ที่พวกนักดนตรีไม่ชอบเริ่นเสี่ยวซู่นั้นมีเหตุผลเบื้องหลังอยู่ พวกเขาผู้เป็นถึง ‘คนสำคัญ’ จากในป้อมปราการ ได้ถ่อมาหาคนนำทางถึงที่ แต่เริ่นเสี่ยวซู่กับหาข้ออ้างบ่ายเบี่ยงไม่รับงานเสียฉิบ ราวกับว่าการเป็นคนนำทางให้พวกเขานั้นเป็นเรื่องน่าอับอายเสียอย่างไรอย่างนั้น
ในความคิดของพวกเขา เริ่นเสี่ยวซู่สมควรต้องเป็นคนอ้อนวอนขออาสานำทางเองเหมือนคนนำทางคนแรกต่างหาก!
คนมากน้อยเพียงใดหวังว่าจะได้ตีสนิทชิดเชื้อผู้คนในป้อมปราการ? ที่หวังฟู้กุ้ยเคยกล่าวไว้ว่า ‘ใครก็ตามที่พร้อมเป็นลูกไล่ของคนสำคัญในป้อม ย่อมสามารถมีชีวิตอันมั่งคั่งรุ่งเรือง’ นั้นถูกต้องที่สุดแล้ว
แต่กระนั้นเริ่นเสี่ยวซู่กลับหลีกเลี่ยงถอยห่างไปเสียฉิบ
ผลคือหลังจากเหตุการณ์แครกเกอร์ก็ทำเอาทุกคนต่างมองเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ดีเข้าไปอีก โดยเฉพาะหลิวปู้ที่ตอนนี้กำลังโน้มน้าวให้ลั่วซินอวี่กลับเมืองไปหาคนนำทางคนใหม่
“ซินอวี่ พวกเราเพิ่งออกมาได้ครึ่งวันเอง” หลิวปู้ว่า “ถ้าจะกลับตอนนี้ยังทันนะ เสียเวลาเดินทางไปวันเดียวเอง”
“แต่เสียเวลาก็คือเสียเวลาอยู่ดี” ลั่วซินอวี่ว่าพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง
“แต่เธอต้องคิดด้วยนะ” หลิวปู้ว่าต่อ “เจ้าเด็กนี่ดูไม่น่าเชื่อถือเลย ถ้าเขาเกิดไม่ได้ความหนักกว่านี้ล่ะ พวกเราจะไม่ได้แค่เสียเวลาไปวันเดียวหรอกนะ ฉันได้ยินมาว่าพวกผู้อพยพในเมืองนี่ไร้อารยะมาก แต่ไม่คิดเลยว่าจะไร้อารยะขนาดนี้!”
ลั่วซินอวี่ส่ายหน้าพลางเอ่ย “หวังฟู่กุ้ยบอกว่าถ้าเขาพาเราข้ามเขาไม่ได้ ก็ไม่มีใครสามารถอีกแล้ว”
“ฉันไม่เชื่อหรอก” หลิวปู้ปรามาส “เมืองออกจะใหญ่โต จะไม่มีคนมีความสามารถนำทางพวกเราได้ยังไง พวกเราแค่ถามคนในเมืองเอง รอบนอกใกล้ๆ แถวโรงงานขนาดใหญ่อีกเจ็ดแห่งมีคนอีกเยอะเลย มีคนไปตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้โรงงานไม่น้อยนะ ถ้าเราไปถามทางนั้น ต้องเจอคนใช้ได้แน่”
“ตอนนี้เหลือโรงงานหกแห่งแล้ว” ลั่วซินอวี่แก้
มีโรงงานหนึ่งแห่งถูกหมาป่าบุกจู่โจมจนพังทลายไป ด้วยเหตุนี้จึงเหลือเพียงหกแห่งเท่านั้น
“งั้นไปหาที่โรงงานแห่งอื่นเอาก็ได้” หลิวปู้ว่าอย่างกระอักกระอ่วน
“พอได้แล้ว เรื่องนี้เราจะไม่พูดถึงอีก” ลั่วซินอวี่ตอบปัด ก่อนจะว่า “รอบนี้ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้ทหารสิบสองนายมาคุ้มกัน อย่าทำให้เรื่องมันยุ่งยากกว่านี้”
หลิวปู้จึงไม่พูดอะไรต่อ คนภายนอกอาจจะมองว่าลั่วซินอวี่นั้นอายุยังเยาว์ไม่อำนาจอะไร การตัดสินใจต่างๆ ล้วนเป็นของร้อยตรีผู้นั้น ทว่าหลิวปู้ทราบดีว่าลั่วซินอวี่มีอำนาจเป็นเอกเทศไม่น้อย และเขาเป็นผู้ดำเนินการตามคำสั่งของเธอ
