ตอนที่ 40 ฉันอยากอยู่กับแครกเกอร์!

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

ถนนไปเขาจิ้งซานทุรกันดารมากเพราะส่วนใหญ่เป็นถนนดิน

เริ่นเสี่ยวซู่ที่นั่งอยู่ท้ายกระบะ เห็นวัตถุพื้นผิวทำจากคอนกรีตเป็นพักๆ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ถนนเหล่านี้จึงกลายเป็นถนนพังๆ ไปนานแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่เคยได้ยินจากคุณจางว่า ถนนคอนกรีตคือสิ่งที่ถูกทิ้งไว้ตั้งแต่ยุคก่อนภัยพิบัติ หลายปีผ่านไป ถนนเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ สุดท้ายก็โดนดินฝุ่นปกคลุมไป

‘ถนนหลัก’ ส่วนใหญ่ที่เชื่อมป้อมปราการต่างๆ เข้าด้วยกันล้วนเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น แต่ตามถนนดินไม่รกชัฏมากเพราะมีรถขับผ่านอยู่บ่อยๆ

ตามความเป็นจริง ป้อมต่างๆ ไม่ได้มีรถไปๆ มาๆ มากนัก ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ยังอยู่ในเมือง ก็เห็นรถต่างถิ่นมาป้อม 113 ต่อปีไม่กี่สิบคันเท่านั้น นี่ถือว่าเยอะแล้วนะ

แดนรกร้างไม่ได้เป็นแดนรกร้างว่างเปล่าทั้งหมด กลับกันถ้าออกจากเมืองมาหลายสิบกิโลเมตร ก็ยังคงเห็นความเขียวชอุ่มทุกที่ ยิ่งตลอดหลายปีมานี้ พืชหญ้าต้นไม้ต่างๆ ยิ่งงอกงามกว่าเดิมอีก

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องเลวร้ายอะไร ตอนอยู่ในเมือง อาหารเป็นสิ่งที่ขาดแคลนตลอด ในเมื่อหาเนื้อกินไม่ได้ ก็กินผักเยอะขึ้นเอา เขายังสังเกตด้วยว่ากะหล่ำปลีที่จางจิ่งหลินปลูกนั้นหัวโตขึ้นกว่าเมื่อก่อนอีก

เริ่นเสี่ยวซู่เคยถามจางจิ่งหลินว่าเขาเคยใช้ปุ๋ยอะไรหรือเปล่า แต่คุณจางบอกว่าไม่ได้ใช้

เรื่องนี้ดีมาก บางทีวันหนึ่งมันฝรั่งหัวเดียวอาจจะมากพอเลี้ยงครอบครัวสามคนได้ทั้งบ้านเลยก็ได้

ตอนที่หลิวปู้ให้เริ่นเสี่ยวซู่นั่งท้ายกระบะนั้น เขาไม่ได้คิดหรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะลงมือทำอะไร

ท้ายกระบะนั้นมีเสบียงกรังทั้งอาหารทั้งน้ำดื่มที่นำมาจากป้อมปราการ ส่วนใหญ่ไม่ได้เก็บล็อกกันคนอื่น เลยแค่เอาผ้ากันน้ำคลุมปิดไว้

เริ่นเสี่ยวซู่นั่งท้ายกระบะ เขายกผ้ากันน้ำขึ้นอย่างสนอกสนใจ พอมองเข้าไป ก็เห็นตัวอักษร ‘แครกเกอร์’ เลยลองเปิดผ้ากันน้ำอีกจุดดู ก็เห็นขวดน้ำ…

เพราะถนนไม่ได้ราบเรียบ รถเลยไม่ได้เคลื่อนตัวไวนัก ที่จริงแล้วคณะนักดนตรีไม่ได้กลัวพวกสัตว์ป่าเลย อย่างไรเสียพวกเขาก็มีทหารตั้งสิบสองนายพร้อมอาวุธเต็มสูบ เพราะฉะนั้นเลยไม่กังวลเรื่องสัตว์ป่าอะไร

ถึงก่อนหน้านี้จะมีฝูงหมาป่าบุกมา แต่พวกหมาป่าตอนนี้ไปหลบซ่อนตัวที่ภูเขาไกลจากที่นี่หลายร้อยกิโลเมตรหมดแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจู่ๆ พวกมันจะกลับมาหรอก

จากประวัติศาสตร์รอบก่อนๆ ของป้อมปราการ กว่าพวกมันจะฟื้นตัว กลับมาเคลื่อนไหวในพื้นที่อีกก็ราวๆ อย่างน้อยครึ่งปีนู่น

