บทที่ 33 เช่นนั้นย่อมได้ เจ้าโดนใส่ชื่อในบัญชีหนังหมาแล้ว

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

“ยินดีต้อนรับสู่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง รายการอาหารอยู่บนผนัง ตัดสินใจได้แล้วก็บอกข้า”

ทันทีที่ซูฉีก้าวเข้าร้านมา เสียงเล็กน่ารักก็เอ่ยต้อนรับ เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มจ้องมองเขาพลางกระพริบตาปริบๆ

“นายหญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางรึ” ซูฉีเลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แม้ข้อมูลที่ได้รับจากสายลับจะรายงานไว้อยู่แล้วว่าโอวหยางเสี่ยวอี้อยู่ที่ร้านนี้ด้วย แต่เขาก็ยังตกใจอยู่ดีเมื่อได้มาเห็นของจริง

“เหตุใดองค์หญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางถึงต้องลดตัวมาเป็นบริกรที่ร้านเล็กๆ แห่งนี้ด้วยเล่า นางเสียสติไปแล้วรึ”

ที่หน้าร้าน ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งในชุดพ่อครัวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน เขาขยับคอเสียงดังกรอบ ก่อนเดินไปที่ครัวด้วยท่าทางขี้เกียจถึงขีดสุด

“นั่นน่ะหรือเจ้าของร้าน ระดับพลังปราณต่ำเป็นบ้า… เป็นไปได้อย่างไรกันว่าหมอนี่ที่อยู่เพียงระดับสองขั้นเจ้ายุทธการ จะสังหารนักฆ่าขั้นราชันยุทธการสี่คนได้ อย่างน้อยต้องมีปราณระดับหกขั้นจักรพรรดิยุทธการสิ”

ซูฉีคิดพลางเอามือรูปเครายาวงามของตน ดวงตาจับจ้องไปที่หลังของปู้ฟางด้วยความตกใจ

“นี่ ตกลงเจ้าจะสั่งอะไร” โอวหยางเสี่ยวอี้ถามอย่างไม่สบอารมณ์ นางไม่พอใจที่ตาแก่นี่ไม่สนใจเด็กหญิงหน้าตาน่ารักอย่างนาง แต่กลับจ้องไปที่นายท่านตัวเหม็นแทน ความงามอันน่าตราตรึงใจของนางด้อยกว่าไอ้นายท่านตัวเหม็นนั่นรึ

ซูฉียิ้มอย่างกระอักกระอ่วน จากนั้นก็หันกลับมาสนใจเด็กหญิงอีกครั้ง ดวงตามองไปที่รายการอาหารบนผนัง ทันใดนั้นรูม่านตาของเขาก็หดแคบลง

“ข่าวลือเป็นเรื่องจริงเสียด้วย สมแล้วที่ได้ฉายาว่าเป็นร้านใจไม้ไส้ระกำที่สุดในนครหลวง…” ซูฉีสูดลมเย็นเข้าลึกในปอดพร้อมพูดพึมพำกับตนเอง แม้เขาจะมาสำรวจร้านนี้ตามคำสั่งขององค์ชายรัชทายาท แต่ก็ยังอดตกใจไม่ได้อยู่ดีเมื่อเห็นราคาที่แพงไร้สาระบนรายการอาหาร

“ข้าเอา… น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาก็แล้วกัน” แต่ซูฉีก็ไม่ใช่คนยากจนข้นแค้น เขากวาดตามองรายการอาหารก่อนเลือกสิ่งที่ตนเองชอบกิน น้ำแกงเต้าหู้หัวปลานั่นเอง

“รอสักครู่” เด็กหญิงพ่นลมเยาะก่อนเดินไปในครัว นางไม่ชอบใจเอามากๆ ที่ตาแก่นี่สนใจนายท่านตัวเหม็นมากกว่าเด็กหญิงน่ารักอย่างนาง

ซูฉีหาที่นั่งลงเพื่อรอ ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆ ที่มีโต๊ะเพียงสี่ตัวเท่านั้น บรรยากาศภายในร้านอบอุ่นกะทัดรัด ทั้งเงียบและสะอาด โดยรวมแล้วทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายกายสบายใจ

