เรื่องเริ่นเสี่ยวซู่กินแครกเกอร์ ดูเหมือนจะทำให้หลิวปู้ฉุนสุดๆ
แต่ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง ถึงเริ่นเสี่ยวซู่จะไม่ได้กินแครกเกอร์เข้าไป หลิวปู้ก็คงปฏิบัติต่อเขาแบบห่วยๆ อยู่ดีนั่นแหละ เริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดจะคาดหวังอะไรกับเสบียงจากพวกเขาอยู่แล้ว แต่ที่ประหลาดใจคือการที่พวกเขามาห้ามตนได้แบบหน้าตาเฉยมากต่างหาก
ว่าตามสัตย์จริง เรื่องเป็นแบบนี้ก็ดี เริ่นเสี่ยวซู่ค่อนข้างพอใจกับสถานการณ์ไม่เลว ไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้พะวง และเขาก็เตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ไว้แล้วด้วย
เขากลับหลังหันและมุ่งเข้าป่าไป แต่หลิวปู้ก็รีบว่าอย่างตกใจ “จะไปไหนน่ะ ถ้านายคิดหนีตอนนี้ ยังไงก็ไม่มีทางไปถึงป้อม 113 ได้หรอกนะ!”
ถ้าเริ่นเสี่ยวซู่อยากจะหลบหนีไปจริง พวกเขาคงได้เสียเวลาเป็นวันไปโดยเปล่าประโยชน์อีกรอบแล้ว ถ้าไม่มีคนนำทาง อย่างไรก็ไม่มีทางที่พวกเขาจะฝ่าป่าผืนนี้ และหาทางไปยังเขาจิ้งซานได้อย่างแน่นอน
ต้องบอกเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกประทับใจพวกเขาอยู่บ้าง จากตรงนี้ต้องใช้เวลาอีกห้าวันกว่าจะไปถึงเขาจิ้งซาน รอบล่าสุด พวกเขาโชคดีที่หลงทางแต่เนิ่นๆ แล้วหาทางออกได้ในที่สุด ถ้าเกิดว่าพวกเขาใช้เวลาเดินทางเพิ่มอีกหลายวันและเข้าไปลึกกว่านั้น พวกเขาคงออกมาไม่ได้อย่างแน่นอน
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ คงไม่ได้แค่เสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์หรอก เหล่าคนพวกนี้ที่เอาแต่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในป้อม ดูจะไม่รู้แล้วว่า ที่นี่ถิ่นใคร…
เริ่นเสี่ยวซู่ย่อมเข้าใจว่าสมองของคนพวกนี้กำลังติดอยู่กับภาพเดิมๆ ใช่ว่าพวกบรรดาสำคัญในป้อมทั้งหลายจะเพิ่งเริ่มชิงชังผู้อพยพสักหน่อย เพราะฉะนั้นก็คาดไว้อยู่แล้วว่าพวกเขาคงจะปรับทัศนคติแบบทันควันว่า ตอนนี้ตัวเองอยู่ระหว่างเดินทาง ไม่ได้อยู่ในป้อมไม่ได้เป็นธรรมดา
เริ่นเสี่ยวซู่หันมาส่งยิ้มใส่ “จะออกไปหาอะไรกินไง จะตกอกตกใจทำไม”
“ฉันไม่ได้ตกใจนะ” หลิวปู้อธิบายอย่างอึกอัก “แค่อยากจะเตือนนายหน่อยว่าคนนำทางก่อนหน้านี้ก็ตายแถวๆ นี้เนี่ยแหละ อย่าดำเนินรอยตามไปตายแบบเขาแล้วทำให้พวกเราเสียเวลาล่ะ”
คนนำทางก่อนหน้าพามาถึงที่นี่แล้วก็พาหลง สุดท้ายหลังจากเดินทางไปได้หลายวันก็รู้สึกว่าหลงป่าเข้าให้แล้ว ก็ตัดสินใจจะกลับเทือกเขาอวิ๋นหลิง ทว่าเช้าวันนั้นคนนำทางก็จบชีวิตลงตอนไปล้างหน้าที่แม่น้ำ
ขณะกำลังคุยกันอยู่ สมาชิกวงคนหนึ่งก็อุทาน “ที่พื้นข้างพวกนายมีรอยเท้าสัตว์!”
เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว แถวนี้เป็นถิ่นสัตว์ป่าอะไรกัน มีสัตว์ไม่กี่ชนิดหรอกที่อาศัยอยู่ชายขอบป่าแบบนี้ แถมพอมนุษย์เริ่มก่อสร้างป้อมปราการ บรรดาสัตว์ป่าก็ถูกไล่ออกจากอาณาเขตของป้อมปราการไปหมดแล้ว มีเพียงสัตว์ขนาดใหญ่ไม่กี่ประเภทที่สามารถทะลวงผ่านการป้องกันตรงชายขอบอาณาเขตเข้ามายังแถวๆ ตัวป้อมปราการ 113 ได้
อย่างที่มีฝูงหมาป่ามาโจมตีโรงงานนั้นก็ถือว่าเป็นกรณีหายากเช่นกัน
ทุกคนรีบเข้ามุงดูว่าเป็นรอยเท้าสัตว์ชนิดไหน แต่พวกทหารไม่ยี่หระเท่าไร พวกเขามีปืน จะกลัวอะไร
ทว่าพอพวกเขาเห็นรอยเท้าแล้ว ก็ต้องชะงักไป มีรอยยาวไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในป่าลึก แต่ละรอยเท้ามีขนาดเท่าครึ่งหนึ่งของศีรษะมนุษย์
พวกทหารที่เห็นรอยเท้าเช่นนี้ก็เกิดตระหนกตกใจจนยกปืนเล็งไปทางในป่าทันที ไม่รู้ด้วยเหตุอะไร แต่บรรดาทหารพลันรู้สึกว่าแม้ตนเองจะมีปืนก็ไม่รู้สึกปลอดภัยเลย
“รอบที่แล้วที่เรามาไม่มีรอยเท้าแบบนี้ใช่ไหม” มีคนเอ่ยถามเสียงสั่น
“ไม่มี” มีคนส่ายหน้า
เริ่นเสี่ยวซู่เข้าไปสำรวจรอย ก็รู้ทันทีว่าเป็นสัตว์อะไร พร้อมกับโล่งใจขึ้นมา
จากนั้นก็เหลือบสายตาไปยังคณะนักดนตรีที่กำลังตั้งแคมป์อยู่ตรงที่โล่งๆ นั่น จากนั้นก็สังเกตเห็นเศษขยะที่ถูกทิ้งไว้ตอนที่พวกเขามารอบที่แล้ว ที่พื้นยังมีเศษอาหารอยู่อีกไม่น้อยเลยด้วย จึงว่าด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “เป็นหมีป่า มาตามเศษอาหารที่พวกนายทิ้งไว้รอบล่าสุดนั่นแหละ”
หลิวปู้พูดอย่างไม่เชื่อใจ “ไร้สาระ! คิดว่าฉันไม่เคยเห็นรอยเท้าหมีงั้นเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่เดินตามรอยเท้าเข้าไปในป่า เขาไม่มีจิตเมตตามากพอจะสาธยายทุกอย่างที่ตนรู้ให้พวกนักดนตรีกับทหารกองกำลังส่วนตัวฟังหรอกนะ “อะแฮ่ม มันอาจจะเป็นหมูป่าก็ได้…”
ทุกคนได้แต่มองไล่หลังเริ่นเสี่ยวซู่ที่กำลังเดินเข้าป่าไป เขาดูเหมือนจะไม่หวาดกลัวรอยเท้าสัตว์และภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าเลย
“เจ้าเด็กนี้กล้าเกินไปแล้ว” หลิวปู้อ้าปากค้าง “ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไงกัน”
พวกทหารก็ลดปืนลง ถ้ามีสัตว์ร้ายอยู่ในป่าจริง พอได้ยินเสียงกรีดร้องของเริ่นเสี่ยวซู่ ค่อยยกปืนลั่นไกยิงก็ยังทัน
ลักษณะท่วงท่าของพวกทหารดูไม่กลัวอะไรเลย ทว่าเสียงสั่นพร่าก่อนหน้านี้ก็เผยให้รู้ว่าพวกเขากล้าหาญแค่เบื้องหน้า แต่ลึกๆ ไม่เลย
เริ่นเสี่ยวซู่เคลื่อนกายไปในป่า จริงๆ แล้วเขามองแวบเดียวก็รู้ว่ารอยเท้าพวกนี้เป็นรอยกีบเท้าของกวาง
เขาตามรอยเท้ากวางไป เพราะว่าปกติแล้วถ้าตามรอยเท้าสัตว์ใหญ่จะพบแหล่งน้ำ ก็เหมือนมนุษย์ที่ต้องดื่มน้ำทุกๆ ช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ที่เขาคิดไปที่แม่น้ำเพราะอยากรู้ด้วยว่าอะไรทำให้คนนำทางคนเก่าตาย