ปัจจุบันนี้พวกดาราในป้อมปราการต่างๆ อย่างลั่วซินอวี่ รู้จักกันดีทั่วไปในว่าเป็น ‘ตัวเอก’
แต่ปกติบรรดาตัวเอกจะมีผู้สนับสนุนมาจากป้อมปราการใดป้อมปราการหนึ่งเท่านั้น ยากมากที่จะไปมีอิทธิพลในป้อมปราการอื่น
อย่างไรเสียถนนหนทางในยุคนี้เทียบกับก่อนเกิดภัยพิบัติแล้วถือว่ายังล้าหลังกว่ามาก แถมยังยากที่จะคาดเดาได้อีกว่าในอีกป้อมปราการนั้นมีอะไรเป็นที่นิยมกัน ดังนั้นถ้าคิดจะแผ่อิทธิพลออกนอกป้อมปราการตัวเองแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องเสี่ยงไม่น้อยเลย
มีครั้งหนึ่งที่ดาราจากป้อมปราการ 89 ออกเดินทางไปแสวงหาชื่อเสียง ณ ป้อมปราการอื่น
ผลคือหลังจากออกจากป้อม เขาก็หายตัวไป ทั้งเหล่าบอดี้การ์ดกับทีมล้วนหายไปแล้วไปลับ จนกระทั่งสองเดือนต่อมา ก็พบศพที่คาดว่าน่าจะเป็นของเขาในแดนรกร้าง กระดูกมีกระสุนฝังอยู่ ดูแล้วน่าจะเป็นการเสียชีวิตจากการถูกยิงอย่างแน่นอน แถมยังถูกยิงจากด้านหลังอีก
ทำเอาผู้คนรู้สึกขวัญผวา
แต่กระนั้นลั่วซินอวี่ก็ยังไม่พอใจกับการมีชื่อเสียงแค่เพียงในป้อมปราการเดียว ถึงแม้จะรู้ว่ามีอันตรายมากเพียงใด เธอก็พร้อมจะยอมเสี่ยง สำหรับหญิงสาวเช่นเธอแล้ว เรื่องนี้ต้องใช้ความกล้าหาญมากทีเดียว
ลั่วซินอวี่เหลือบมองหลิวปู้ที่นิ่งงันไป “จะมีปากเสียงกับเขาไม่เป็นไร แต่อย่าให้กระทบกับการเดินทาง ยังไงเราก็ยังต้องการให้เขานำทางเราอยู่ เดี๋ยวพอกลับป้อม 112 แล้ว จะจัดการเขายังไงก็เรื่องของนาย”
“อืม” หลิวปู้ตอบ
พวกทหารขับรถเด้งกระดอนไปมา พวกเขาพยายามขับอย่างระมัดระวังที่สุดแล้วจะได้ไม่เกิดความเสียหายแก่ชิ้นส่วนต่างๆ ของรถอย่างช่วงล่าง เพลารถ ยาง และอื่นๆ แต่ว่าถนนกลับเป็นหลุมเป็นบ่อไปทั่ว หมดหนทางจะขับให้นิ่มขึ้น
เริ่นเสี่ยวซู่นั่งเบาะหลังของคันหน้าสุด พร้อมกับชี้บอกทางเป็นครั้งคราว ทว่าหลิวปู้ไม่เชื่อใจเริ่นเสี่ยวซู่ จึงสั่งให้สมาชิกวงสองคนมานั่งข้างเริ่นเสี่ยวซู่เพื่อจับตาเขาไว้ ทำให้รวมๆ แล้วรถคันนี้มีสมาชิกทั้งสิ้นห้าคน
สมาชิกวงสองคนที่นั่งหลังกำลังหน้าบูดเบี้ยว เดิมทีนั่งหลังแบบว่างๆ แต่พอมีเริ่นเสี่ยวซู่มาแจมก็เบียดจนนั่งไม่สบายเลย
ทันใดนั้นกลุ่มซึ่งมีแผนการเดินทางข้ามผ่านเขาจิ้งซาน ก็ดูเป็นเหมือนกองรบพิเศษที่กำลังคุ้มกันเริ่นเสี่ยวซู่ไปป้อมปราการ 112 ไปเสียฉิบ…
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าหลิวปู้ไร้เดียงสาไปหน่อย บนรถมีแค่ทหารหนึ่งนายซึ่งทำหน้าที่คนขับรถ ส่วนสมาชิกที่เหลือล้วนเป็นคนในคณะดนตรี
