บทที่ 23 ค่อยๆ ทลายกำแพงน้ำแข็ง

ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย

ยี่สิบสาม

ค่อยๆ ทลายกำแพงน้ำแข็ง

สุดท้ายเสวี่ยหยวนจิ้งก็เป็นฝ่ายเสียสละให้เสวี่ยเจียเยว่นอนบนหญ้าแห้งที่ปูเอาไว้ ส่วนตนก็นั่งพิงผนังหิน และหลับตาลงเตรียมจะพักผ่อนด้วยท่านี้

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นเช่นนั้น เธอรู้สึกไม่สบายใจนัก

ผนังหินที่ไม่เคยโดนแสงแดดไม่รู้กี่ร้อยปีมาแล้วย่อมเย็นเฉียบไม่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น… ตอนนี้ก็เป็นปลายฤดูใบไม้ร่วง จะให้เสวี่ยหยวนจิ้งนั่งหลับพิงผนังหินเช่นนั้นทั้งคืนได้อย่างไร ไม่เพียงอากาศจะหนาวเย็นจนเข้ากระดูกเท่านั้น แต่ยังส่งผลเสียต่อสุขภาพของเขาอีกด้วย

ทว่าจะให้เธอกับเสวี่ยหยวนจิ้งนอนด้วยกันก็เป็นไปไม่ได้ เธอจึงคิดหาวิธี ก่อนจะดึงหญ้าแห้งครึ่งหนึ่งมาวางไว้ข้างเตาไฟ จัดวางให้ดูเรียบร้อยพลางเรียกเสวี่ยหยวนจิ้ง

“ท่านพี่ ท่านมานอนตรงนี้เถิด ตรงนี้อุ่นกว่าเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งลืมตามองเสวี่ยเจียเยว่…

ภายใต้แสงไฟสีส้มนวล ราวกับมีดวงดาวพร่างพราวอยู่ในดวงตาของแม่นางน้อย เป็นประกายระยิบระยับดูสดใส

เขามองเสวี่ยเจียเยว่จัดหญ้าแห้งจนเสร็จสรรพ

จากนั้นเสียงเรียกของแม่นางน้อยก็ดังขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ท่านพี่ พิงผนังหินมันหนาวมากนะเจ้าคะ ท่านมานอนตรงนี้จะดีกว่า ตรงนี้อยู่ใกล้เตาไฟ อุ่นไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ”

แม้ไม่อยากยอมรับ ทว่าลึกๆ แล้วเสวี่ยหยวนจิ้งชอบตอนที่อีกฝ่ายเรียกเขาว่าท่านพี่ยิ่งนัก…

ในที่สุดเขาก็เดินไปนั่งลงบนหญ้าแห้งเงียบๆ แล้วเหลือบมองเสวี่ยเจียเยว่ที่กำลังปูที่นอนของตน

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ปูเสร็จก็หันไปพบว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังมองมา เธอจึงยิ้มให้เขาตามสัญชาตญาณ รอยยิ้มของเธอดูสดใสเสมอ ทำให้คนมองรู้สึกดีไม่น้อย และอยากจะยิ้มตอบทันที

เด็กหนุ่มจ้องมองแม่นางน้อยอย่างเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนจะนอนตะแคงหันหลังให้

เสวี่ยเจียเยว่ชินกับท่าทางเย็นชาของเขามาตั้งนานแล้ว จึงนอนตะแคงหันหลังให้เสวี่ยหยวนจิ้งเช่นกัน

ยามราตรีในป่าลึกบนเขาเงียบวังเวงยิ่งนัก เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเสียงลมพัดยอดไม้ดังหวีดหวิวอยู่นอกถ้ำอย่างชัดเจน มีเสียงนกฮูกร้องดังลอยมาตามลมเป็นครั้งคราว และเสียงกิ่งไม้ในเตาดังแปะๆ เบาๆ ตลอดเวลา

เธอนอนไม่หลับจนต้องพลิกตัวนอนหงาย ก่อนจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ด้านบนของถ้ำแห่งนี้มีช่องที่ยาวและแคบอยู่ช่องหนึ่ง ทำให้ควันไฟลอยขึ้นไปได้ และไม่ทำให้พวกเขาแสบตากับจมูกมากนัก ทั้งยังมองเห็นพระจันทร์หม่นแสง รวมทั้งดวงดาวที่พร่างพราวอยู่เต็มท้องฟ้า

ดวงดาวในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงมีไม่มากเท่าฤดูร้อน แต่ทุกดวงล้วนเปล่งประกายสดใสราวกับใช้น้ำสะอาดชำระล้างก็มิปาน ทำให้คนที่ได้มองรู้สึกจิตใจสงบเป็นอย่างมาก

ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูหนึ่งที่ทำให้จิตใจสงบ มนุษย์ก็เหมือนกัน เมื่อผ่านช่วงเวลาเลือดร้อนในวัยเด็กและวัยหนุ่มสาว จนถึงวัยกลางคน นิสัยก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงบสุขุมขึ้นโดยปริยาย

เสวี่ยเจียเยว่ไม่อาจข่มตาให้หลับได้ ในคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ มักจะทำให้หวนนึกถึงเรื่องราวมากมายในอดีต เธอยังคงกลัดกลุ้มกับอนาคตของตัวเองต่อจากนี้ และหวาดกลัวอยู่ลึกๆ เธอไม่เคยเข้ามาในป่าลึกสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการค้างคืนในถ้ำเช่นนี้