ตึกๆๆ

เสียงฝีเท้าดังติดๆ กันมาจากภายนอก มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาแต่ไกลและก้าวเข้ามาในร้าน

“หืม ซูฉีรึ” เสียงหนึ่งอุทานขึ้นด้วยความตกใจเล็กๆ ซูฉีประหลาดใจจึงหันไปมองที่ทางเข้าร้าน ก่อนจะเห็นชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่

“เลขาธิการใหญ่ซู ไม่คิดเลยว่าจะเจอกันที่นี่” ซูฉีลุกขึ้นยืนอย่างประหลาดใจ ก่อนทำมือแสดงความเคารพและค้อมตัวลงเล็กน้อย ชายวัยกลางคนตรงหน้าเขาคือเลขาธิการใหญ่จากตำหนักหลวง ตัวซูฉีเองรู้สึกตกใจที่คนผู้นี้ต้องมาเยี่ยมเยียนร้านเล็กๆ แห่งนี้ด้วยตนเอง

แม้จักรวรรดิวายุแผ่วจะเป็นอาณาจักรการยุทธ์แต่ก็ยังมีขุนนางอยู่ เนื่องจากการปกครองบ้านเมืองนั้นต้องใช้ทั้งบุ๋นและบู๊

ซูหยวนชิงจำชายที่มีหนวดยาวงามตรงหน้าได้ทันที ซูฉี คนโปรดขององค์ชายรัชทายาทผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในตำหนักหลวง

แม้จะเคยเห็นหน้าค่าตากันแต่ทั้งสองก็ไม่ได้สนิทกัน ดังนั้นจึงแยกกันนั่งหลังจากเสร็จพิธีทักทาย ซูหยวนชิงสั่งข้าวผัดไข่

ตอนนี้ปู้ฟางกำลังวุ่นทำอาหารอยู่ในครัว “ดูเหมือนว่าวันนี้จะมีลูกค้าหน้าใหม่เยอะอยู่ เกิดอะไรขึ้นกัน หรือว่ามีใครในนครหลวงช่วยโฆษณาร้านให้กันแน่”

แม้ปู้ฟางจะประหลาดใจแต่ก็ไม่ได้หยุดมือ เขาตักปลาคาร์ปอัสนีเงินระดับสามขึ้นมาขอดเกล็ด ควักเครื่องในออกให้สะอาดเรียบร้อย แล้วนำปลาไปล้างในน้ำก่อนสับหัวออก

เขาเก็บไว้เพียงหัวปลาเท่านั้น ส่วนที่เหลือโยนลงท้องของเจ้าขาวเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ต่อไปในอนาคต จากนั้นปู้ฟางก็หยิบเต้าหู้หยกผลึกหิมะที่เปล่งประกายระยิบระยับออกมาจากตู้เย็น แล้วเริ่มทำน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาตามที่ลูกค้าสั่ง

ขณะกำลังรอให้น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเดือดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็หยิบไข่ฟองสีขาวขนาดเท่ากำปั้นออกจากตู้เย็น

ไข่นี้เป็นไข่ฟองแรกที่ลูกอินทรีทะเลลึกระดับห้าวางเอาไว้ ภายในอัดแน่นไปด้วยพลังปราณเข้มข้น ปู้ฟางเคาะไข่กับชามกระเบื้องสีขาวอย่างแรง แล้วตอกไข่ใส่ชามด้วยมือเดียว

ขณะที่เขากำลังทำอาหารอยู่นั้น ร้านเล็กๆ ของฟางฟางก็แน่นขนัดไปด้วยลูกค้าแล้ว

“ข้าเอาข้าวผัดไข่”

“ข้าขอบะหมี่แห้งคลุก! เร็วๆ ด้วยเล่า!”

“ข้าสั่งปลาดองเหล้า”

…..

