ตอนที่ 40 ต่อคิวในห้องสอบสวน
หวังเทียนหังขึ้นรถไปด้วยหัวใจที่รุ่นร้อนกระวนกระวาย..
เขารู้ดีว่าที่สถานีตำรวจนั้นมีสภาพเช่นไร ต่อให้คนแข็งแรงๆเข้าไป กลับออกมาก็ต้องมีสภาพที่บาดเจ็บไม่น้อย
เขาร้องสั่งคนขับรถให้เร่งความเร็วให้มากขึ้น เวลานี้ สิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ไม่ใช่ทัศนคติที่ฉีเล่ยมีต่อเขา แต่เขากำลังเป็นห่วงสภาพของตนเอง หลังจากกลับไปรายงานเรื่องนี้หลิวชิงเฟิงต่างหาก เขาคงจะหวาดกลัวจนอุจจาระราดแน่
เมื่อครู่ หวังเทียนหังเพิ่งจะขอให้เนี่ยจิงหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคง เดินทางไปที่สถานีตำรวจหลงซินด้วยตัวเอง และจุดประสงค์ที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะว่า ต้องการให้ฉีเล่ยเห็นถึงความจริงใจ และจริงจังในการแก้ไขปัญหาของเขานั่นเอง
ระหว่างนั้น หวังเทียนหังก็นึกหาหนทางที่จะปลอบโยนฉีเล่ย เพื่อให้ชายหนุ่มหายจากอาการตกอกตกใจ และสงบลงได้
ส่วนทางด้านเนี่ยจิงนั้น หลังจากวางสายไปแล้ว ก็ได้แต่นั่งครุ่นคิดด้วยความงุนงง..
‘น่าแปลก! ถ้าเป็นแค่เพื่อนธรรมดา ทำไมเลขานุการใหญ่ต้องไปด้วยตัวเอง? มิหนำซ้ำยังสั่งให้ฉันไปที่นั่นด้วย! ดูท่าสถานะของคนคนนี้ต้องไม่ธรรมดาแน่?’
หลังจากคิดได้แบบนั้น เนี่ยจิงก็รีบลุกเดินออกมาจากห้องทำงาน พร้อมกับสั่งลูกน้องว่า “เตรียมรถ.. ฉันจะไปสถานีตำรวจหลงซิน!”
…..
ในขณะที่เกาว่านฮุยนั้น หลังจากหวังเทียนหังกดตัดสายทิ้งไปแล้ว เขาก็ได้แต่นั่งฟังเสียง ‘ตุ๊ดๆ’ ที่ดังอยู่ปลายสายแน่นิ่ง ใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกระดาษ
คำพูดของหวังเทียนหังที่บอกให้เขาสวดมนต์ภาวนารอไว้นั้น ย่อมหมายความว่า เรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องราวใหญ่โตอย่างแน่นอน และนั่นทำให้เกาว่านฮุยแทบหัวใจวาย
“นี่หัวหน้าเกา ขนาดเลขาหวังยังอยู่เรื่องนี้ รับรองว่าอนาคตของคุณต้องรุ่งเรืองก้าวหน้าอย่างแน่นอน!”
หลู่เฉีเว่ยที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว และไม่ทันสังเกตเห็นใบหน้าซีดเผือดของเกาว่านฮุย รีบยกแก้วไวน์ในมือขึ้น พร้อมกับพูดแสดงความยินดีออกมา เมื่อรู้ว่าปลายสายนั้นคือใคร
“รุ่งเรืองบ้าบออะไรกัน?”
เกาว่านฮุยตอบกลับด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ เขากระแทกแก้วไวน์ลงกับโต๊ะเสียงดัง และหันไปร้องเตือนหลู่ฉีเว่ยด้วยใบหน้าบึ้งตึงว่า
“คุณหลู่! เมื่อครู่คุณเป็นตัวตั้งตัวตีขัดขวางการรายงานตัวของแพทย์พิเศษ มิหนำซ้ำยังกล่าวหาเขาปลอมแปลงเอกสาร แล้วยังสั่งให้น้องเขยตัวเองไปทำร้ายร่างกายเขาซ้ำ หึ! ตอนนี้คุณเตรียมตัวหาคำอธิบายให้กับหัวหน้าหลิวได้เลย!”
