บทที่ 31 อีกไม่นาน... ร้านเล็กๆ นี้จะคลาคล่ำไปด้วยลูกค้า

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

ทั้งร้านตกอยู่ท่ามกลางความเงียบประหลาด

จีเฉิงเสวี่ยมองเจ้าขาวที่หน้าตาพอจะน่ารักอยู่บ้างด้วยความตกใจ ความสามารถในการต่อสู้ของหุ่นเชิดโลหะตัวนี้เหนือความคาดหมายของเขาโดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนระดับห้าขั้นราชันยุทธการนั้นแม้แต่ตัวเขาเองยังยากจะต่อกรด้วย แต่เจ้าขาวกลับจับผู้ฝึกตนระดับนี้แก้ผ้าแล้วโยนทิ้งออกนอกร้านได้สบายๆ

องค์ชายสามไม่คิดว่าปู้ฟางจะสงบนิ่งถึงเพียงนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้กระบี่เกือบพุ่งถึงตัวชายหนุ่มแล้ว แต่เขากลับรักษาความนิ่งเอาไว้ได้ อีกฝ่ายเชื่อมั่นในตัวหุ่นเชิดมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ

นักฆ่าที่เหลืออีกสามคนตื่นจากความตกใจในที่สุด ดวงตามองไปที่เจ้าขาวราวกับกำลังมองศัตรูตัวฉกาจที่สุดในชีวิต พวกเขาไม่กล้าประเมินปู้ฟางต่ำอีกต่อไปแล้ว แล้วเหตุผลก็ไม่ใช่อื่นใด นอกจากหุ่นเชิดที่ซ้อมสหายของพวกเขาจนปางตายภายในสองหมัด

“ข้อมูลต้องผิดพลาดแน่ๆ! ร้านนี้มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!” นักฆ่าทั้งสามมองหน้ากัน ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกไม้ไผ่ฉายแววจริงจังเป็นอย่างมาก

ภารกิจสังหารองค์ชายของพวกเขาพังไม่เป็นท่าไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยอาชีพนักฆ่า หากความพยายามสังหารครั้งแรกไม่สำเร็จผล สิ่งที่ควรทำต่อจากนั้นคือล่าถอยทันที แล้วค่อยย้อนกลับมาหาโอกาสใหม่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงล้มเลิกภารกิจสังหารจีเฉิงเสวี่ย แล้วรีบพุ่งไปที่ทางเข้าร้าน

แต่จะหนีพ้นเงื้อมมือของเจ้าขาวไปได้อย่างไรกันเล่า ร่างของทั้งสามที่กำลังพยายามหลบหนีถูกพลังมหาศาลดึงเอาไว้แล้วลากให้มาอยู่เบื้องหน้าหุ่นเชิดโลหะ

ดวงตาจักรกลของเจ้าขาวกะพริบปริบ มันส่งฝ่ามือออกกระแทกเหยื่อสามครั้งรวด นักฆ่าทั้งสามกระอักเลือดออกมายกใหญ่ ร่างทรุดลงไปที่พื้น หมวกไม้ไผ่บนศีรษะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ส่วนเจ้าของร่างก็นอนนิ่งไม่ไหวติง

เสียงฉีกดังแขวกสะท้อนไปทั่วร้าน นักฆ่าถูกโยนออกจากร้านในสภาพเปลือยเปล่าเหมือนคนแรก ตกลงกระแทกพื้นตรอก มีเพียงผ้าเตี่ยวผืนเล็กปิดกันอุจาดเท่านั้น

ฝนยังคงตกหนัก หยดน้ำเทลงมาจากฟากฟ้า สร้างม่านสายน้ำที่ห่อหุ้มโลกทั้งใบเอาไว้

หลังจากทำภารกิจเสร็จครบทุกอย่าง เจ้าขาวก็เอาหมัดสองข้างของตนมาชนกัน ดวงตาของมันเป็นประกาย ดูท่าทางมีความสุขขณะกลับเข้าครัวไป

ความเย็นเยียบในดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยค่อยๆ หายไป กลับไปสู่ความสุขุมดังเดิม มุมปากของเขายิ้มน้อยๆ ขณะมองไปที่ปู้ฟางเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่

