บทที่ 22 แกงปลาใส่เห็ด

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ยี่สิบสอง

แกงปลาใส่เห็ด

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งกับเสวี่ยเจียเยว่กลับมาถึงถ้ำ พระอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลับลาขอบฟ้าไปแล้ว หมู่เมฆสีสันสดใสค่อยๆ จางหายไปในความมืด มองเห็นหมู่ดาราสุกสกาวบนท้องฟ้าสีครามเข้ม

เสวี่ยหยวนจิ้งปลดกระบุงบนหลังวางลงกับพื้น จากนั้นก็มองหาก้อนหินหนึ่งก้อน และดันมาปิดปากถ้ำเอาไว้

ถึงแม้ปากถ้ำไม่กว้างนัก แต่หินก้อนนี้ก็ไม่ใช่เล็กๆ เสวี่ยเจียเยว่รู้ว่าเด็กหนุ่มใช้แรงไปไม่น้อย เธอจึงเดินไปช่วยเขาอีกแรง

หลังจากใช้ก้อนหินปิดปากถ้ำเสร็จแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งก็เริ่มก่อไฟ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเมื่อก่อนเขาเคยเข้ามาในป่าลึก และเคยค้างแรมอยู่ที่นี่ หรือเพราะเดิมทีเขาเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว จึงชำนาญกับเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก อีกทั้งทำอะไรก็ล้วนเป็นระเบียบตามขั้นตอน

เขานำหินสองก้อนที่ผิวค่อนข้างเรียบมาใช้แทนเตาเช่นเคย ใช้กิ่งไม้แห้งกับใบไม้แห้งในการก่อไฟ จากนั้นก็คอยเพิ่มกิ่งไม้เข้าไปเรื่อยๆ ยกหม้อใบเล็กที่ใส่น้ำเอาไว้ครึ่งหนึ่งขึ้นวางบนหินสองก้อนนั้น แล้วนำเห็ดที่ล้างจนสะอาดใส่ลงไปในหม้อ รอจนน้ำเดือดก็ใส่ปลาตามลงไป เขาทำทุกขั้นตอนโดยไม่ต้องให้เสวี่ยเจียเยว่ช่วยเหลือแม้แต่น้อย

ปลาตะเพียนตัวนี้อ้วนพีเป็นอย่างมาก มันถูกเด็กหนุ่มปลิดชีพที่ลำธารแล้ว และถูกล้างทำความสะอาดเรียบร้อย

เมื่อนึกถึงสีหน้าเย็นชาของเขาตอนสังหารปลาตัวนั้น ท่าทางที่เงื้อมีดก่อนจะสับลงดูเด็ดขาดเหี้ยมโหดไม่น้อย เสวี่ยเจียเยว่ก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างอดไม่ได้

เธอรู้ว่าบทบาทของเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนใจคอโหดเหี้ยม พอนึกถึงท่าทางการฆ่าปลาก่อนหน้านี้ ก็คิดว่าต่อไปเด็กหนุ่มต้องไม่ไว้ชีวิตคนที่เคยล่วงเกินเขาอย่างแน่นอน

เพียงครู่เดียวความหวาดกลัวของเสวี่ยเจียเยว่ก็หายไป กลายเป็นปีติยินดีกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ถึงแม้ว่าในตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งจะเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อเธอบ้างแล้ว แต่เธอก็ควรสานสัมพันธ์อันดีกับเขาต่อไป

เธอเดินไปหยิบกิ่งไม้มาเติมเข้าไปในเตา พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่ ให้ข้าช่วยดูไฟนะเจ้าคะ ส่วนท่านก็ทำใจให้สบาย อ่านตำราไปเถิด”

เมื่อครู่นี้หลังจากเสวี่ยหยวนจิ้งใส่เห็ดกับปลาลงไปในหม้อแล้ว เขาก็หยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ ก่อนจะอ่านภายใต้แสงเปลวไฟจากเตา บางครั้งก็ต้องหยุดอ่านเพื่อหยิบกิ่งไม้มาเติมในเตา พอได้ยินเสวี่ยเจียเยว่กล่าว เขาเงยหน้าขึ้นมองเธอทันที จากนั้นก็โยนกิ่งไม้ในมือทิ้งไป และก้มหน้าอ่านตำราต่อ

เขาใช้เวลาว่างเท่าที่มีเพื่ออ่านตำรา… เสวี่ยเจียเยว่คิดพลางก้มหน้าเพิ่มกิ่งไม้อย่างตั้งใจ

ทำเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้ง และพบว่าสีหน้าของเขาดูมุ่งมั่นกับการอ่านตำรา ใบหน้าหล่อเหลาด้านข้างถูกแสงไฟสีส้มอันอบอุ่นส่องกระทบ

ในยามนี้เขาดูอ่อนโยน ไม่ได้เย็นชาเหมือนทุกวันที่ผ่านมา

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจ หากมารดาเขายังไม่ตาย หากบิดาเขามีความรับผิดชอบมากกว่านี้ เขาคงเป็นคนที่อ่อนโยนมากคนหนึ่ง ตั้งใจเล่าเรียน และสอบขุนนางผ่าน

เส้นทางชีวิตคนแม้จะไม่ราบรื่น แต่สุดท้ายก็คือเรื่องธรรมดา เป็นเพราะเมื่อต้องเจอกับการกระทำอันโหดร้ายของซุนซิ่งฮวา และการเมินเฉยจากบิดาแท้ๆ นิสัยของเขาถึงได้เปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นนี้ กระทั่งกลายเป็นคนเลือดเย็นในที่สุด

เธอกับเขาล้วนถูกแม่เลี้ยงรังแกเช่นกัน เสวี่ยเจียเยว่จึงอดเห็นใจเสวี่ยหยวนจิ้งมิได้

เสียงน้ำในหม้อดังปุดๆ และเพราะไม่มีฝาปิด ไอน้ำกับกลิ่นหอมของเห็ดและปลาจึงโชยขึ้นมาเตะจมูก

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะกินผลไม้ไปมากแล้ว ทว่ายามนี้เมื่อได้กลิ่นหอมของแกงปลาใส่เห็ด เธอก็อดกลืนน้ำลายอึกใหญ่ไม่ได้

ไม่นานแกงปลาใส่เห็ดก็สุกได้ที่ เธอจึงหยิบถ้วยดินเผาขึ้นมา ตักแกงใส่จนเต็มถ้วยแล้วส่งให้เสวี่ยหยวนจิ้ง

“ท่านพี่ นี่ของท่านเจ้าค่ะ”

ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งอ่านตำราอยู่นั้น เขาตั้งใจเป็นอย่างมาก จนลืมสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว เมื่อได้ยินเสียงเสวี่ยเจียเยว่ ก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยท่าทางเหม่อลอย ราวกับไม่รู้ว่าใครเรียกเขาอยู่

สายตาของเขาดูอบอุ่นไร้พิษภัย ทำให้คนมองอยากจะเอื้อมมือไปลูบศีรษะเขาเบาๆ

เสวี่ยเจียเยว่ข่มอารมณ์ชั่ววูบของตนไว้ แต่กลั้นยิ้มไม่ได้ เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟ รอยยิ้มบนใบหน้าเธอจึงดูสดใสเปล่งประกาย ราวกับไข่มุกที่เปล่งแสงแวววาว

“ท่านพี่ กินได้แล้วเจ้าค่ะ”

สายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา เขามองเสวี่ยเจียเยว่เงียบๆ ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นมือไปรับถ้วยดินเผา

แม้ว่าอากาศจะหนาว แต่เมื่อได้ดื่มน้ำแกงร้อนๆ ถ้วยนี้ เขาก็ไม่รู้สึกหนาวแล้ว

คำว่า ‘สดอร่อย’ ก็คือการใช้คำว่า ‘ปลา’ กับ ‘แกะ’ มาประสมกัน ดังนั้นคำนี้จึงนำมาบรรยายเนื้อปลาในถ้วยนี้ว่ามันอร่อยมากเพียงใด ส่วนเห็ดก็สดเช่นกัน ของสองสิ่งนี้เมื่อนำมาต้มในหม้อพร้อมกัน รสชาติก็ยิ่งกลมกล่อมเป็นพิเศษ

เสวี่ยเจียเยว่ดื่มน้ำแกงหมดไปสองถ้วยอย่างรวดเร็ว ก่อนจะตักเห็ดขึ้นมากิน แต่ปลานั้นเธอไม่กินแม้แต่นิดเดียว เพราะอยากจะเหลือไว้ให้เสวี่ยหยวนจิ้ง ถึงอย่างไรปลาตัวนี้เขาก็เป็นคนจับมาอย่างยากลำบาก ด้วยการยืนนิ่งๆ อยู่ในลำธารที่เย็นเฉียบ อีกอย่าง… ก็เป็นเขาที่ก่อไฟ เครื่องปรุงรสต่างๆ ที่ใส่ลงไปล้วนเป็นเขาที่เตรียมมาจากเรือน แกงปลาใส่เห็ดในหม้อจึงเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ ตอนนี้เธอพอใจในสิ่งที่ตนได้มาแล้ว