หลังจากพูดจบ เกาว่านฮุยก็เดินพับแขนเสื้อออกจากห้องอาหารไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง และได้แต่คิดในใจอย่างเดือดดาล
‘ตลกสิ้นดี! ฉันอุตส่าห์เลี้ยงขอบคุณหลู่ฉีเว่ย ที่เตือนให้รู้ว่ามีมิจฉาชีพมาอวดอ้างเป็นแพทย์พิเศษ แล้วนี่มันอะไรกัน?!’
หลังจากได้เห็นสีหน้าท่าทาง และได้ยินคำเตือนของเกาว่านฮุย หลู่ฉีเว่ยจึงได้สติขึ้นมาทันที และเริ่มตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ทำให้ไวน์ที่ดื่มเข้าไปก่อนหน้านี้ กลายเป็นเหงื่อไหลเปียกโชกไปทั้งตัวในทันที!
เพียงแค่คิดว่าตนเองได้ทำอะไรลงไป และสร้างความไม่พอใจให้กับหลิวเฟิงหยางอย่างไรบ้าง หลู่ฉีเว่ยก็ถึงกับแข้งขาอ่อนแรง และแทบทรุดลงไปกองกับพื้นทันที เขาหันมองไปตามแผ่นหลังของเกาว่านฮุยที่เดินออกไปด้วยความโมโห พร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“นี่หัวหน้าเกา แต่ทั้งหมดที่ผมทำลงไปก็เพราะหวังดีกับคุณนะ..”
แต่ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ เพราะเวลานี้ เกาว่านฮุยได้เดินออกไปไกลแล้ว และไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมามอง
หลู่ว่านฉีวิ่งตามออกมาเพื่อที่จะอธิบาย แต่เมื่อเขาวิ่งมาถึงหน้าประตูภัตตาคาร กลับพบว่าเกาว่านฮุยได้ขับรถออกไปแล้ว
และเวลานี้ เกาว่านฮุยก็กำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจหลงซิน!
เนี่ยจิงซึ่งอยู่ในรถของสำนักงานรักษาความมั่นคงเวลานี้ รถได้แล่นเข้าไปภายในสถานีตำรวจหลงซินด้วยความเร็วสูงสุด และเป็นเวลาเดียวกับที่รถของหวังเทียนหังได้แล่นเข้าประตูมาเช่นกัน
เนี่ยจิงถึงกับตกใจไม่น้อย เพราะที่ทำงานของหวังเทียนหัง ห่างจากสถานีตำรวจหลงซินมากกว่าเขาถึงสองเท่า แต่หวังเทียนหังกลับมาถึงในเวลาไล่เลี่ยกันกับเขา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า หวังเทียนหังมีความร้อนใจในเรื่องนี้มากเพียงใด!
และนั่นทำให้เนี่ยจิงยิ่งอยากจะรู้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจับใครมากันแน่ ถึงได้ทำให้ท่านเลขาใหญ่ร้อนใจได้มากขนาดนี้ จนต้องรีบรุดมาจัดการด้วยตัวเองแบบนี้?
ทันทีที่เดินลงจากรถ เนี่ยจิงก็ตรงเข้าไปหาหวังเทียนหังอย่างรวดเร็ว พร้อมกับร้องตะโกนทักทายเสียงดัง
“ท่านเลขาใหญ่ ผมเนี่ยจิงมาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของท่านแล้วนะครับ!”
“พี่เนี่ยจิง เลิกล้อผมเล่นได้แล้ว! ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบายอะไรมาก เอาเป็นว่าคนที่ถูกตำรวจจับตัวมานั้น สำคัญมากๆ!”
