ณ ตอนนี้ทั้งกลุ่มยังไม่สามารถเริ่มออกเดินทางได้เนื่องจากต้องรอทางกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการส่งทหารนายอื่นมาก่อน
สามารถถ่ายทอดคำสั่งตามใจ แม้จะเป็นเพียงแค่การเปลี่ยนตัวนายทหารผู้บังคับบัญชาระดับต่ำได้แบบนี้ ก็เพียงพอจะแสดงแล้วว่าลั่วซินอวี่นั้นมีอิทธิพลขนาดไหนในป้อม แต่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเด็กสาวสวมหมวกลอบพยักหน้าให้ลั่วซินอวี่
เด็กสาวสวมหมวกผู้นี้เป็นใครกันแน่
เริ่นเสี่ยวซู่พลันพูดขึ้นมาว่า “พวกเราจะไปกันเป็นกลุ่มนี่เนอะ แต่ฉันยังไม่รู้เลยว่าพวกนายชื่ออะไรกันบ้าง”
นักดนตรีคนหนึ่งพูดเหยียด “พวกเราไม่นับรวมกลุ่มกับพวกผู้อพยพหรอกนะ นายก็แค่คนนำทาง อย่าทำตัวว่าสนิทกับพวกเรามากนักเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่พิจารณาพวกนักดนตรีด้วยสายตาจริงจังยิ่ง ราวกับกำลังคำนวณว่าควรจะฆ่าพวกเขาหมกป่าตรงไหนดี
ผู้อพยพกับพลเมืองในป้อมนั้นต่างกันสุดๆ เทียบกับคนสะอาดสะอ้านในป้อมแล้ว ชาวเมืองผู้อพยพนั้นทั้งกริยาป่าเถื่อนทั้งตัวสกปรกโสมม ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่ทั้งสองกลุ่มต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ก็คือคติต่อชีวิต
เริ่นเสี่ยวซู่อยู่ได้มานานขนาดนี้ได้อย่างไร แล้วพวกคนในป้อมใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายในป้อมอย่างไร สภาพแวดล้อมนั้นมีอิทธิพลต่อการเติบโตของความคิด บุคลิกภาพ และอื่นๆ อีกมากมายนัก
ตอนนั้นเองก็มีนายทหารผู้หนึ่งออกมาจากป้อมแล้วตรงมายังคลินิก เขามาหาทุกคนพร้อมพูดว่า “ร้อยตรีสูเสี่ยนฉู่ จากกองปฏิบัติการภาคสนาม”
ต่างคนต่างแนะนำกันเอง เริ่นเสี่ยวซู่คร้านจะจำชื่อ นับจำนวนคนที่ล้อเลียนเขาเมื่อครู่
เขาได้ยินสมาชิกคนหนึ่งในคณะแนะนำตัวเอง “ฉันเป็นผู้จัดการของคุณลั่วซินอวี่ ชื่อว่าหลิวปู้”
เริ่นเสี่ยวซู่จำชื่อหลิวปู้ใส่ใจไว้
ทันใดนั้น เด็กสาวสวมหมวกก็ว่า “ฉันหยางเสียวจิ่น จิ่นในดอกมู่จิ่น (ดอกชบา)”
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะ ที่แท้เด็กสาวคนนี้ชื่อหยางเสียวจิ่นนั่นเอง ไม่รู้ทำไม แต่เริ่นเสี่ยวซู่ฟังแล้วรู้สึกเสนาะหูมาก
ที่สำคัญอีกอย่างที่ผู้อพยพและคนในป้อมต่างกันก็คือชื่อนั่นเอง
ดูชื่อจากคนในป้อมสิ สูเสี่ยนฉู่(ชัดเจนแจ่มแจ้ง แซ่สู่[1]) หลิวปู้(ย่างก้าว แซ่หลิว) ลั่วซินอวี่(พิรุณหอม แซ่ลั่ว) หวังฉงหยาง(เจิดจ้า แซ่หวัง) หยางเสียวจิ่น(ชบาน้อย แซ่หยาง)……
หันกลับมาดูชื่อของพวกผู้อพยพในเมือง หวังฟู่กุ้ย(ร่ำรวย แซ่หวัง) หวังต้าหลง(มังกรใหญ่ แซ่หวัง) หลี่ฟาฉาย(มั่งคั่ง แซ่หลี่) หลีโหยวเฉียน(มั่งมี แซ่หลี่)…
ชื่อคนในเมืองแต่ละชื่อนี่ ฟังแล้วระคายหูชะมัด!
