ตอนที่ 43 ครั้งแรกในชีวิต

the first order สู่รุ่งอรุณเเห่งมวลมนุษย์

แน่นอนว่าที่เริ่นเสี่ยวซู่ไปขุดรังปลวกนั้นไม่ใช่เพราะอยากจะเอามากิน เขาเดินตามรอยเท้ากวางไปไม่กี่นาทีก็ได้ยินเสียงน้ำไหล

ยิ่งเริ่นเสี่ยวซู่เข้าใกล้แหล่งน้ำ ก็ยิ่งระมัดระวัง ถึงแม้ตอนนี้มันจะเลยเวลาที่พวกสัตว์รวมตัวกันดื่มน้ำริมแม่น้ำไปแล้ว เขาก็ยังต้องรอบคอบไว้ก่อนอยู่ดี ถ้าเกิดว่ามีสัตว์สักตัวเกิดติดธุระเลยมาดื่มน้ำช้า เริ่นเสี่ยวซู่ก็อาจจะเผชิญหน้าสัตว์ตัวนั้นเอาได้

แต่เขาก็ต้องโล่งใจ โชคตัวเองไม่ร้ายขนาดนั้น

เริ่นเสี่ยวซู่แกะใบไม้ที่ห่อเศษรังปลวกไว้ ก่อนจะโยนลงไปในแม่น้ำ ตอนนี้น้ำไหลไม่แรง เลยไม่ต้องสรรหาหินมาทำกับดักปลา

หลังจากนั้น เขาก็ใช้มีดกรีดราชินีปลวกขนาดตัวเท่าฝ่ามือ แล้วโยนมันลงไปในน้ำเช่นกัน เสร็จแล้วเขาก็รออย่างใจเย็นพร้อมหลาวไม้ในมือ

ดีที่ดวงจันทร์คืนนี้สว่างเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเริ่นเสี่ยวซู่คงมองไม่เห็นว่ามีอะไรบ้างอยู่ในแม่น้ำ

ราชินีปลวกและรังของมันค่อยๆ ลอยไปตามกระแสน้ำ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เดิมตามริมฝั่งไปเรื่อยๆ เช่นกัน ทันใดนั้นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นว่ายเข้าใกล้รังปลวก ผิวน้ำแตกกระจาย ปลาตัวเขื่องโผล่ขึ้นพร้อมอ้าปากกว้าง คิดจะเขมือบราชินีปลวกและรังไปในคำเดียว

ขณะมันอ้าปากกว้าง เริ่นเสี่ยวซู่ก็แทงหลาวลงไป!

เริ่นเสี่ยวซู่เคยใช้วิธีนี้ล่าปลามาก่อน ทว่าเพราะก่อนหน้านี้ความแข็งแกร่งและความคล่องแคล่วของเขาด้อยกว่า ณ ปัจจุบันมาก กว่าจะจับปลาสักตัวได้ต้องลงมือหลายครั้งหลายครา

ทว่านั่นคืออดีต ความปราดเปรียวของเขาอาจจะเคยช้ากว่า แต่ตอนนี้เขาเร็วกว่าพวกมันแล้ว

เริ่นเสี่ยวซู่ดึงหลาวกลับรวดเร็วดังสายฟ้าฟาด ปรากฏปลาตัวเบ้อเริ่มสีดำเมื่อมดิ้นทุรนทุรายบนหลาวไม้ เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ ถอยห่างออกจากริมฝั่งอย่างระมัดระวัง ดูเหมือนว่ากลิ่นเลือดของปลาดำนี่จะดึงดูดตัวอันตรายมาเสียแล้ว ที่ใต้ผืนน้ำ มีเงาร่างจำนวนมหาศาลเวียนว่ายไปมาอยู่

เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจเล็กน้อย นี่ปลาเหรอจากนั้นก็รีบผ่าท้องปลาสีดำนี่ แล้วโยนพวกอวัยวะลงน้ำไปให้หมด เขาไม่สามารถเอาปลาไปแล่ที่แคมป์ได้ เพราะเดี๋ยวจะมีกลิ่นคาวเลือดติดอยู่ที่นั่น

ถ้าเศษแครกเกอร์ยังดึงดูดกวางตัวโตมาได้ ใครจะไปรู้ว่ากลิ่นคาวเลือดจะนำพาอะไรมา ถึงเขตชายป่าแบบนี้ไม่น่ามีหมีป่าอะไร แต่ระมัดระวังไว้ก่อนก็เป็นดี ส่วนเศษเนื้อกับกระดูกของปลาย่างนี่ก็ต้องถูกทิ้งไว้ให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน

ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น แม่น้ำก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่ง มีปลาจำนวนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดช่วงชิงอวัยวะสดๆ ถึงกับขนาดกัดกันเองด้วยซ้ำ

เมื่อปลาตัวหนึ่งถูกกัด ย่อมกลายเป็นอาหารให้ปลาตัวอื่นๆ ไป

ช่างเป็นแม่น้ำอันดุร้ายนัก ถ้าเกิดมนุษย์ตกลงไปจะเกิดอะไรขึ้นหนอ

พริบตาเริ่นเสี่ยวซู่ก็นิ่งงันไปเพราะสังเกตเห็นว่าจู่ๆ พวกปลาก็รีบว่ายหนีกันไปหมด เริ่นเสี่ยวซู่รีบหันไปมองรอบๆ โดยพลัน ถ้ามีอะไรสามารถไล่ปลาดุร้ายพวกนี้ไปได้ เขาก็ไม่สมควรจะไปแหย็มมันเช่นกัน

ระหว่างทางกลับแคมป์ เริ่นเสี่ยวซู่เอาแต่คิดว่าแดนรกร้างนั้นกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกันแน่

พวกสัตว์ป่าเกิดวิวัฒนาการ แต่ทำไมมนุษย์ไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

ไม่สิ มันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่!

อย่างเช่นจางเป่าเกินที่มาแสดงพลังพิเศษต่อหน้าเขา เหยียนลิ่วหยวน หรือแม้กระทั่งตัวเขาเอง? พวกเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เหรอ

พอเริ่นเสี่ยวซู่มาถึงที่ตั้งแคมป์ ก็เห็นคณะดนตรีและทหารกำลังกินข้าวต้มกับอาหารกระป๋องอยู่

ทุกคนเห็นปลาในมือของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ตะลึงไป เมื่อตอนบ่าย พวกเขานึกว่าจะเห็นเริ่นเสี่ยวซู่หน้าแตกแล้ว ที่เป็นเช่นนี้เพราะของที่เริ่นเสี่ยวซู่พกติดตัวมามีแค่แจ็กเก็ตตัวหลวม และพวกเขามองสำรวจแล้วด้วยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้พกอาหารแห้งอะไรมา

ด้วยเหตุนี้หลิวปู้ถึงบอกให้เริ่นเสี่ยวซู่ไปหาข้าวปลาอาหารเอง ซึ่งทุกคนก็ต่างดูอย่างสนุกใจ พวกเขาต่างรำคาญเริ่นเสี่ยวซู่ เจ้าเด็กผู้อพยพผู้นี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอยู่เนืองๆ แต่กระนั้นพวกเขาก็หาสาเหตุที่ตนไม่สบายใจไม่ได้เช่นกัน

ตอนนี้เอง ขณะพวกเขากำลังทำอาหารกลางวันด้วยอาหารกระป๋อง กลิ่นปลาย่างของเริ่นเสี่ยวซู่ก็ลอยฟุ้งมา

สำหรับการเดินทางนี้ เริ่นเสี่ยวซู่พกถ้วยเหล็ก มีดกระดูก แล้วก็กล่องไม้ขีดมาด้วย ของจำเป็นเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอุปกรณ์เอาตัวรอดในแดนรกร้างที่เขาจะพกออกมาเสมอ ก็จริงอยู่ที่ว่าเขาจะเอากล่องไม้ขีดทิ้งไว้บ้านก็ได้เพราะตัวเขาเองรู้วิธีการจุดไฟอื่นๆ อีก แต่ถ้าการพกกล่องไม้ขีดมาสามารถทำให้อะไรๆ สะดวกขึ้น ทำไมจะต้องหาเรื่องให้ตัวเองลำบากด้วยล่ะ กล่องไม้ขีดก็ไม่ได้กินพื้นที่เก็บของมากเสียหน่อยด้วย

ทันใดนั้นเอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงดังมาจากพระราชวัง [ภารกิจ ของดีย่อมต้องแบ่งปัน]

เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป จากนั้นก็หยิบไม้เสียบปลาย่างแล้วเดินไปหาหลิวปู้

หลิวปู้ตาทอประกาย กล่าวด้วยน้ำเสียงสงวนท่าที “อะไร จะชวนพวกเราไปกินปลาร่วมกัน? ก็ได้ งั้นพวกเราย่อมไม่ปฏิ…”

“คิดอะไรอยู่เนี่ย” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “แค่จะเอามาอวด แบ่งปันความสุขของฉันเฉยๆ”

หลิวปู้ “…”

[ภารกิจเสร็จสิ้น รางวัล ความว่องไว 1.0 แต้ม]

*แจ่ม!*เริ่นเสี่ยวซู่ปลาบปลื้ม แบ่งปันความสุขมีหลายวิธีนะ!