หวังเทียนหังเดินจ้ำอ้าวโดยไม่หยุด เขาเดินกึ่งวิ่งเข้าไปภายในสถานีตำรวจ พร้อมกับตอบเนี่ยจิงไปด้วยเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
จากสีหน้าท่าทางของหวังเทียนหัง ทำให้เนี่ยจิงยิ่งมั่นใจมากขึ้นว่า คนที่เขาจะมาช่วยในวันนี้ ต้องเป็นคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ระหว่างที่เดินตามหลังหวังเทียนหังไปนั้น เนี่ยจิงก็ได้แต่คิดในใจว่า ดูท่าวันนี้เขาคงต้องจัดการขั้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะแก้ไขสถานการณ์ต่างๆได้
ทันทีที่เดินเข้าไปในอาคารได้ หวังเทียนหังก็หันมองไปรอบๆ ก่อนจะร้องตะโกนบอกนายตำรวจชั้นผู้น้อยคนหนึ่งที่นั่งอยู่
“ผมมาจากสำนักงานเลขาประจำมณฑล ไปเรียกผู้กำกับมาพบผมเดี๋ยวนี้!”
“ผมขอดูบัตรประจำตัว ที่แสดงว่าคุณเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาด้วยครับ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยไม่กล้าประมาท และจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด
“นี่ถึงกับต้องขอตรวจสอบบัตรประจำตัวของเลขาหวังเชียวเหรอ?”
เนี่ยจิงที่เดินตามมาข้างหลังร้องตะโกนถามกลับไปทันที พร้อมกับแนะนำตัวเองเสียงดัง “ผมเนี่ยจิง.. คิดว่าพวกคุณคงจะเคยได้ยินชื่อผมแล้วสินะ?”
ทันทีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นได้ยินชื่อของเนี่ยจิง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกอกตกใจทันที และรีบเงยหน้าขึ้นมองเนี่ยจิงด้วยใบหน้าซีดเผือด แล้วเหงื่อเม็ดโตก็เริ่มผุดขึ้นตามใบหน้า
นั่นเพราะเนี่ยจิงเป็นหัวหน้า ที่รับผิดชอบดูแลสำนักงานรักษาความมั่นคงของเมืองหนานหยาง ย่อมเท่ากับเป็นหัวหน้าของเขาด้วย!
เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นรีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ พร้อมกับร้องบอกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเทิ้ม..
“ทะ.. ท่านหัวหน้า กรุณานั่งลงก่อนครับ ผมจะรีบไปตามผู้กำกับมาให้เดี๋ยวนี้ครับ!”
หลังจากพูดจบ เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นก็รีบวิ่งหายไปทันที..
ไม่ถึงครึ่งนาที ตังผินก็วิ่งออกมาพร้อมกับรายงานตัวต่อเนี่ยจิงอย่างเป็นทางการ “ผู้กำกับตังผินแห่งสถานีตำรวจหลงซิน รายงานตัวต่อหัวหน้าครับผม!”
“ไม่ทราบว่าหัวหน้ามาถึงที่นี่ มีอะไรให้รับใช้หรือครับ?”
แม้ปากของตังผินจะร้องตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น แต่ขาทั้งสองข้างของเขาที่ซ่อนอยู่ภายใต้กางเกงขายาวนั้น กลับกำลังสั่นสะท้าน
ปกติแล้ว ยากนักที่ตังผินจะมีโอกาสได้พบเจอกับหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงของเมืองหนานหยางแบบนี้ แต่จู่ๆ หัวหน้าเนี่ยก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่บอกไม่กล่าวแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า ต้องมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นแน่ๆ!
“ตอนนี้แพทย์พิเศษฉีอยู่ที่ไหน?” หวังเทียนหังไม่สนใจเรื่องอื่น เขารีบร้องตะโกนถามเรื่องสำคัญออกไปในทันที
ตังผินถึงกับเหงื่อตก และรีบตอบหวังเทียนหังกลับไปทันที “รายงานท่านเลขา ตอนนี้แพทย์พิเศษฉีอยู่ในห้องสอบสวนหมายเลขสองครับ!”
ภายในใจของตังผินเวลานี้ได้แต่แอบคิดว่า เขาไม่น่าไปรับเผือกร้อนนี้มาจากสำนักงานสุขภาพเลยจริงๆ
“ยังจะยืนนิ่งเฉยทำไมอยู่อีก? รีบๆนำทางไปสิ!”
เนี่ยจิงตวาดเสียงดัง พร้อมกับจ้องมองผู้กำกับตังด้วยใบหน้าบึ้งตึง ทำให้เขาถึงกับต้องลากขาสั่นสะท้านทั้งสองข้างเดินนำออกไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องบอกไปว่า
“เชิญตามผมมาทางนี้ครับ!”