แต่ด้วยเรื่องนี้เอง ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่เข้าใจว่าแต่ละคนมีหน้าที่อะไรบ้างในกลุ่ม อย่างเช่นหลิวปู้ที่เป็นผู้จัดการของลั่วซินอวี่ เขาจะทำหน้าที่ดูแลเรื่องรวมๆ ในคณะ อย่างพวกการจัดการของใช้ในชีวิตประจำวันหรือจัดของจิปาถะพวกนั้น
รอบนี้ใช้รถออฟโรดห้าคัน กับรถกระบะอีกหนึ่ง ท้ายกระบะบรรทุกไปด้วยของใช้ประจำวันต่างๆ
ขณะเดียวกัน สูเสี่ยนฉูก็จะทำหน้าที่ดูแลสัมภาระกับรักษาความปลอดภัยของทั้งกลุ่ม
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหยางเสียวจิ่นก็น่าจะมีหน้าที่บางอย่างเช่นกัน แต่ฟังคำแนะนำตัวของพวกเขาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้รู้ว่าเหมือนเธอเพียงติดตามกลุ่มมาเฉยๆ ไม่ได้มีหน้าที่ฝ่ายจัดการดูแลอะไรเลย
ทันใดนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็เกิดความคิดอยากพูดออกมาเหลือเกินว่า “เชื่อก็บ้าแล้ว!”
หลังจากแนะนำตัวกันเสร็จ ทุกคนก็ขึ้นรถกันไป คณะเดินทางนี้มีทั้งหมดยี่สิบคน รวมเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยแล้ว
ทว่าพอเริ่นเสี่ยวซู่จะขึ้นรถ หลิวปู้ก็พูดออกมา “ตัวสกปรก อย่ามานั่งในรถ ไปนั่งท้ายกระบะนู่น”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดจะทะเลาะด้วย อย่างไรเสีย ทะเลาะกับคนที่เดี๋ยวก็ตายไป ก็ไม่ใช่เรื่องนี่เนอะ?
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งหลังท้ายกระบะ ฟังเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม ทิวทัศน์ตัวเมืองค่อยๆ หายไปจากสายตา
ยามเริ่มเดินทาง ในใจลึกๆ ของเริ่นเสี่ยวซู่บังเกิดความไม่ยินยอม ไม่ว่าคนในเมืองจะสกปรกโสมมขนาดไหน ตลอดหลายปีนี้เขาจะยังคงเรียกสถานที่แห่งนั้นว่าเป็น ‘บ้าน’
ขณะที่เริ่นเสี่ยวซู่กำลังรู้สึกอ่อนไหวอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดียกใหญ่ดังขึ้นมา “ในที่สุดเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไปแล้วโว้ย!”
“พวกเราเป็นอิสระแล้ว!”
“ฮาฮาฮา วันแห่งความทรมาทรกรรมจบสิ้นแล้ว!”
เริ่นเสี่ยวซู่หันกลับไปมองอย่างพูดไม่ออก ก่อนจะต้องประหลาดใจไปที่เห็น หลีโหยวเฉียนกับหวังต้าหลงพาเพื่อนนักเรียนกลุ่มใหญ่ไปฉลอง พวกเขากำลังยกมือตบเปาะแปะกันยกใหญ่เชียว
ชาวเมืองคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรนัก ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะเป็นหมอคนเดียวในเมือง แต่ถึงเขาไม่อยู่แล้ว ชีวิตก็ไม่ได้ต่างจากเดิมอะไรนัก
ทว่าไม่ใช่สำหรับพวกนักเรียน พวกเขารู้ได้ทันทีว่า นับแต่วันนี้ไป ชีวิตพวกตนจะมีแต่ความสุขแล้ว!
พริบตานั้น พวกเขาลืมความน่ากลัวของเริ่นเสี่ยวซู่ไปหมดเรียบร้อย
ชายวัยกลางคนกระโจนเข้ามาในฝูงนักเรียนมุง เป็นพ่อของหลีโหยวเฉียน หลี่ฟาฉาย
หลี่ฟาฉายลากลูกสาวร่างกำยำกลับบ้าน “ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วเหรอไง”
หลีโหยวเฉียนงุนงง “พ่อจะกลัวอะไร เริ่นเสี่ยวซู่ไปแล้วนะ!”
หลี่ฟาฉายพูดด้วยความขมขื่น “แต่เดี๋ยวก็กลับมา!”