องค์ชายสามเข้าใจในตอนนั้นเองว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อครัวผู้นี้ ที่มีพลังปราณเพียงระดับสองขั้นเจ้ายุทธการแม้แต่น้อย

“จะสั่งอะไร” ปู้ฟางไม่สนใจสายตาของจีเฉิงเสวี่ย แล้วถามด้วยสีหน้าเฉยเมย

“ข้าขอปลาดองเหล้าหนึ่งจาน วันนี้ข้าโชคดีเหลือเกินที่เถ้าแก่ปู้อยู่ช่วยพอดิบพอดี ข้าอยากดื่มสุราฉลองยิ่งนัก แต่ร้านก็ไม่มีสุราขายเสียนี่ จึงทำได้เพียงสั่งปลาดองเหล้าเท่านั้น” องค์ชายสามจีเฉิงเสวี่ยหัวเราะในลำคอ พร้อมพยักหน้าให้ปู้ฟาง

หากไม่ได้เจ้าขาวช่วย เหตุการณ์เมื่อครู่คงเป็นอันตรายต่อตัวเขายิ่งนัก เขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าคนพวกนี้จะอุกอาจถึงขั้นกระทำการในนครหลวง

“อีกไม่กี่วันเราจะมีสุราชั้นเลิศขายแล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่มี” ปู้ฟางพูดเรียบๆ ก่อนหันหลังเดินกลับเข้าครัว ระหว่างทางเขาเอามือตบหัวโอวหยางเสี่ยวอี้เบาๆ ด้วย เด็กหญิงยังคงอึ้งกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้อยู่

“อะไรนะ จะมีสุราขายรึ” ดวงตาของจีเฉิงเสวี่ยเป็นประกาย รอยยิ้มของเขาพลันกว้างขึ้นขณะมองไปที่ร่างโปร่งของปู้ฟางซึ่งกำลังเดินเข้าครัวไป

“เสี่ยวอี้ ข้าจะออกไปข้างนอกพักหนึ่ง เก็บปลาดองเหล้าเอาไว้ให้ข้าด้วยนะหากทำเสร็จแล้ว” จีเฉิงเสวี่ยพูดกับโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ยังคงงุนงงอยู่ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ เดินตรงไปที่ทางเข้าร้าน

“อ้อ หา ท่านจะออกไปทำไมกัน” เด็กสาวถามอย่างงุนงง

ทว่าจีเฉิงเสวี่ยไม่ได้ตอบนาง ทำเพียงเดินออกจากร้านไปเท่านั้น

ทันทีที่ก้าวออกจากร้านไปเพียงก้าวเดียว สีหน้าของจีเฉิงเสวี่ยก็พลันเปลี่ยนไป รอยยิ้มอ่อนโยนสุขุมบนใบหน้ามลายหายไปสิ้น จิตสังหารชวนเสียวสันหลังวาบเข้ามาแทนที่

เขากางร่มออกกันฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า น้ำฝนสาดกระเซ็นใส่รองเท้าและเสื้อผ้าจนเปียกชุ่ม

นักฆ่าทั้งสี่คนที่โดนโยนทิ้งออกมาในตรอกพยายามยืนขึ้นอย่างยากลำบาก แทบเปิดตาไม่ขึ้นเพราะฝนที่เทลงมารดร่างกาย มองเห็นเพียงร่างๆ หนึ่งที่ยืนถือร่มกระดาษเคลือบน้ำมันอยู่ท่ามกลางม่านหมอกนั้น

ภาพเบื้องหน้าหยุดเคลื่อนไหวทันที ดวงตาพลันเบิกกว้างอย่างพร้อมเพรียงกัน

……

จีเฉิงเสวี่ยกลับเข้ามาในร้านที่มีบรรยากาศอบอุ่นอีกครั้ง เขาพ่นลมอุ่นจากปากสู่มือ แล้วถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกันเพื่อไล่ความหนาวเย็นออกจากร่างกาย จากนั้นก็สะบัดหยดน้ำฝนออกจากชุดคลุม ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนสุขุมดังเดิม

“เสี้ยวอี้ ปลาดองเหล้าได้หรือยัง”