โอวหยางเสี่ยวอี้มองลูกค้าที่เบียดเสียดกันเข้ามาในร้านด้วยใบหน้าตะลึงงัน “ร้านของเรา… โด่งดังขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

นางนับจำนวนลูกค้าได้อย่างน้อยสิบกว่าคน “สวรรค์เป็นพยาน! นี่น่ะหรือร้านที่ร้างจนแทบต้องนั่งตบยุงเมื่อหลายวันก่อน”

“ทุกคน ใจเย็นก่อน ในนี้คนเยอะเกินไปแล้ว โปรดตั้งแถวด้วย” โอวหยางเสี่ยวอี้พูดเสียงดัง นางทำอะไรไม่ได้ไปกว่านี้ เนื่องจากการที่ลูกค้าพยายามเบียดกันเข้ามาในร้านทำให้สถานการณ์วุ่นวายเป็นอย่างยิ่ง นางจึงต้องพยายามให้ทุกคนเข้าแถว เพราะร้านแห่งนี้เล็กเกินไป

“เข้าแถวรึ เจ้าเด็กนี่ รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นพ่อบ้านของขุนนางจางนะ! กล้าดีอย่างไรมาบอกให้ข้าเข้าแถว! รีบไปบอกนายของเจ้าให้เอาอาหารมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ชายวัยกลางคนในชุดคลุมผ้าไหมดุโอวหยางเสี่ยวอี้ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

“เจ้าเป็นพ่อบ้านของขุนนางจางแล้วอย่างไรเล่า! เจ้าหนู รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ข้าเป็นหัวหน้าพ่อบ้านของเจ้ากรมพิธีการ!”

“ไอ้ตำแหน่งหัวหน้าพ่อบ้านของเจ้ากรมพิธีการนี่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าเป็นองครักษ์ประจำตัวของอวี่อ๋องนะ!”

……

โอวหยางเสี่ยวอี้มองกลุ่มลูกค้าตรงหน้าที่เถียงกันไม่หยุดหย่อนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทุกคนต่างทำหน้าทำตาเหมือนตัวเองเป็นคนสำคัญอย่างไรอย่างนั้น

แม้เด็กหญิงจะรู้สึกประหลาดใจที่บรรดาลูกน้องของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์แห่กันมากินข้าวที่ร้านในตรอกเล็กนี้ แต่นางก็ไม่พอใจกับความจองหองของแต่ละคนเช่นกัน

ซูฉีส่ายศีรษะเล็กน้อยขณะฟังการโต้เถียงที่เกิดขึ้นเบื้องหลังตน ในใจคิดว่าช่างน่าขันเสียนี่กระไร เขาเข้าใจดีว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงมาที่นี่ เนื่องจากทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกันกับเขา

ที่น่าตลกคือกลุ่มคนเหล่านี้กลับจำไม่ได้ว่าเด็กหญิงตรงหน้านั้นเป็นใคร และต่างพากันพยายามแซงแถวโดยการอวดเบ่งตำแหน่งของตนเอง

ในบรรดาคนทั้งหมดนี้กลับเป็นบริกรต่างหากที่มีพื้นเพน่าหวั่นกลัวที่สุด แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจจะบอกความจริงข้อนี้ให้รับรู้กันแต่อย่างใด

ตอนนั้นเองกลิ่นอาหารหอมหวนก็ลอยออกจากห้องครัว กลิ่นนั้นเปรียบเสมือนผ้าไหมอ่อนนุ่มที่เข้ามาสัมผัสใบหน้าของทุกคน บรรดาลูกค้าที่อยู่ในห้องอาหารต่างมีสีหน้าเหมือนต้องมนต์สะกด พากันสูดกลิ่นหอมเข้าปอดโดยไม่รู้สึกตัว

ดวงตาของซูหยวนชิงและซูฉีเป็นประกายทันที กลิ่นนี้… หอมเป็นอันมาก! ไม่ประหลาดใจเลยว่าเหตุใดราคาจึงสูงถึงเพียงนี้

ปู้ฟางเดินถือข้าวผัดไข่ออกมาจากครัว เมื่อเห็นฝูงชนในห้องอาหาร ชายหนุ่มก็ชะงักไปชั่วครู่ ถึงกับรับความจริงไม่ได้ไปชั่วขณะว่าร้านของตนเกิดโด่งดังขึ้นมา