ตามที่หลิวปู้อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้น คนนำทางผู้นั้นไปล้างหน้าที่แม่น้ำ ก่อนจะโดนอะไรบางอย่างกัดจนหน้าเหวอะตายคาที่
เริ่นเสี่ยวซู่พึมพำ “เจ้าโง่เอ้ย” ถึงจะรู้กันอยู่แล้วว่าพวกสัตว์กำลังวิวัฒนาการ แต่ความรู้พื้นฐานว่าสัตว์กินพืชนั้นกินพืช สัตว์กินเนื้อนั้นกินเนื้อยังคงอยู่เช่นเดิม
คนนำทางนั้นน่าจะเหมือนคนอื่นๆ ในเมืองที่คิดว่าพวกปลาอาศัยอยู่ได้ด้วยการกินพืชน้ำ แต่เริ่นเสี่ยวซู่เคยอ่านมาจากหนังสือที่เก็บไว้อย่างดียิ่งของโรงเรียนว่า ปลาน้ำจืดอย่างปลาช่อนจีนลายจุดและปลาดุกนั้นกินเนื้อ ส่วนที่เหลือส่วนใหญ่นั้นกินทั้งพืชและสัตว์ แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีปลาที่กินพืชอย่างเดียว
ทำไมปลาต้องปฏิเสธเนื้อชิ้นใหญ่อย่างหน้าคุณที่มาเสิร์ฟให้ถึงปากล่ะจริงไหม
เริ่นเสี่ยวซู่ดีจริงใจๆ ที่ตนเข้าใจอำนาจของความรู้ และเขาหาความรู้ตลอด ไม่อย่างนั้นก็คงได้จบชีวิตลงเหมือนกับคนนำทางผู้นั้น
เขาตามรอยเท้าไปเรื่อยๆ กวางเป็นหนึ่งในสัตว์ป่าที่ไม่ดุร้าย ถ้าไม่ไปยั่วยุมัน ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนั้นเองเขาก็เห็นเหมือนเป็นรอยขี้เลื่อยตรงต้นไม้ น่าจะเป็นปลวกกัดไม้และทิ้งรอยไว้ พอเขามองแถวพื้น จริงด้วย มันมีกองดินประหลาดๆ ปกคลุมรากต้นไม้อยู่
เริ่นเสี่ยวซู่ใช้เท้าเหยียบและทำลายกองก้อนดินอย่างง่ายดาย เผยให้เห็นปลวกสีน้ำตาลอยู่ข้างใน พวกปลวกคลานไปมาในรังอย่างรวดเร็ว ขนาดของพวกมันเท่านิ้วก้อย ถึงปลวกพวกนี้จะไม่อร่อยนัก แต่ก็อุดมไปด้วยสารอาหาร
ที่สำคัญคือชาวเมืองเผชิญปัญหาขาดแคลนอาหารมาหลายปีดีดัก ปกติแล้วจึงรับประทานปลวกและไข่ของมันเป็นอาหาร บางคนถ้าเจอรังปลวกเข้าถึงกับยิ้มหวานเป็นวันๆ เลยทีเดียว
แต่ปลวกพวกนี้ไม่อาจกินดิบได้ ถ้ามันเกิดหวาดกลัวขึ้นมามันจะหลั่งกรดฟอร์มิกออกมาจากร่างกาย แถมเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่ข้นแค้นจนต้องกินปลวกประทังชีวิตด้วย
หลังจากรังถูกทำลาย พวกปลวกก็คลานไปมาอย่างสับสน ก่อนพวกมันจะรู้ตัวว่ารังตนเองพังทลายไปแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่ก็เด็ดใบไม้ใบใหญ่จากกิ่งไม้ และใช้มันห่อส่วนหนึ่งของรังปลวกที่ยังคงมีปลวกคลานไปมาอยู่ในนั้นไว้
เขาหักไม้มากิ่งหนึ่ง ใช้มีดกระดูกเหลาปลายเล็กน้อย ก็กลายเป็นหลาวฉบับแบบง่ายๆ เอาละ พร้อมจะไปล่าปลาแล้ว
ก่อนที่จะเดินจากไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็หันกลับมาอีกครา เขาเอามีดกระดูกเขี่ยไปที่รังปลวกอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งเจอราชินีปลวกเข้าก็หยิบมันมาด้วยเช่นกัน
พวกปลวกที่เหลือราวกับตกอยู่ในภัยพิบัติ ถ้าไม่นับเรื่องชีวจริยธรรม คงอธิบายลักษณะนี้ได้เพียงว่า ‘มาตุภูมิก็เสีย มารดาก็เสีย…’