ถ้าเกิดเขาอยากสร้างปัญหาขึ้นมา ใช้เวลาเพียงสามวิก็สามารถฆ่าคนทั้งคัน จนเหลือแต่ตนคนเดียวบนรถได้
พวกคนในป้อมปราการไม่เข้าใจกันเลยว่าผู้อพยพนั้นเอาชีวิตรอดกันได้อย่างไร คงรู้แต่เพียงว่ามันยากลำบากและสกปรกมากอย่างเดียว
สมาชิกวงคนหนึ่งที่นั่งข้างเริ่นเสี่ยวซู่หันมามองเขาแล้วว่าเหยียดๆ “ทำตัวให้ดี อย่าสร้างปัญหาอะไรไร้สาระ”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างไม่ใคร่ยินดี “ฉันกินแครกเกอร์ไปนิดๆ หน่อยๆ เอง ต้องทำขนาดนี้เลยเหรอ”
สมาชิกผู้นั้นพูดเสียงสูง “นั่นเรียกว่านิดๆ หน่อยๆ เหรอ บอกเลยนะ ตั้งแต่แกเข้าร่วมกับพวกเรา ก็ไม่มีสิทธิ์อะไรในชีวิตตัวเองแล้วเข้าใจไหม อย่าผยองให้มันมากนัก!”
สมาชิกวงอีกคนที่นั่งหน้าก็หัวเราะพลางว่า “เจ้าหนู รู้หรือเปล่าว่าถ้าโยนไข่กระทบหินอะไรจะแตก”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง แล้วตอบ “หัวใจ”
สมาชิกวงที่เป็นผู้ถามผงะ “หัวใจใคร”
เริ่นเสี่ยวซู่ตอบ “หัวใจแม่ไก่จะแตกสลาย”
เริ่นเสี่ยวซู่พอใจไม่น้อยเลยเชียว เพราะคำตอบของเขานั้นปราดเปรื่องแถมแฝงไปด้วยมนุษยธรรมอีก
ตกเย็นวันนั้น รถทั้งขบวนก็สามารถทะลุผ่านเทือกเขาอวิ๋นหลิงได้สำเร็จ จากตรงนี้ สภาพภูมิศาสตร์ล้วนเห็นชัด ป่าพงไพรผืนใหญ่แผ่ตัวเหนือเทือกเขาอวิ๋นหลิง เริ่นเสี่ยวซู่ทอดสายตามองออกหน้าต่างอย่างเคลิบเคลิ้ม ลำธารที่งดงามราวภาพวาดตัดผ่านพื้นที่ราบอันกว้างใหญ่และมีชีวิตชีวา เป็นหัตถศิลป์ของธรรมชาติที่มหัศจรรย์ยิ่ง
คุณจางผู้เป็นอาจารย์เคยกล่าวว่าสภาพภูมิประเทศเช่นนี้เกิดจากการแปรสัณฐานของแผ่นเปลือกโลก บางครั้งเริ่มเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าท่ามกลางความยิ่งใหญ่นี้ มนุษย์ช่างตัวเล็กจ้อยนัก
ป่าเขาเขียวขจี มีเพียงถนนดินไม่กี่สายที่เป็นหลักฐานว่ามนุษยชาติเคยมาเยือน นี่เป็นเส้นทางที่ตอนแรกพวกคณะดนตรีหลงในการเดินทางครั้งแรกด้วย เริ่นเสี่ยวซู่ทราบมาจากคุณจางว่า ต้นไม้ในป่าเขตร้อนชื้นนั้นจะแน่นขนัดจนแทบจะเดินผ่านไม่ได้ แต่ว่าป่าทางทิศเหนือของที่นี่ยังพอมีพื้นที่พอตัว มีเพียงว่าต้นหญ้าดูสูงกว่าปกติก็เท่านั้น
เย็นวันนั้น ทั้งขบวนเดินทางมาถึงพื้นที่โล่งที่หลิวปู้เคยกล่าวก่อนหน้านี้ หลิวปู้กระโดดลงรถพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ตั้งแคมป์กันเถอะ ทุกคนพักผ่อนแล้วก็หาอะไรกินกันหน่อย”
พอพูดจบ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ตรงดิ่งไปที่รถกระบะในทันควัน หลิวปู้รีบเข้าไปหยุด เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ว่า?”
หลิวปู้แค่นเสียง “พวกเราไม่มีส่วนแบ่งอาหารให้นาย ไปหาเอาเอง”