เมื่อทุกคนขึ้นไปชั้นสองก็ได้พบว่า ที่หน้าห้องสอบสวนหมายเลขสองนั้น มีเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนออกันอยู่เต็มไปหมด เรียกได้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสถานีได้มารวมตัวกันอยู่ตรงนี้จนหมด!
หลังจากที่ได้เห็นภาพทั้งหมดตรงหน้า หวังเทียนหังก็ถึงกับกลั้นหายใจ และได้แต่พึมพำออกมาด้วยความท้อแท้สิ้นหวัง
“พระเจ้า! นี่ตำรวจทั้ง ส.น. ถึงกับรอคิวสอบสวนหมอฉีที่อยู่ข้างในเหรอนี่?”
“แย่แล้ว! ป่านนี้หมอฉีจะมีสภาพเละเทะไปถึงไหนแล้ว?”
“นี่! พวกคุณมายืนอออะไรกันอยู่ตรงนี้? ไม่ไปทำงานทำการกันหรือยังไง?” ผู้กำกับตังร้องตะโกนออกเสียงดัง
“ทุกคนฟังคำสั่ง! นั่งยองๆลงกับพื้นให้หมด!”
เนี่ยจิงร้องตะโกนสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ก่อนจะหันไปสั่งตังผินด้วยใบหน้าบึ้งตึง
“คุณไปจัดการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาคุกเข่าลงให้หมดเดี๋ยวนี้!”
เนี่ยจิงเองก็รู้สึกไม่ดีนักที่ได้เห็นภาพเช่นนี้ปรากฏต่อหน้า และเขาเองก็คิดเช่นเดียวกับหวังเทียนหังว่า ป่านนี้คนที่ถูกสอบสวนอยู่ในห้อง คงจะต้องถูกซ้อมจนน่วมไปแล้วแน่ๆ
หวังเทียนหังวิ่งตรงไปที่ห้องสอบสวนหมายเลขสองทันที ปากก็ร้องตะโกนถามออกไปด้วยความเป็นห่วง
“คุณหมอฉีครับ คุณหมอฉี! คุณเป็นยังไงบ้างครับ?”
“เลขาหวังเหรอครับ? ในที่สุดคุณก็มาจนได้!” เสียงฉีเล่ยร้องตะโกนตอบออกมาจากห้องสอบสวนหมายเลขสอง
และทันทีที่ได้ยินเสียงของฉีเล่ย หวังเทียนหังก็ถึงกับต้องถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขาผลักเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ออกันอยู่หน้าประตูออกไปอย่างแรง ส่วนตัวเองนั้นก็รีบผลักประตูห้องสอบสวนเข้าไปด้านในทันที
แต่ภาพที่เห็นนั้น ก็ทำให้หวังเทียนหังถึงกับยืนตัวแข็งทื่อ..
นั่นเพราะภาพที่อยู่ในหัวของเขานั้น ฉีเล่ยคงจะต้องมีสภาพถูกซ้อมจนน่วมไปทั้งตัว ถึงแม้ไม่ตาย ก็คงต้องนำส่งโรงพยาบาล แต่เขาก็เตรียมใจไว้ล่วงหน้าแล้ว เพราะขอแค่ฉีเล่ยยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว!
แต่เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏต่อหน้าเวลานี้ หวังเทียนหังกลับรู้สึกราวกับว่า ตนเองนั้นกำลังฝันอยู่หรือไม่?
นั่นเพราะภายในห้องสอบสวนเวลานี้ ฉีเล่ยกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้ในสภาพที่ปลอดภัย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจของสถานี ยืนเรียงกันเป็นแถวยาวอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้านหน้า
ในระหว่างนั้น เสียงพูดของฉีเล่ยก็ดังมาเข้าหูของหวังเทียนหัง..
“ธาตุไฟในร่างกายของคุณรุนแรงมาก และโทสะก็จะยิ่งไปเพิ่มให้ธาตุไฟในตัวทวีความรุนแรงมากขึ้น ถ้าคุณยังขืนเป็นคนขี้โมโหแบบนี้ ธาตุไฟก็จะค่อยๆทำลายตับของคุณให้เสียหาย..”