ประกายแสงจากกองไฟกะพริบวูบวาบ ลมพัดผ่านแมกไม้สั่นไหว ทำนองใบไม้กระทบกันนั้นไพเราะอัศจรรย์
เจ้าปลาดำนี่ตัวใหญ่ไปบ้าง เอาจริงๆ มันใหญ่จนเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่คิดว่าจะกินครึ่งตัวที่เหลือนี้ได้หมด
แต่ถึงจะกินไม่ไหว ก็ใช่ว่าเขาต้องโดนเอาปืนมาจี้ปล้นไปนี่
เขาเห็นหยางเสียวจิ่นหยิบกระปุกออกมาจากกระเป๋าเสื้อวอร์ม โรยลงบนปลา ส่วนอีกมือยังคงจ่อปืนพกใส่เริ่นเสี่ยวซู่ ไม่ทะนุถนอมอะไรเขาแม้แต่น้อย
เริ่นเสี่ยวซู่เคยพยายามคาดเดานิสัยของหยางเสียวจิ่น เด็กสาวเงียบขรึมคนนี้มักจะสงบนิ่งเก็บงำตัวตลอดเวลา
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเธอน่าจะมีนิสัยเคร่งขรึมระคนเย็นชา ไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะดุร้ายได้ขนาดนี้
ตั้งแต่เธอนั่งลง หยางเสียวจิ่นพูดแค่คำเดียวเท่านั้น ‘ปลา’ อารมณ์ของเธอนี่อย่างกับคลื่นกระแสน้ำอันปั่นป่วนใต้ผิวน้ำอันสงบนิ่งของท้องทะเล เขย่าขวัญผู้คนจริงเชียว
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นหยางเสียวจิ่นโรยเกลือบนปลาจนทั่วแล้ว เขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขามองหน้าหยางเสียวจิ่นแล้วถาม “มีผงยี่หราหรือเปล่า”
หยางเสียวจิ่นเงยหน้ามองเขา “ไม่มี”
เริ่นเสี่ยวซู่สำรวจปืนในมือหยางเสียวจิ่นอย่างระมัดระวัง เป็นรุ่น M9 ปืนพกที่เรียบง่ายและทนทาน ด้วยทักษะการใช้ปืนขั้นสูงของเขา ดูเหมือนว่าปืนพก M9 จะเป็นรุ่นปืนที่เขาคุ้นชินที่สุด
แสดงว่าหยางเสียวจิ่นใช้ปืนพก M9 บ่อยที่สุดสินะ?
มือหยางเสียวจิ่นไม่ได้ใหญ่นัก แต่กลับสามารถจับปืนได้อย่างไม่สั่นแม้แต่น้อย ลักษณะการจับปืนเป็นเช่นนี้ แสดงว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างไม่ธรรมดา น้ำหนักของปืนแบบมีกระสุนเต็มแม็กกาซีนอยู่ที่ 1.2 กิโลกรัม ตัวปืนน่าจะหลอมมาจากอะลูมิเนียมอัลลอย อาจจะเพราะเหตุนี้เธอถึงเลือกปืนนี้ติดกายก็เป็นได้
หลังจากหยางเสียวจิ่นโรยเกลือเสร็จ เธอก็หันไปหาลั่วซินอวี่ “มากินปลา”
เริ่นเสี่ยวซู่ “???”
ฉันให้กินแค่สองคำนะเฟ้ย จะเชิญคนอื่นมาเพิ่มเพื่อ?
ขณะพวกเขากำลังสนทนากันอยู่นั้น หลิวปู้กับลั่วซินอวี่ก็ยืนขึ้นอย่างอารมณ์ดีแล้วเดินมาหาพวกเขา ทว่าหยางเสียวจิ่นกลับเอาปืนชี้ใส่หลิวปู้ “กลับไป เจ้าของปลาไม่ต้อนรับนาย”
หลิวปู้ยืนอย่างกระอักกระอ่วนอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องนั่งหรือยืนต่อดี เขาไม่คิดมาก่อนเลยว่าหยางเสียวจิ่นจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา!