กระนั้นเขาก็ยังคงความสงบนิ่งเอาไว้ ความตกอกตกใจคงอยู่เพียงเสี้ยวลมหายใจ ก่อนสีหน้าจะกลับไปเรียบเฉยอีกครั้ง

“ทุกคนเข้าแถวเดี๋ยวนี้ ลูกค้าแต่ละคนสั่งอาหารได้รายการละหนึ่งจานเท่านั้น ห้ามสั่งกลับบ้าน ห้ามลัดคิว ใครก็ตามที่ไม่ทำตามกฎจะต้องถูกจดชื่อลงบัญชีหนังหมา และจะไม่ได้รับการต้อนรับที่ร้านนี้อีกต่อไป” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ เสียงของเขาไม่ได้ดังแต่ก็ดังมากพอที่จะกลบเสียงอื่นได้ทั้งหมด

ตอนนั้นเอง ทั่วทั้งร้านก็ตกอยู่ในความโกลาหล

คนเหล่านี้ถูกนายของตนส่งมาสำรวจร้าน และคุ้นเคยกับการวางตัวเหนือกว่าคนภายนอกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จะไปอดรนทนกับกฎมากมายของร้านเล็กๆ แห่งนี้ได้อย่างไร ทุกคนจึงโวยวายเสียงดังทันที

ปู้ฟางวางข้าวผัดไข่ลงตรงหน้าซูหยวนชิง

“นี่ข้าวผัดไข่ที่สั่ง กินให้อร่อย” ชายหนุ่มเอ่ย

ดวงตาของซูหยวนชิงพลันจับจ้องไปที่ข้าวผัดไข่ เขาพยักหน้าตอบรับและไม่ได้สนใจปู้ฟางอีกต่อไป

“เงียบเดี๋ยวนี้! อย่าโวยวายเสียงดังกันจะได้ไหม!” ปู้ฟางตะโกนเสียงเย็นพลางขมวดคิ้ว

“หน็อยแน่ะ! ไอ้เด็กเมื่อวานซืน อย่ามาทำเป็นวางอำนาจบาตรใหญ่หน่อยเลย! แค่ข้าเดินเข้ามากินที่ร้านเจ้าก็เป็นบุญหัวเจ้าแล้ว! ข้าเป็นลูกน้องของขุนนางจางเชียวนะ! อย่าริอ่านมาหาเรื่องคนอย่างข้าจะดีกว่า!” พ่อบ้านด่าพร้อมชี้นิ้วใส่หน้าปู้ฟาง

คนอื่นก็รวมวงชี้หน้าด่าชายหนุ่มเจ้าของร้านด้วยเช่นกัน

ร้านที่เงียบลงชั่วครู่กลับมาโกลาหลอีกครั้ง

โอวหยางเสี่ยวอี้กลอกตา จากนั้นก็สังเกตเห็นใบหน้าหงุดหงิดของปู้ฟาง นางตัดสินใจเงียบปากเพื่อสังเกตการณ์คนเหล่านี้ทันที จะไปวางอำนาจที่ไหนก็ไม่ว่า แต่กลับมาทำตัวยโสโอหังที่ร้านเล็กๆ ของฟางฟางเช่นนี้…

เสียงจักรกลดังแกรกๆ มาตามทาง พร้อมด้วยร่างยักษ์ของเจ้าขาวที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่ม ดวงตาจักรกลกะพริบแสงวาบ

“ตายๆ ! เจ้าคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่เกรียงไกรเสียเต็มประดาแค่เพราะมีไอ้หุ่นเชิดเหล็กนี่น่ะหรือ เพราะไอ้กระจอกนี่รึถึงมั่นหน้ามั่นโหนกได้ขนาดนี้” ทันทีที่พ่อบ้านเห็นเจ้าขาว เขาก็ทำสีหน้าขบขัน ตัวเขาเองเคยเห็นหุ่นเชิดมามาก จึงรู้ดีว่าพวกมันเป็นเพียงเศษขยะไร้ค่าเท่านั้น

ปู้ฟางหรี่ตาพร้อมชี้มือไปที่พ่อบ้านของขุนนางจาง

“เช่นนั้นย่อมได้ เจ้าโดนจดชื่อลงบัญชีหนังหมาแล้ว”

…………………………………..