เธอวางถ้วยลง ก่อนจะยกสองมือขึ้นมากอดเข่า และกวาดตามองไปทั่วถ้ำแห่งนี้

ร่างกายของเอ้อร์ยาขาดสารอาหารจึงดูผอมกะหร่อง ทว่าเครื่องหน้าของนางดูงดงามหมดจด แต่แม้ว่าจะเกิดมาหน้าตางดงาม ด้วยนิสัยหยาบคายไร้มารยาท ก็ทำให้ชาวบ้านรู้สึกว่านางเป็นคนใจดำและเหลาะแหละ

ตรงกันข้าม… เสวี่ยเจียเยว่กลับทำให้คนมองรู้สึกมีชีวิตชีวา และตอนนี้แสงไฟสีส้มที่ส่องกระทบร่างก็ปกปิดผิวสีเหลืองและรูปร่างผอมกะหร่อง กลายเป็นดูงดงามน่าเอ็นดูยิ่งกว่าวันปกติ โดยเฉพาะดวงตาที่ดูฉลาดเฉียบแหลม

เสวี่ยหยวนจิ้งมองอีกฝ่ายอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันความสงสัยก็มากขึ้น

มองอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเอ้อร์ยาได้ เพียงแค่มีใบหน้าเหมือนกันเท่านั้น…

เด็กหนุ่มไม่ได้เอ่ยถามอะไร เพราะดูออกว่าคนที่อยู่กับเขาในขณะนี้ดูฉลาดเฉียบแหลม ทั้งยังสังเกตคนจากสีหน้าและคำพูดได้ หากเขาถามอะไรออกไป ถ้อยคำที่อีกฝ่ายตอบมาสิบประโยค อาจมีเจ็ดแปดประโยคที่เป็นเรื่องโกหก

อีกอย่าง… นั่นอาจทำให้แม่นางน้อยผู้นี้ระมัดระวังตัวมากขึ้น ต่อไปหากเขาอยากถามอีกก็จะยิ่งเป็นเรื่องยาก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เก็บเอาไว้ก่อนดีกว่า ถ้ามีโอกาสที่เหมาะสมกว่านี้ค่อยถามคงไม่เสียหายอะไร

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เสวี่ยหยวนจิ้งก็ถอนสายตากลับมา ก่อนจะก้มลงมองหม้อที่อยู่เบื้องหน้า

ถ้วยแกงปลาใส่เห็ดที่เสวี่ยเจียเยว่ส่งให้เขาก่อนหน้านี้ มีเนื้อปลาอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่งของเนื้อปลาทั้งหมด เดิมทีเขานึกว่าอีกฝ่ายจะเก็บส่วนที่เหลือเอาไว้กินเอง แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่แตะต้องเนื้อปลาแม้แต่นิดเดียว กินเห็ดเพียงสองสามชิ้น และดื่มน้ำแกงไปสองถ้วยเท่านั้น…

เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่เพิ่งกินผลไม้ไปก่อนหน้านี้ และแม้ที่ผ่านมาอีกฝ่ายจะแอบขโมยของกินไปซ่อนจากสายตาซุนซิ่งฮวา แต่ก็ไม่เคยได้กินอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ ตอนนี้มีเนื้อปลาอยู่ตรงหน้าแท้ๆ กลับไม่กิน

เป็นเพราะทะนงตัวเกินไป หรือคิดจะเหลือเนื้อปลาไว้ให้เขากิน

เสวี่ยหยวนจิ้งเงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยเจียเยว่อีกครั้ง และเห็นว่าสายตาของอีกฝ่ายยังคงมองผนังหิน สีหน้าดูมีความสุขไม่น้อย

จากนั้นเขาพลันเหลือบไปเห็นถ้วยกับตะเกียบที่เสวี่ยเจียเยว่วางเอาไว้ข้างๆ เสวี่ยหยวนจิ้งจึงโน้มตัวไปหยิบถ้วยของอีกฝ่ายขึ้นมา และตักเนื้อปลาที่เหลืออยู่ลงไป ทั้งยังเทน้ำแกงใส่ครึ่งถ้วย ก่อนจะยื่นถ้วยนั้นไปตรงหน้าเสวี่ยเจียเยว่โดยไม่เอ่ยคำใด