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป ณ จุดๆ นี้ เขาไม่รู้อีกต่อไปแล้วว่าหยางเสียวจิ่นนั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
หยางเสียวจิ่นหามามองเริ่นเสี่ยวซู่ “พวกเราจะกินกันคนละสองคำ ไม่มากกว่านั้น”
ลั่วซินอวี่นั่งลงแล้วสำรวจมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างใคร่รู้ บรรยากาศดูคึกคักขึ้นเล็กน้อย เธอหัวเราะพลางว่า “ฉันไม่กินอาหารนายแบบเปล่าๆ หรอก อะนี่ ช็อกโกแลตสองคำเป็นการแลกเปลี่ยน”
ลั่วซินอวี่พลันหยิบช็อกโกแลตชิ้นใหญ่ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ยื่นให้เริ่นเสี่ยวซู่ เธอทำท่าราวกับนี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมมาก
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง ก่อนจะรับช็อกโกแลตมา เป็นครั้งแรกเลยที่เขาเห็นช็อกโกแลตของจริง เขาเคยได้ยินคุณจางพูดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่สูงที่สามารถฟื้นคืนพละกำลังได้อย่างรวดเร็ว
แต่ร้านขายของชำของเหล่าหวังขายแค่น้ำตาลทรายขาว แถมยังแพงหูฉี่อีกด้วย ไม่มีช็อกโกแลตขายในร้านเลย
ฉับพลันทันใด ‘สองคำ’ ก็กลายเป็นข้อตกลงไปโดยปริยาย จะไม่มีใครกินเกินกว่านั้น
เริ่นเสี่ยวซู่หยิบช็อกโกแลตขึ้นมา แกะห่อ จากนั้นก็อ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วก็ยัดช็อกโกแลตทั้งชิ้นเข้าปากไป
ลั่วซินอวี่ตะลึง ส่วนหยางเสียวจิ่นมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาว่างเปล่า
เริ่นเสี่ยวซู่ค่อยๆ เคี้ยวช็อกโกแลต คิดสักพัก ก็พูดกับลั่วซินอวี่ว่า “เธอติดฉันอีกคำนะ”
ลั่วซินอวี่ “???”
หยางเสียวจิ่น “…”
ช็อกโกแลตรสชาติอร่อยมาก เริ่นเสี่ยวซู่คิด ขนาดอาหารในป้อมยังต่างกับในเมืองเลยนะเนี่ย
แครกเกอร์หวานกรุบกรอบ ช็อกโกแลตก็มีรสชาติแปลกใหม่ ขมนำหวานตาม
เริ่นเสี่ยวซู่พลันรู้สึกว่าตนเองต้องหาของมาแลกอาหารกับลั่วซินอวี่แล้วก็คนอื่นๆ เสียแล้ว พอกลับเมืองไป จะได้ชวนเหยียนลิ่วหยวนกับเสี่ยวอวี้กินของที่เขานำกลับไปได้
ลั่วซินอวี่อยากสนิทกับเริ่นเสี่ยวซู่มากขึ้น เพราะสัมผัสได้ว่าเขามีทักษะเอาตัวรอดอันเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างทาง เขาน่าจะดูแลเธอได้ คนอย่างลั่วซินอวี่มากเล่ห์เพทุบาย ไม่อย่างนั้นพวกเธอจะล่อลวง ‘เหล่าผู้มีอำนาจ’ ที่แท้จริงในป้อมปราการได้อย่างไร
และลั่วซินอวี่เองก็ไม่คิดว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะเข้าหายากอะไร แถมเธอยังรู้สึกอีกด้วยว่าหัวของเริ่นเสี่ยวซู่น่าจะมีอะไรผิดปกติจริงๆ แล้วละ
ลั่วซินอวี่กัดปลาไปสองคำน้อย จากนั้นก็กลับไปที่กองไฟของตัวเอง เธอหยิบช็อกโกแลตอีกชิ้นมาจากรถแล้วมอบให้เริ่นเสี่ยวซู่ เขาไม่ได้กินทันที แต่เก็บไว้ในกระเป๋า
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็หันไปมองหยางเสียวจิ่น เขาเห็นเธออ้าปากกว้างสุดชีวิต แล้วก็ก้มลงเขมือบ กัดปลาหนึ่งทีก็หายไปเกือบหนึ่งส่วนสี่ของปลาครึ่งตัวแล้ว! เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงลานไปทันที เป็นสาวเป็นแส้ กินให้มันดูมีมารยาทมากกว่านี้ไม่ได้เหรอ ขนาดหลีโหยวเฉียนเด็กสาวร่างใหญ่คนนั้นยังไม่กินแบบนี้เลย เข้าใจไหม!
