บทที่ 32 ร้านเล็กๆ ของฟางฟางจะต้องกลายเป็นร้านยอดนิยม!

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“เนื้อของอสูรเวทระดับเก้าในตำนานเช่นนั้นรึ!”

มุมปากของจีเฉิงเสวี่ยกระตุก ดวงตาขององค์ชายหนุ่มจับจ้องอยู่ที่ปู้ฟางผู้กำลังแสดงสีหน้าลึกลับ หากจีเฉิงเสวี่ยไม่ได้มองปู้ฟางเปลี่ยนไปจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขาคงคิดว่าพ่อครัวหนุ่มตรงหน้ามีปัญหาด้านพัฒนาการทางสมองอย่างแน่นอน

อสูรเวทในตำนานคืออะไรน่ะหรือ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดทั่วทั้งจักรวรรดิวายุแผ่วคือเสี่ยวเหมิง แม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของอาณาจักร กระนั้นแม่ทัพเสี่ยวเหมิงผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักที่อยู่รายรอบต้องสยบนั้น ยังมีปราณอยู่เพียงระดับเจ็ดขั้นนักพรตยุทธการเท่านั้น…

แต่เถ้าแก่เจ้าของร้านจากตรอกเล็กๆ แสนห่างไกลในนครหลวงที่มีปราณเพียงระดับสองขั้นเจ้ายุทธการ กลับพูดถึงเนื้อของอสูรเวทในตำนาน… จีเฉิงเสวี่ยไม่รู้ว่าอสูรเวทในตำนานนั้นแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็พออนุมานได้จากระดับความเยี่ยมยุทธ์ของแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหมิง

อสูรเวทในตำนานหนึ่งตัวน่าจะมีพละกำลังเทียบเท่าแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหมิงสิบกว่าคน และแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหมิงสามารถสยบผู้เยี่ยมยุทธ์หลายร้อยคนจากสำนักน้อยใหญ่ได้ ดังนั้นแม่ทัพใหญ่เสี่ยวเหมิงสิบกว่าคน… คงสามารถทำลายพระราชวังหลวงให้ราบเป็นหน้ากลองได้เพียงปัดมือหนึ่งครั้งเป็นแน่

“เถ้าแก่ปู้นี่ชอบล้อเล่นเสียจริง ข้าเคยไปเยือนมาหลายที่ แต่ก็ไม่เคยได้ยินเรื่องอสูรเวทในตำนานระดับเก้าแม้แต่น้อย” จีเฉิงเสวี่ยพูดพร้อมยิ้มบาง ปลาดองเหล้าในจานหมดพอดิบดีพอ

ปู้ฟางไม่ตอบอะไร ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าจีเฉิงเสวี่ยไม่เชื่อคำที่เขาพูด แต่ก็ไม่ได้ดึงดันอะไรอีกเนื่องจากคิดว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ อสูรเวทในตำนานนั้นฟังดูน่าประหวั่นพรั่นพรึงเกินไปจริงๆ

“ในความเป็นจริงแล้ว ระดับของอสูรเวทยิ่งมาก เนื้อก็ยิ่งมีคุณภาพตามขึ้นไปอีก ถือเป็นวัตถุดิบตามธรรมชาติที่มีคุณภาพดีที่สุด หากองค์ชายหาวัตถุดิบอะไรดีๆ มาได้ ก็สามารถนำมาที่ร้านให้ข้าทำเป็นอาหารให้กินได้” ปู้ฟางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ระบบของเขามีระดับสองดาวแล้ว นั่นแปลว่าเขาสามารถใช้วัตถุดิบที่ลูกค้าหามาเพื่อประกอบอาหารได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจย้ำเตือนความจริงข้อนี้กับจีเฉิงเสวี่ย

“อ้าว ข้าสามารถนำวัตถุดิบมาได้เองหรือ ฟังดูน่าสนใจทีเดียว” ดวงตาขององค์ชายหนุ่มสว่างวาบขึ้น เขาพยักหน้าตอบรับ

ฝนค่อยๆ หยุดตก เมฆทะมึนครึ้มเบาบางลงเรื่อยๆ แสงแดดอบอุ่นส่องทะลุผ่านม่านกำบังเหล่านั้นลงมายังผืนดิน