“แล้วถ้าเขากลับมาไม่ได้แล้วล่ะ” หลีโหยวเฉียนโต้ “พวกพ่อชอบพูดไม่ใช่เหรอว่าแดนรกร้างอันตรายนักหนาน่ะ”
“ลูกจะไปรู้อะไร” มือที่กุมแขนลูกสาวอยู่พลันกำแน่นกว่าเดิม “ต่อให้คนอื่นตายกันหมด เขาก็จะรอดชีวิตกลับมาอยู่ดี! แล้วต่อไปห้ามแช่งให้ผู้อื่นไปตายอีก เข้าใจไหม!”
ที่เธอพูดว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่กลับแล้ว หลีโหยวเฉียนต้องการสื่อว่าเขาจะตายในแดนรกร้าง
ในความเป็นจริง ชาวเมืองต่างเห็นความเป็นความตายจนชืดชา ทุกวันเห็นคนตายกันประจำจนเป็นเรื่องปกติ
ทว่าการมีเมล็ดพันธุ์อันชั่วร้ายฝังอยู่ในเด็กคนหนึ่งเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ทั้งนั้นว่าในอนาคตจะส่งผลอะไรบ้าง
ลั่วซินอวี่กับคนอื่นๆ บนรถออฟโรดต่างได้ยินเสียงโห่ร้องอย่างยินดีไล่หลังมา พวกเขาเลื่อนกระจกลง หันกลับไปมองว่าเกิดอะไรขึ้น แม้จะไม่รู้ว่าคนในเมืองเกลียดชังอะไรเริ่นเสี่ยวซู่นัก แต่ก็รู้ดีว่าชาวเมืองกำลังยินดีที่เริ่นเสี่ยวซู่ออกจากเมืองมาได้
หลิวปู้ที่นั่งหน้าพึมพำ “เขาต้องมีชื่อเสียงย่ำแย่ขนาดไหน จนพวกผู้อพยพโห่ร้องยินดีที่เขาออกจากเมืองมากัน…”
ลั่วซินอวี่ที่นั่งเบาะหลังหัวเราะขึ้นแล้วเอ่ย “พอพวกเรากลับมาแล้ว ต้องสืบประวัติเจ้านี่หน่อยแล้ว อยากรู้จริงๆ ว่าตอนอยู่ในเมืองเขาทำอะไรลงไปบ้าง”
“ซินอวี่ เธอจะสนใจเรื่องเขาไปทำไม” หลิวปู้พูดอย่างขัดใจ “ก็แค่พวกไร้รากตัวน้อยคนหนึ่งในเมือง ถ้าพวกเราไม่ต้องการคนนำทาง เขาจะมีโอกาสได้คุยกับคนอย่างพวกเราเหรอ คงเป็นบุญกุศลที่บรรพชนรวบรวมมาจนโชคดีได้เจอกับพวกเรา แต่เขากลับไม่เห็นค่าเสียฉิบ”
มีแค่หยางเสียวจิ่นที่นั่งเงียบๆ ในรถ ดูเหมือนเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
……
ที่ประตูโรงเรียน เสี่ยวอวี้เกาะรั้วโรงเรียนไว้ สายตาทอดมองตามไปสุดถนนท้ายเมือง ดูเริ่นเสี่ยวซู่กับบรรดารถยนต์กลายเป็นจุดเล็กๆ ห่างไกลออกไป
เธอกลับหลังหัน เดินไปหลังโรงเรียนเพื่อเอาผ้าชุบน้ำ จากนั้นก็กลับเข้าโรงเรียน ใช้ผ้าชุบน้ำซับหน้าผากของเหยียนลิ่วหยวนที่จู่ๆ เขาก็เป็นไข้แล้วหมดสติไป
คุณจางไปซื้อยาแก้ไข้ให้ที่ร้านเหล่าหวัง ส่วนเสี่ยวอวี้คอยอยู่ดูแลเหยียนลิ่วหยวน
ตอนนั้นเหยียนลิ่วหยวนก็เพ้อออกมา ดูเหมือนเขากำลังฝันร้ายอยู่ เสี่ยวอวี้นำมือสัมผัสหน้าผากเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบา แล้วกระซิบว่า “ไม่ต้องกังวลนะลิ่วหยวน เขาต้องกลับมาแน่”
……………..
[1] แซ่สู่ ในชื่อ许显楚 เป็นเสียง 3 3 3 เวลาเขียนออกมาจึงเป็นเสียง 2 3 3 = สูเสี่ยนฉู่