วชาลงแล้วพูดอย่างช้าๆ “ฉันจะพาเธอไปปักกิ่งสักสองสามวัน คุณพ่อต้องชอบแน่ๆ” 

 

 

“เอาตามที่พี่บอกแล้วกัน” หลินฉีไม่ออกความเห็น หลายปีมาแล้วที่เขาถือว่าฉินอวี่เป็นลูกสาวแท้ๆ ของเขา 

 

 

บรรยากาศของทั้งคู่ดีขึ้น 

 

 

หนิงฉิงเดินเข้าห้องพร้อมกับโทรศัพท์มือถือของเธอ ใบหน้าซีดเซียว 

 

 

หลินหว่านเล่นเวตยกน้ำหนักตอนกลางคืน เมื่อหลินหว่านกลับมา ป้าจางและคนอื่นๆ ก็เข้ามารายล้อมตัวเธอ 

 

 

หนิงฉิงรู้สึกไม่สบายใจ 

 

 

เธอเอาสมุดโทรศัพท์มาดูเบอร์แล้วกดหมายเลข 

 

 

** 

 

 

ตอนเย็นลู่จ้าวอิ่งยังคงสั่งอาหารที่โรงแรมเอินอวี๋ 

 

 

ฉินหร่านอยากจะขอบคุณทั้งคู่ สำหรับความช่วยเหลือที่อบอุ่นทั้งตอนเที่ยงและตอนเย็น คิดไม่ถึงว่าลู่จ้าวอิ่งจะไม่ให้โอกาสเธอเลย 

 

 

เฉิงเจวี้ยนให้เธอนั่งพัก จากนั้นก็เอาเทอร์โมมิเตอร์วัดอุณหภูมิของเธอ เมื่อเห็นว่าไข้เธอลดลงแล้ว เขาก็รินน้ำให้เธอแก้วนึงและกลับไปนั่งที่โซฟา 

 

 

ฉินหร่านจิบน้ำ มันให้รสหวาน 

 

 

ไม่อยากจะเชื่อเลย 

 

 

เธอรู้สึกดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

เธอถูแก้วและมองเฉิงเจวี้ยนกับลู่จ้าวอิ่ง แม้ว่าสองคนนี้จะเป็นนายทุน แต่พวกเขาก็เป็นเจ้านายที่ดีมาก เพราะพวกเขาไม่ยอมให้เธอทำงาน ฉินหร่านจึงต้องหาวิธีอื่น 

 

 

เธอสูดลมหายใจและมองไปที่เฉิงเจวี้ยน อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่โทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นเสียก่อน 

 

 

เป็นเสียงของหนิงฉิงที่ฟังดูฉุนเฉียวและเหมือนจะระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ จึงมาลงกับเธอ “ฉินหร่านทำไมถึงเรียนในโรงเรียนอีจงได้ไม่ดีเลย ทำคะแนนมาได้ยังไงสามสิบคะแนน คะแนนแค่นี้จะเอาไปเข้าเรียนที่ไหนได้ รู้ไหมที่โต๊ะข้าวเย็นวันนี้…!” 

 

 

ฉินหร่านติดต่อกับหนิงฉิงน้อยมาก 

 

 

เธอปวดหัวตุบๆ เพราะเสียงแหลมๆ นั่นทำให้เส้นเลือดของเธอตึงขึ้น เด็กสาวจึงกระแอมขึ้นสองครั้งก่อนจะพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ถ้าไม่มีอะไรจะพูด งั้นแค่นี้นะคะ” 

 

 

ถ้าเป็นไปได้หนิงฉิงก็ไม่อยากสนใจ แต่เด็กคนนี้ดันเป็นลูกของเธอ คนนอกมักจะชี้มาที่เธอและพูดว่าดูสิ ลูกสาวหนิงฉิงได้ที่โหล่นี่นา 

 

 

เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก “แม่จะไปหาครูสองสามคนมาสอนแก แกจะต้องไปเรียน ถือโอกาสไปพักร้อนจะได้ไม่ไปสร้างปัญหาที่ไหนอีก…” 

 

 

เธอยังพูดไม่จบ 

 

 

แต่ฉินหร่านวางสายไปแล้ว 

 

 

ฉินหร่านวางโทรศัพท์ทิ้งไว้แล้วเอนหัวไปด้านหลัง ดวงตาคู่สวยหรี่ลงอย่างอวดดี “มีคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นไหมคะ”