เริ่นเสี่ยวซู่เอาปลาครึ่งตัวไปแลกน้ำจึงเหลือครึ่งตัว ตอนนี้หยางเสียวจิ่นกินไปสองคำ เขาก็เหลือแค่หนึ่งในสี่จากของเดิมเอง แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุอะไร เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าเธอไม่ได้เสแสร้งอะไรแม้แต่น้อย ทุกอย่างที่เธอทำล้วนตรงไปตรงมา ดูดีกว่าการแสดงออกของดาราสาวลั่วซินอวี่มาก
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นหยางเสียวจิ่นหันมามองเขา เขาก็รีบเลียปลาในมือทันที “เอาอีกไหม”
หยางเสียวจิ่นเดินจากไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย “อย่าพกช็อกโกแลตติดตัวไปไหนมาไหน ไม่งั้นจะละลาย”
ตกกลางคืน ทุกคนวางเต็นท์เตรียมที่พัก พวกเขามีเต็นท์สีสันสดใสใส่ไว้ในท้ายรถ หนึ่งเต็นท์นอนสองคน ยกเว้นแค่หยางเสียวจิ่นกับลั่วซินอวี่ที่มีเต็นท์ส่วนตัวของตัวเอง
ขณะเดียวกันนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็วุ่นอยู่กับการนำเศษกระดูกกับขยะไปฝังห่างจากแคมป์อย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร ก่อนจะกลับมายังที่นอนชั่วคราวของตัวเอง
คนอื่นๆ ในเต็นท์ต่างมองเริ่นเสี่ยวซู่ที่กำลังยุ่งรอบๆ แคมป์อย่างสนอกสนใจ พวกเขาคิด อันนี้คือเทคนิควิธีการเอาตัวรอดในแดนรกร้างเหรอ เขาดูเชี่ยวชาญโคตรๆ เลย
พวกเขาเห็นเริ่นเสี่ยวซู่เคลื่อนย้ายกองไฟเดิม แล้วก็สร้างกองใหม่ด้วยกิ่งสนกับไม้เนื้อแข็งที่คาดว่าจะเผาไหม้ได้นานกว่า เริ่นเสี่ยวซู่ดับไฟกองเดิมและทำความสะอาดให้เรียบร้อย จากนั้นก็นำใบสนจำนวนมากมากองบนพื้นอุ่นๆ
ใบสนพวกนี้เจอได้ทั่วไปในป่า แถมยังเป็นใบแบบหนามากด้วย
“เจ้าเด็กนั่นถึงกับทำเตียงให้ตัวเอง!” หลิวปู้โพล่งออกมาขณะมองดูเริ่นเสี่ยวซู่ที่นอนสบายบนเตียงใบสน ตอนนี้มันปลายฤดูใบไม้ร่วง นอนบนกองไฟที่ดับแล้วน่าจะทั้งอุ่นทั้งสบายมากแน่เลย แถมข้างๆ ยังมีอีกกองอีกต่างหาก
ดูอุ่นสบายสุดๆ
กลับกัน เต็นท์ของพวกทหารนั้นตั้งอยู่รอบๆ กองไฟ ส่วนเต็นท์พวกคณะนักดนตรีนั้นตั้งอยู่ห่างออกจากกองไฟไปอีก ทำให้พวกเขาต้องทนหนาวกันไป ยังดีที่พวกเขามีผ้าห่ม ไม่อย่างนั้นไม่รู้แล้วว่ารอดพ้นทั้งคืนไปได้อย่างไร
ส่วนหยางเสียวจิ่นมาตั้งเต็นท์ใกล้ๆ กองไฟของเริ่นเสี่ยวซู่ ไม่เกรงอกเกรงใจอะไรเขาเลย
เริ่นเสี่ยวซู่เปิดตามองไปทางเต็นท์ของหยางเสียวจิ่น เขาเห็นว่าประตูเต็นท์ของเธอนั้นไม่ได้ปิดสนิท แบบนี้จะสะดวกต่อเธอในการสังเกตการเคลื่อนไหวรอบกายมากกว่า แถมปืนในมือเธอยังชี้มาทางเริ่นเสี่ยวซู่อีก…ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น อีกมือเธอยังมีปืนอีกกระบอก และก็กำลังชี้ไปทางเต็นท์ของพวกทหาร!