สิ่งที่ทั้งขบวนกังวลที่สุดตอนนี้คือ ถ้ารถพังจะทำอย่างไร

ทหารครึ่งหนึ่งได้รับการฝึกซ่อมยานยนต์มาแล้ว แต่ว่าไม่อาจเอาอุปกรณ์ครบชุดพกมาในการเดินทางนี้ได้ด้วย

ถึงจะทำให้การเดินทางช้าลง แต่ก็ยังดีกว่าต้องเดินไปด้วยเท้าเปล่าอยู่ดี

ระหว่างนั้น เริ่นเสี่ยวซู่ยืนกรานจะไปปลดทุกข์ให้ได้ ผลคือทั้งรถทั้งขบวนต้องหยุดรอเขา ทำให้คนอื่นไม่พอใจเขากว่าเดิมอีก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ทำเป็นเฉยเมย เผชิญกับคำบ่นว่าราวกับเป็นลมผ่านหู

รถเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ จนเที่ยงวัน พอรถหยุด หลิวปู้ก็กระโดดลงจากรถเป็นคนแรก หัวเราะอย่างมีความสุข แล้วพูด “ฉันอยู่ในป้อมนานฉิบ ออกมาดูทิวทัศน์กว้างขวางบ้างนี่เจริญตาจริง”

ทหารนายหนึ่งหัวเราะ “ช่ายยย เห็นด้วย ติดอยู่ในป้อมตลอดนี่โคตรน่าเบื่อ”

เอาตามตรง ตอนออกจากป้อมมา ทุกคนก็คิดแบบนี้กันหมด ตอนนี้ทุกกำลังมีความสุขกับการชมทิวทัศน์ขจี หัวเราะ พูดคุย แต่อีกไม่กี่วันคงไม่เป็นแบบนี้แล้วแน่

เมื่อก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่ออกมาล่าสัตว์ครั้งแรกที่แดนรกร้าง ก็เคยคิดสวยหรูเช่นนี้เหมือนกัน

หลิวปู้โบกมือเรียกทุกคนให้ลงจากรถ เขาพูด “ทุกคนลงมาพักทานอาหารกันก่อน เสร็จแล้วค่อยเดินทางต่อ พยายามให้ถึงเทือกเขาอวิ๋นหลิงก่อนมืด รอบที่แล้วพวกเราไปถึงนั่นแล้ว ตรงนั้นมีที่ให้ตั้งแคมป์อยู่”

ทุกคนเดินจากรถออฟโรดมาพร้อมเสียงหัวเราะเฮฮา ทหารหลายนายจับกลุ่มกันสูบบุหรี่ ยามพ่นควัน ใบหน้าเปี่ยมด้วยความพึงพอใจ

หลิวปู้เรียกคณะดนตรีมาที่รถกระบะ เขาไม่มีอำนาจสั่งการพวกทหาร ที่จ้างทหารทั้งสิบสองนายจากกองกำลังส่วนตัวมาร่วมการเดินทางได้นั้น ไม่ได้เป็นเพราะเขาหรืออิทธิพลของลั่วซินอวี่อะไรทั้งสิ้น จริงๆ แล้ว เป็นพวกเขาต่างหากที่ทำหน้าที่เป็นภาพเบื้องหน้า ปิดบังการปฏิบัติภารกิจทางการทหาร!

ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้อื่นอาจจะคิดว่าหลิวปู้กับลั่วซินอวี่มีอำนาจมาก แต่พวกเขารู้ดีกว่านั้น

ขณะหลิวปู้เดินไปยังรถกระบะ เขาก็กล่าวกับสมาชิกวงดนตรีว่า “จะแบ่งบุหรี่ที่พวกเราพกมาให้กับทหารนะ”

“ได้ จะให้พวกเขาเท่าไร” นักดนตรีคนหนึ่งถาม

“ให้ซองหนึ่งก่อน พวกเราเอามาสิบซองใช่ไหม ไม่ต้องกังวล พวกเราค่อยๆ ให้พวกเขาไป” หลิวปู้ยิ้ม แล้วว่า “พวกเรามากับทหารชุดใหม่ เดี๋ยวสนิทกันได้ ความสัมพันธ์ก็ไปด้วยดีแล้ว”

ยามหลิวปู้เดินมาถึงท้ายกระบะ พอหันมองเข้าไปก็ตะลึง “เชี่ย! เริ่นเสี่ยวซู่ แกทำอะไรลงไป!”