เด็กหญิงกระพริบตาปริบ “ยัง แต่ข้าได้กลิ่นเหล้าแล้ว น่าจะเร็วๆ นี้แหละ”

จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าแล้วกลับไปนั่งที่เดิม น้ำฝนที่เจือสีแดงค่อยๆ ไหลออกจากปลายชุดคลุมแทบเท้า โอวหยางเสี่ยวอี้มองแอ่งน้ำสีแดงที่พื้นอยู่สักพัก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

องค์ชายสามเองก็ไม่ได้พูดสิ่งใดเช่นกัน เขาหลับตาลงเพื่อพักผ่อน ราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

ครู่หนึ่งกลิ่นสุราหอมเข้มข้นก็ลอยล่องออกจากครัวเข้าปกคลุมทั่วทั้งร้าน พัดพาเอาจิตสังหารที่หลงเหลืออยู่ออกไปจนหมดสิ้น

โอวหยางเสี่ยวอี้เดินโงนไปเงนมาในมือถือจานปลาดองเหล้าเอาไว้ กลิ่นหอมโชยขึ้นจากจานระหว่างทางจากห้องครัวมาห้องอาหาร นางใช้ผ้าเช็ดหน้าผูกปมอุดรูจมูกของตนไว้ บังคับร่างกายให้ไม่ได้กลิ่น ดวงตาของเด็กหญิงจ้องมองปลาดองเหล้าตาเป็นมัน ขณะวางจานลงบนโต๊ะของจีเฉิงเสวี่ย

“นี่เจ้าค่ะท่านพี่องค์ชาย ปลาที่สั่งได้แล้ว” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดเสียงขึ้นจมูก

“ฮ่าๆ เสร็จเสียที ข้าอยากกินปลาดองเหล้ายิ่งนัก ในสายตาข้าทั้งจักรวรรดินี้ไม่มีผู้ใดยอดเยี่ยมเท่าเถ้าแก่ปู้อีกแล้ว” จีเฉิงเสวี่ยหัวเราะในลำคอ มือตบศีรษะโอวหยางเสี่ยวอี้เบาๆ

ปู้ฟางเองก็เดินออกมาจากครัวเช่นกัน เขาถือชามข้าวผัดไข่มาวางลงตรงข้ามที่นั่งของจีเฉิงเสวี่ย ชี้นิ้วไปที่ชามข้าวนั้น แล้วหันไปพูดกับเด็กหญิง “นี่อาหารเช้าของเจ้า”

เด็กหญิงที่ยังตกใจจากเหตุการณ์ลอบสังหารอยู่กลับมาสงบนิ่งทันที ดวงตาของนางสว่างวาบขณะนั่งลงตรงข้ามองค์ชายสาม แล้วเริ่มตั้งหน้าตั้งตากินข้าวผัดไข่

ท่วงท่าการกินของจีเฉิงเสวี่ยสง่างามยิ่งนัก ดูก็รู้ว่าเป็นบุรุษที่มีวินัยเป็นอันมาก

“เถ้าแก่ปู้ เจ้าไม่อยากมาเป็นพ่อครัวหลวงจริงๆหรือ ด้วยทักษะที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เจ้าเป็นได้ถึงหัวหน้าพ่อครัวในวังเชียวนะ” จีเฉิงเสวี่ยพยายามโน้มน้ามปู้ฟางอีกครั้ง

“ข้าไม่สนใจอยากจะเป็นพ่อครัวประจำตัวใครทั้งสิ้น หากจักรพรรดิอยากกินอาหารของข้า ก็ให้มาเข้าแถวรอเหมือนคนอื่น” ปู้ฟางตอบอย่างไม่รู้สึกรู้สา ด้วยน้ำเสียงและท่าทีที่ตรงไปตรงมา ไร้ซึ่งการแสร้งทำอย่างสิ้นเชิง

“แต่ด้วยความสามารถของเถ้าแก่ปู้ ข้าว่าช่างน่าเสียดายนักหากเจ้าเลือกอยู่ที่นี่ต่อไป ถ้าเจ้าเข้าไปทำงานในครัวหลวง จะต้องมีโอกาสได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าผู้คนมากมายเป็นแน่” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมถอนหายใจ

“ใครบอกกันว่าข้าไม่สามารถแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ต่อหน้าผู้คนมากมายในตรอกนี้ได้ ข้าว่าอีกไม่นานนักร้านนี้จะต้องคลาคล่ำไปด้วยลูกค้าอย่างแน่นอน” ปู้ฟางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังมั่นใจ

จีเฉิงเสวี่ยตกใจเล็กน้อยกับคำตอบของชายหนุ่มเจ้าของร้าน แล้วพูดออกมาอย่างลืมตัว “เป็นไปไม่ได้หรอก ด้วยราคาอาหารของเจ้า คนธรรมดาไม่มีกำลังจ่ายแน่นอน”

“ไม่ ไม่ใช่ว่าจ่ายไม่ได้ แต่กินไม่ได้ต่างหาก เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าเหตุใดอาหารของข้าถึงตั้งราคาไว้แพงนัก” ปู้ฟางตอบเสียงเรียบ

ไม่ว่าจะเป็นข้าวผัดไข่สูตรธรรมดาหรือสูตรปรับปรุง ปลาดองเหล้าหรือน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา วัตถุดิบที่เลือกใช้ล้วนมาจากอสูรเวทและสมุนไพรอันเต็มไปด้วยพลังปราณเลอค่า อสูรเวทนั้นมีราคาแพงอยู่แล้วเนื่องจากจับได้ยาก การนำพวกมันมาเป็นวัตถุดิบทำอาหารนั้นจัดได้ว่าเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ ส่วนสมุนไพรพลังปราณเองก็เก็บเกี่ยวได้ยากและมักใช้ปรุงเป็นโอสถบำรุงพลังปราณ

อาหารของปู้ฟางเก็บรักษาพลังปราณจากวัตถุดิบเอาไว้ได้แทบจะครบถ้วน อาหารของเขาเมื่อกินเข้าไปทำหน้าที่เหมือนโอสถซึ่งช่วยบำรุงพลังปราณ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้อาหารของเขาแพงนัก และเป็นความจริงที่จีเฉิงเสวี่ยกับคนอื่นๆ มองข้ามไป

ปู้ฟางรู้สึกว่าตนเองจะต้องย้ำเตือนความจำเด็กอมมือนี่เสียหน่อย

จีเฉิงเสวี่ยที่กำลังคีบปลาดองเหล้าขึ้นมาชะงักทันที รูม่านตาพลันหดแคบลง เขาตกใจกับความจริงข้อนี้เป็นอันมาก หัวใจเหมือนถูกทุบด้วยก้อนหินยักษ์

ใช่แล้ว! ด้วยความที่จีเฉิงเสวี่ยมีพลังปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการ เขาต้องสะสมพลังปราณอีกจำนวนมากกว่าจะบรรลุขั้นต่อไป อาหารของปู้ฟางช่วยเขาไม่ได้ในจุดนี้ จีเฉิงเสวี่ยมากินข้าวที่ร้านของปู้ฟางทุกวันเพราะชื่นชอบในรสชาติอาหารเท่านั้น

แต่เมื่อปู้ฟางเตือนความจำของเขาอีกครั้ง ชายหนุ่มก็กลับมาตระหนักได้ว่าแม้อาหารเหล่านี้จะช่วยเพิ่มพลังปราณให้เขาได้น้อยมากเนื่องจากระดับปราณที่อยู่ในขั้นสูงของเขา แต่มันก็หาเป็นเช่นนั้นไม่สำหรับคนอื่นๆ ที่อยู่ในขั้นคลั่งยุทธการหรือขั้นจิตยุทธการ!

“อีกอย่างหนึ่ง ข้าต้องเตือนความจำเจ้าไว้อีกเรื่อง ในอนาคตจะมีอาหารรายการใหม่ๆ ออกมาอีกมาก และวัตถุดิบที่นำมาใช้จะทรงพลังขึ้นเรื่อยๆ …” ปู้ฟางพูดช้าๆ

“อาจมีโอกาส… ที่เนื้อของสัตว์อสูรเวทระดับเก้าจะโผล่มาก็เป็นได้!”

……………………………