เสวี่ยเจียเยว่กำลังกวาดตามองผนังหินที่ไม่ราบเรียบภายใต้แสงไฟในเตา ราวกับภาพวาดภาพหนึ่งก็มิปาน ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยื่นบางอย่างให้จึงจ้องมองทันที และพบถ้วยดินเผาใบหนึ่งซึ่งมีเนื้อปลากับน้ำแกงอีกครึ่งถ้วย

นิ้วมือเรียวยาวขาวบริสุทธิ์ที่ถือถ้วยอยู่นั้นดูงดงามไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่เงยหน้าขึ้นมองเสวี่ยหยวนจิ้งอย่างตกใจ และเห็นสีหน้าที่ราบเรียบไร้อารมณ์ของเขา เมื่อเห็นว่าเธอมองอยู่ เขาก็ยื่นถ้วยใกล้เข้ามาอีก… ความหมายนั้นเป็นอันชัดเจนแล้ว

เธอรู้สึกราวกับได้รับความเอ็นดูอย่างน่าประหลาด แต่เธอไม่ได้รับถ้วยใบนั้นมา “ท่านพี่ ข้าไม่กินแล้วเจ้าค่ะ ท่านกินเถอะ”

จากนั้นเธอก็สังเกตเห็นว่าสายตาของเสวี่ยหยวนจิ้งไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

เสวี่ยเจียเยว่ไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นเขาใจดีตักน้ำแกงให้เธอเช่นนี้ ทั้งยังตักเนื้อปลาที่เหลือให้ด้วย ทว่าเธอกลับไม่รับน้ำใจจากเขา ถ้าเขาดีใจสิถึงจะแปลก

เมื่อคิดถึงบทบาทของเสวี่ยหยวนจิ้งที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนต้องแก้แค้น เสวี่ยเจียเยว่ก็นึกเสียใจที่เมื่อครู่ตนตอบตรงเกินไป แม้จะไม่อยากรับถ้วยจากเขา เธอก็ควรปฏิเสธให้นุ่มนวลกว่านี้ เพราะเหตุนี้เธอจึงคิดจะเอ่ยปากอธิบายว่าตนกินอิ่มแล้ว แต่ไม่รอให้เธอเปิดปาก เสวี่ยหยวนจิ้งก็ยัดถ้วยใส่มือเธอ ก่อนจะนั่งตัวตรงแล้วหยิบตำราขึ้นมาอ่านต่อ

ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจเธอแม้แต่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่แอบพร่ำบ่นในใจ เขามีนิสัยพูดน้อยและทะนงตัว ซ้ำยังขี้หงุดหงิดอีกด้วย…

แกงปลาใส่เห็ดถ้วยนี้ร้อนยิ่งนัก กระทั่งทำให้จิตใจของเธอร้อนไปด้วย แต่ถึงอย่างไรความรู้สึกที่มีคนห่วงใยก็มักจะเป็นเรื่องน่ายินดีเสมอ ดังนั้นแม้ว่าจะพร่ำบ่นในใจ เธอก็ยังยิ้มแย้มเช่นเคย

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณท่านพี่เจ้าค่ะ”

จากนั้นเธอก็ยกถ้วยแกงขึ้นดื่ม ก่อนจะหยิบตะเกียบมาคีบเนื้อปลากิน

ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่ก้มหน้าก้มตากิน ย่อมมองไม่เห็นหางตาของเสวี่ยหยวนจิ้งที่แอบเหลือบมองเธอ และมุมปากที่โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบางๆ แต่รอยยิ้มนั้นผุดขึ้นเพียงไม่นาน สีหน้าของเขาก็กลับมาเย็นชาเหมือนเดิม ก่อนจะก้มหน้าอ่านตำราอีกครั้ง

ไม่นานเสวี่ยเจียเยว่ก็กินเนื้อปลาและดื่มน้ำแกงจนหมดถ้วย แล้วเก็บถ้วยกับตะเกียบอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็มีคำถามใหม่ในใจ

ตอนที่เธอเข้ามาในถ้ำครั้งแรก แม้จะพบว่าด้านในมีหญ้าแห้งปูเอาไว้เป็นที่ให้นอน แต่ก็มีแค่ที่เดียว แล้วพวกเขาจะนอนได้อย่างไรเล่า ไม่ว่าอย่างไรทั้งสองก็นอนด้วยกันไม่ได้เด็ดขาด