หลิวปู้หน้าม้านจนหัวร้อน พร้อมกล่าวอย่างร้อนตัว “เริ่นเสี่ยวซู่ คิดเหรอว่าฉันสนใจปลาของนายน่ะ”

เริ่นเสี่ยวซู่มองปลาที่ตัวยาวราวครึ่งเมตรได้ ก็พลันรู้สึกว่าคงกินเองคนเดียวไม่ไหวแน่ เลยมองหลิวปู้พลางว่า “แลกปลาครึ่งตัวกับน้ำสามขวด”

หลิวปู้ตอบโพล่งทันควัน “ตกลง!”

ที่เริ่นเสี่ยวซู่เอาอาหารไปแลกน้ำ ก็เพราะว่าน้ำสะอาดนั้นหายากไม่น้อยจริงๆ ตอนแรกที่เขาไปที่แม่น้ำเพราะกะจะหาน้ำนี่แหละ แต่พอเจอเรื่องขวัญผวาริมน้ำแล้วก็ล้มเลิกความคิดไป เขายังคิดจะเอาใบสนเป็นแหล่งน้ำดื่มอีกอย่างสำหรับตนเองด้วย แต่ก็กว่าจะเค้นน้ำออกมาทีละเล็กทีละน้อยมันเสียเวลาเกินไป ดังนั้นแล้วเอาอะไรที่ตนเองไม่ใช้ไปแลกเป็นน้ำเปล่าจากอีกฝ่ายก็น่าจะดีกว่า

มีน้ำสามขวด ดื่มคืนนี้หนึ่ง อีกสองขวดไว้สำหรับเดินทาง

“มาๆ ทุกคนมากินปลากัน” หลิวปู้หยิบหม้อที่พกมาด้วย จากนั้นก็วางปลาที่เริ่นเสี่ยวซู่แบ่งให้ แต่หลิวปู้ไม่คาดเลยว่า เหล่าทหารนั้นจะเอาปลาไปแจกกันเอง ไม่เหลืออะไรให้ลั่วซินอวี่ หยางเสียวจิ่น และเขาเลย!

“เอิ่ม…” หลิวปู้อึกอักมองลั่วซินอวี่ ไม่คิดเลยว่าเจ้าพวกทหารจะเห็นแก่ตัวแบบนี้!

ขณะเดียวกันเริ่นเสี่ยวซู่ก็กำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟของตนเองอย่างโดดเดี่ยว ส่วนที่เหลือนั้นมุงล้อมกองไฟกองที่ใหญ่กว่าไว้ ทั้งสองฝั่งขีดแบ่งเส้นกั้น ราวกับมาจากคนละโลกกันอย่างไรอย่างนั้น

จู่ๆ หยางเสียวจิ่นก็ลุกขึ้นแล้วไปนั่งตรงข้ามเริ่นเสี่ยวซู่ เธอพูดเสียงนิ่ง “ปลา”

เริ่นเสี่ยวซู่ประหลาดใจที่เห็นน้ำเสียงเธอสงบนิ่งได้ขนาดนี้ จึงหาข้ออ้างอะไรมาปัดเธอไม่ได้

แสงไฟจากกองเพลิงกะพริบวูบวาบใส่ร่างของเด็กสาว เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยเหลือเกินว่าเด็กสาวทุกคนในป้อมจะสวยเหมือนเธอหรือเปล่า แต่แม่คุณ ช่วยเอากระบอกปืนเอาไปห่างๆ ฉันหน่อยได้ไหม แม่เล่นมีทักษะการใช้ปืนระดับไร้ที่ติ แล้วเอาปืนมาชี้ใส่ฉันแบบนี้ ฉันก็อดรู้สึกประหม่านิดหน่อยไม่ได้สิ!

เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยปล้นใครมาก่อน แล้วก็ไม่เคยถูกใครปล้นด้วย เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยที่โดนกำลังโดนปล้นแบบนี้เนี่ย!

“ให้แค่สองคำเท่านั้นนะ สองคำ!” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงหนักแน่น