จีเฉิงเสวี่ยลุกขึ้นยืนพร้อมหยิบผลึกยี่สิบผลึกจากถุงเงินส่งให้ปู้ฟาง จากนั้นก็ลูบหัวโอวหยางเสี่ยวอี้ที่ยังคงกินข้าวผัดไข่อย่างมูมมาม แล้วออกจากร้านไปพร้อมร่มกระดาษเคลือบน้ำมันในมือ

ฝนที่หยุดตกมาพร้อมแอ่งน้ำมากมายบนพื้นกรวดในตรอก ต้นมอสสีเขียวชอุ่มดูสดใสมีชีวิตชีวา หยดน้ำฝนชุ่มฉ่ำไหลลงมาเป็นสายจากกำแพงตรอกที่ยังคงเปียกปอน

สุนัขสีดำตัวใหญ่ยังคงนอนอืดอยู่ที่ทางเข้าร้าน มันอ้าปากหาวหวอดด้วยความเกียจคร้าน ขนของมันยังคงอ่อนนุ่มเป็นเงางามไร้ซึ่งหยดน้ำแม้หลังฝนตก

อาคารน้อยใหญ่เรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบภายในอาณาเขตของพระราชวังหลวง

กองราชองครักษ์ในชุดเกราะกำลังเดินลาดตระเวนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม บรรดาทหารเหล่านี้แข็งแกร่งพอตัว ผู้ที่มีขั้นปราณน้อยที่สุดอยู่ที่ระดับสามขั้นคลั่งยุทธการ ส่วนผู้นำกองทหารราชองครักษ์มีปราณอยู่ที่ระดับห้าขั้นราชันยุทธการ

จีเฉิงเสวี่ยกลับมาถึงพระราชวัง บรรดาหัวหน้ากองทหารองครักษ์พากันทำความเคารพเขาทันที องค์ชายสามพยักหน้าให้ทหารแต่ละคนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หลังจากที่ผ่านทางเข้าพระราชวังมาแล้ว องค์ชายก็เดินมาถึงประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ขนาดมโหฬาร จัตุรัสนั้นมีเสาศิลาหกเสาตั้งตระหง่านอยู่ บนเสาสลักรูปปั้นนูนต่ำลวดลายอสูรและสมบัติประหลาดมากมาย

จีเฉิงเสวี่ยยืนอยู่เบื้องหน้าประตูจัตุรัสมายาสวรรค์ สายตาทอดมองไปยังลานกว้างด้วยใบหน้าแปลกประหลาด เขาสูดหายใจเข้าลึกเอาอากาศสดชื่นหลังฝนตกเข้าไปเต็มปอด

วังขององค์ชายรัชทายาทอยู่หลังประตูจัตุรัสมายาสวรรค์นี้เอง

หลังจากที่ผ่านประตูจัตุรัสมายาสวรรค์เข้าไป จะพบวังขององค์ชายรัชทายาทซึ่งตั้งห่างจากท้องพระโรงของวังหลวงไปทางซ้ายราวครึ่งลี้ วังขององค์ชายรัชทายาทสร้างด้วยศิลาสีทองและกระเบื้องสีแดง ดูยิ่งใหญ่โอ่อ่าอลังการเป็นอันมาก

“องค์ชายพะย่ะค่ะ สายสืบของเรารายงานมาว่ามีผู้พยายามลอบสังหารองค์ชายสามที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในนครหลวง” ชายวัยกลางคนหนวดงามคนหนึ่งพูดกับชายหนุ่มผู้ประทับอยู่ในวังขององค์ชายรัชทายาท ในมือของชายวัยกลางคนผู้นั้นถือกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง

ชายหนุ่มสวมชุดคลุมลายพญางูสีทองและพระสุวรรณมงกุฎสีม่วงบนศีรษะ ใบหน้าของเขาขาวซีด คิ้วเรียวยาวชี้ขึ้น ดวงตาแหลมเฉียงขึ้นด้านบนเหมือนกระบี่คมกริบ ทำให้เขาดูทั้งชั่วร้ายและทรงอำนาจไปในเวลาเดียวกัน

“อ้อหรือ แล้วตายหรือยังเล่า” ชายหนุ่มถาม สิ่งแรกที่เขาสนใจคือชะตากรรมของจีเฉิงเสวี่ย

“ยังพะย่ะค่ะ องค์ชายสามใช้เวลาต่อสู้กับสำนักน้อยใหญ่นอกชายแดนอาณาจักรมาเป็นเวลานาน ด้วยความสามารถด้านการยุทธ์ของเขา คงไม่พลาดพลั้งให้นักฆ่าโดยง่ายเป็นแน่” ชายวัยกลางคนมาดสง่าเอ่ยกลั้วเสียงหัวเราะ มือลูบเคราตนเองไปพลาง