เริ่นเสี่ยวซู่มองหลิวปู้ พูดขึ้น “ตาตื่นอะไรขนาดนั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย!” พร้อมกับเรอดังเอิ๊กออกมา กินมากไปหน่อย เรอเลย เริ่นเสี่ยวซู่ยืนขึ้นบิดขี้เกียจ จากนั้นรีบปัดผงขนมตามตัวออกไป…

หลิวปู้เดินมาดูหลังกระบะ หัวใจปวดแปลบ “แกเป็นหมูเหรอไง กินเยอะไปแล้วไหม แค่เช้าเดียวก็กินแครกเกอร์ไปห้าห่อแล้วเนี่ย!”

ก็ตรงอยู่นะ นี่ก็นานแล้วที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้กินมากขนาดนี้ ตอนที่ยากจนสุดๆ เริ่นเสี่ยวซู่จะสละอาหารส่วนของตนให้เหยียนลิ่วหยวนกินหมด เขาเพิ่งร่ำรวยมาได้ไม่นาน ยังไม่มีโอกาสได้ฟุ้งเฟ้อเลย

แถมแครกเกอร์ที่พวกเขาพามารสชาติโคตรแจ่ม ทั้งเค็มทั้งหวานในห่อเดียวกัน

และที่สำคัญ ในเมืองนั้นน้ำตาลกับเกลือเป็นสินค้ามีราคา ส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้มันต้มน้ำเปล่าๆ หรืออาหารใกล้เคียงกินกัน ไม่มีโอกาสได้กินอาหารรสเลิศอย่างแครกเกอร์พวกนี้หรอก แถมบนรถยังมีน้ำเปล่าพกมาเป็นกะตั้กอีก

“ดูดิว่าพุงเอ็งป่องขนาดไหน!” หลิวปู้คำราม “คนท้องสี่เดือนชัดๆ เลย กินขนาดนั้นไม่ปวดท้องเหรอ”

เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็เพราะว่านายให้ฉันนั่งหลังกระบะนั่นแหละเลยเป็นงี้! ว่าแต่พูดแล้วก็รู้สึกแน่นอยู่หน่อยๆ นะเนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่ลงจากกระบะ แล้ววิ่งจู๊ดหนีออกไป “พวกนายกินก่อนเลย ฉันขอไปปลดทุกข์หนัก”

ระหว่างที่เริ่นเสี่ยวซู่วิ่งหายไป พวกหลิวปู้ก็ได้แต่กระฟัดกระเฟียดอยู่ในแดนรกร้างอยู่อย่างนั้น

นักดนตรีคนหนึ่งฉุนเฉียวขึ้นมา ก่อนจะกล่าว “ทำไมไม่ให้เขามานั่งในรถให้จบๆ ไปเลยล่ะ”

หลิวปู้จ้องตาเขม็ง “พวกเราจะเอามันมานั่งในรถได้ไง ผู้อพยพอย่างนั้นมีสิทธิ์จะมานั่งกับเราด้วยเหรอ”

นักดนตรีขึ้นนั้นเริ่มไม่มั่นใจกับคำพูดของตัวเองแล้ว พึมพำเสียงค่อยว่า “แต่ถ้าให้เขานั่งอยู่หลังกระบะต่ออีกสองวัน เสบียงที่พกมาคงอยู่ไม่ถึงป้อม 112 แน่…”

ฟังแล้วหลิวปู้ก็ลองคำนวณความจุกระเพาะของเริ่นเสี่ยวซู่คร่าวๆ เขาถอนหายใจ แล้วพูดว่า “ก็จริง พวกเราคงอยู่ไม่ถึงป้อมแน่”

สุดท้ายทุกคนก็ตกปากรับคำอย่างเป็นเอกฉันท์ว่าจะให้เริ่นเสี่ยวซู่มานั่งในรถ

พอเริ่นเสี่ยวซู่กลับมาแล้ว ก็ไม่พอใจมากที่ต้องไปนั่งในรถ “ฉันไม่อยากนั่งในรถ ฉันไม่มีสิทธิ์นั่งกับพวกนายหรอก ฉันเป็นผู้อพยพนะ!”

“ปล่อยฉันนะ ปล่อยให้ฉันไปอยู่กับขนมแครกเกอร์กรุบกรอบของฉัน!”

“พวกแกมันโหดร้ายผิดมนุษย์มนา!”

สุดท้ายหลังจากทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันยัดเริ่นเสี่ยวซู่เข้ารถ ทุกอย่างก็เรียบร้อย