“ผู้ที่อาจหาญพอจะลอบสังหารน้องสามจะต้องมีปราณอย่างน้อยที่ขั้นราชันยุทธการ ดังนั้นน้องสามจะต้องได้รับบาดเจ็บแน่ ทว่าหากเขาได้รับบัตรเจ็บแล้วละก็ ทั่วทั้งนครหลวงจะต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน และหากท่านพ่อรู้ สถานการณ์คงไม่เงียบสงบเช่นนี้แน่” องค์ชายรัชทายาทลืมตาขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำเข้มล้ำลึก

“องชายสามมิได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ถือเป็นเรื่องที่ประหลาดยิ่ง หรือจะมีนักรบผู้กล้าคอยให้ความช่วยเหลือเขาอยู่กันแน่” ชายวัยกลางคนครุ่นคิด

“ซูฉี ช่วงนี้น้องสามไปกินข้าวที่ร้านอาหารร้านนั้นตลอดเลยไม่ใช่หรือ ร้านนั้นมีอะไรผิดปกติหรือไม่ เจ้าได้ส่งใครไปตรวจสอบดูหรือยัง” องค์ชายรัชทายาทถาม

“องค์ชายพะยะค่ะ… ร้านนั้นมีอะไรไม่ชอบมาพากลจริงๆ” ชายวัยกลางคนนามว่าซูฉีเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าประหลาด

“หืม ประหลาดอย่างไร”

“มีข่าวลือแพร่สะพัดทั่วนครหลวงว่า ร้านนั้นเป็นร้านอาหารเล็กๆ ที่มีเจ้าของใจดำทมิฬหินชาติ ข้าวผัดไข่ชามหนึ่ง… ราคาแพงถึงสิบผลึกเลยทีเดียว บะหมี่แห้งคลุกชามละร้อยเหรียญทอง ส่วนอาหารจานที่แพงที่สุดคือปลาดองเหล้า ราคายี่สิบผลึก เป็นอาหารที่ราคามหาโหดน่ากลัวมากทีเดียวเชียว” ซูฉีมีสีหน้าประหลาด

“ราคามหาโหดน่ากลัวจริงอย่างที่เจ้าว่า… น้องสามตกหลุมรักร้านอาหารใจดำทมิฬหินชาติเข้าหรอกหรือนี่ ดูเหมือนว่าร้านนี้จะมีอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ ซูฉี เจ้าจงหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนร้านที่ว่านี่เสีย” มุมปากขององค์ชายรัชทายาทยกขึ้นด้วยความรู้สึกสนอกสนใจ

“ยังเหลือเวลาอีกสองวันก่อนที่แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงจะกำชัยกลับมาที่นครหลวง แม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงเป็นชายที่น่ายกย่องเสียจริง เขากำราบสำนักนอกรีตอย่างวังวิญญาณทมิฬได้ในการออกรบเพียงครั้งเดียว ซ้ำยังจับตัวเจ้าสำนักทั้งหกมาได้อีกด้วย เช่นนี้กำลังใจของศิษย์สำนักนั้นจะต้องระส่ำระสายแน่ ถือเป็นลาภอันประเสริฐของจักรวรรดิวายุแผ่วโดยแท้” องค์ชายรัชทายาทลุกขึ้นยืน แล้วเดินไปรอบๆ บริเวณอย่างช้าๆ พร้อมถอนหายใจไปพลาง

“หากข้าอยากทำให้สถานะองค์ชายรัชทายาทของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เพื่อปูทางไปเป็นจักรพรรดิในอนาคต ข้าจะต้องหาทางให้แม่ทัพใหญ่เซียวมาอยู่ข้างข้าให้ได้”

“องค์ชายพะย่ะค่ะ สองสามปีมานี้บรรดาสำนักน้อยใหญ่ต่างพากันกระด้างกระเดื่องมากเหลือ ในเมื่อองค์จักรพรรดิส่งแม่ทัพใหญ่เซียวไปกำราบสำนักเหล่านี้ ข้าเกรงว่าแม่ทัพใหญ่เซียวเหมิงได้กลายเป็นหนามยอกอกบรรดาสำนักน้อยใหญ่ไปเสียแล้ว ขณะที่เขาพาตัวนักโทษเข้านครหลวงมา ข้ามั่นใจว่าบรรดาศิษย์ของสำนักเหล่านั้นจะต้องพยายามก่อความไม่สงบอย่างแน่นอน สายลับของเรารายงานว่า ผู้ฝึกตนจากห้าสำนักในรีตและสามสำนักนอกรีตได้แทรกซึมเข้านครหลวงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว” ซูฉีพูดพร้อมขมวดคิ้ว

“ก่อความไม่สงบรึ เช่นนั้นสิยิ่งดี มีหลายสิ่งที่สำเร็จได้ง่ายขึ้นในยามที่โลกภายนอกกำลังโกลาหล นั่นมิใช่แผนการของน้องสองของข้ารึ มิเช่นนั้นแล้วเขาจะส่งนักฆ่าไปสังหารน้องสามทำไม แต่น้องสองคงไม่ได้คาดคิดว่าน้องสามจะกลับมาได้โดยไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน” องค์ชายรัชทายาทหัวเราะในลำคอ เอามือไพล่หลังพร้อมมองออกนอกหน้าต่างไปไกล

ซูฉีอึ้งอยู่กับที่และไม่ได้พูดอะไรอีก เขาเป็นเพียงที่ปรึกษาองค์ชายเท่านั้น จึงมีหน้าที่พูดในยามที่ควรพูดและเงียบในยามที่ควรเงียบ

“ไม่เป็นไรหรอก ข้ารู้เรื่องของน้องสามแล้ว ข้าไม่เป็นห่วงเขาแม้สักนิด คนที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือน้องสองต่างหาก แต่ถึงอย่างไรเรื่องการลอบสังหารครั้งนี้ก็มีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล จงส่งคนไป… ไม่สิ เจ้าควรไปที่ร้านอาหารเล็กๆ ใจทมิฬหินชาตินั้นด้วยตนเองเลยดีกว่า เป็นร้านที่น่าสนใจดีไม่น้อย” มกุฎราชกุมารเอ่ย

ซูฉีพยักหน้า ผสานกำปั้นและฝ่ามือทำความเคารพอีกฝ่ายจากนั้นก็ถอยออกมา

ณ ตำหนักอวี่อ๋อง

องค์ชายสอง จีเฉิงอวี่ขยำจดหมายในมือทิ้งด้วยสีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ

“ไอ้ร้านอาหารขี้ประติ๋วนั่นบังอาจขวางทางข้ารึ ดูเหมือนว่าจะต้องไปเยือนเสียหน่อยแล้ว ข้าอยากรู้นักว่าใครหน้าไหนในร้านนั้นมันกล้าสังหารนักฆ่าที่มีปราณระดับห้าขั้นราชันยุทธการของข้ากัน” อวี่อ๋องพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

ภายในครึ่งชั่วยามหลังจากความพยายามลอบสังหารองค์ชายสาม บรรดาเจ้าพนักงานชั้นสูงและขั้วอำนาจน้อยใหญ่ในนครหลวงล้วนได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่จวนเซียวหรือจวนโอวหยาง ทุกคนล้วนตกใจกับข้าวที่ได้รับเป็นอันมาก การลอบสังหารองค์ชายนั้นหาใช่เรื่องเล็กไม่

แน่นอนว่านอกจากเรื่องความพยายามสังหารองค์ชายแล้ว อีกเรื่องที่กลายมาเป็นจุดสนใจของบรรดาผู้มียศถาบรรดาศักดิ์จะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากร้านเล็กๆ ของฟางฟาง หลายคนสนอกสนใจร้านที่ขายข้าวผัดไข่ในราคา สิบผลึกร้านนี้เป็นอย่างยิ่ง

ผลที่ตามมาก็คือขั้วอำนาจน้อยใหญ่ต่างพากันส่งคนของตนไปเยี่ยมชมร้านดู

เจ้าของร้านที่กำลังเป็นที่โจษจัน บัดนี้นอนขดตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แสงแดดอุ่นหลังสายฝนพรำอาบไล้ไปทั่วร่าง ส่งให้ชายหนุ่มหาวออกมาอย่างสบายตัว

เจ้าของร้านผู้นี้ยังไม่รู้แม้แต่น้อย ว่าฝูงผู้มียศถาบรรดาศักดิ์ขนาดใหญ่กำลังจะมาเยือนแล้ว

………………………………