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโหยหวนเสียงหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเสียงของหมาป่าหรือไม่ เสวี่ยเจียเยว่ตกใจจนลุกขึ้นนั่งทันที

การเคลื่อนไหวนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้หญ้าแห้งใต้ร่างเธอดังกรอบแกรบ

ก่อนหน้านี้เสวี่ยหยวนจิ้งแกล้งทำเป็นหลับ แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพลิกตัวแผ่วเบา เขาก็ได้ยินอย่างชัดเจน ทว่าไม่คิดจะสนใจเท่านั้นเอง… แต่ในยามนี้ เมื่อได้ยินเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน เขาขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พลิกตัวตะแคงไปอีกข้างเพื่อมองอีกฝ่าย

สายตาของเสวี่ยเจียเยว่ประสานกับดวงตาดำขลับคู่นั้นโดยไม่ทันตั้งตัว

เจ้าของดวงตาคู่นั้นดูสุขุมเย็นชาเสมอ ราวกับแม้จะเกิดเรื่องใหญ่เพียงใด เขาก็จะแก้ไขได้ทันท่วงที

การอยู่กับคนเช่นนี้… เป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกปลอดภัย หรือพูดอีกอย่างก็คือ เสวี่ยหยวนจิ้งทำให้คนที่ได้อยู่ใกล้รู้สึกปลอดภัย ดังนั้นจิตใจที่กระวนกระวายของเสวี่ยเจียเยว่จึงค่อยๆ สงบลง

แต่ถึงอย่างไร ในใจลึกๆ ของเธอยังคงหวาดกลัว พอได้ยินเสียงร้องโหยหวนเมื่อครู่ เธอก็ไม่อยากจะหลับตานอน

นี่เป็นค่ำคืนที่ยาวนานในปลายฤดูใบไม้ร่วง หากเธอไม่นอน ทั้งยังได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวด้านนอกถ้ำ คงเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานไม่น้อย ถ้าในยามนี้มีคนให้สนทนาด้วย ค่ำคืนนี้ก็จะผ่านพ้นไปได้อย่างไม่น่ากลัว

แม้จะรู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเย็นชามากแค่ไหน แต่ถ้าเธอพูดกับเขาไปสิบประโยค ไม่แน่เขาอาจตอบกลับมาหนึ่งประโยคก็เป็นได้ ขอเพียงตอนที่เธอยังไม่หลับ อีกฝ่ายก็ไม่หลับเช่นเดียวกัน หากเป็นเช่นนั้นเธอก็รู้สึกปลอดภัยแล้ว

คิดได้ดังนั้น เสวี่ยเจียเยว่ก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ท่านพี่…”

เสวี่ยหยวนจิ้งปรายตามองอีกฝ่ายโดยไม่เอ่ยคำใด

พูดกับคนที่ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจากับคนอื่นเช่นนี้ช่างน่าอึดอัดจริงๆ เสวี่ยเจียเยว่ลูบจมูกตัวเอง รอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้ากลับกลายเป็นยิ้มเจื่อน

เครื่องหน้างดงาม จมูกรั้นโด่ง ปลายจมูกกลมมนเล็กงอนขึ้นเล็กน้อย ดูงดงามเป็นที่สุด

เมื่อก่อนเสวี่ยหยวนจิ้งแทบไม่สนใจในตัวอีกฝ่าย ทว่าเมื่อเริ่มสนใจแล้ว ก็รู้สึกว่าแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนดีมากคนหนึ่ง ไม่เพียงมีใบหน้างดงามเท่านั้น นิสัยใจคอยังดีมากด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ยิ้มจนตาหยี ทำให้เขารู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยถึงเสียงโหยหวนเมื่อครู่นี้ “ท่านพี่ นั่นเสียงของหมาป่าหรือเจ้าคะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งเงียบงันไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงต่ำ “ใช่”

เสวี่ยเจียเยว่เงียบไปทันที คนผู้นี้ไม่มีทางมาคุยเล่นกับเธอแน่นอน รู้ว่าแม่นางที่อยู่ตรงหน้ากำลังหวาดกลัว ก็ควรเอ่ยปลอบใจสักประโยคสองประโยคว่านั่นไม่ใช่หมาป่าไม่ใช่หรือ แต่ดูเขาตอนนี้สิ พูดความจริงออกมาโต้งๆ อีกทั้งสีหน้ายังดูขึงขังเช่นนี้

จริงๆ เลยคนคนนี้ จะให้เธอเฉยชากับเรื่องนี้ก็คงไม่ได้

ไม่นานเสวี่ยเจียเยว่ก็เห็นเขาลุกขึ้นมานั่งบนที่นอนหญ้าแห้งของตน

แม้ไฟจะยังลุกไหม้อยู่ แต่แสงไฟก็อ่อนลงไม่น้อยแล้ว เสวี่ยหยวนจิ้งจึงเอื้อมมือไปหยิบกิ่งไม้มาเติมให้ไฟแรงขึ้น พลางเอ่ยปากพูดเบาๆ “ข้าปิดปากถ้ำเอาไว้อย่างแน่นหนาแล้ว”

เสวี่ยเจียเยว่ที่เหม่อลอยไปพักใหญ่ได้สติกลับมา ที่เสวี่ยหยวนจิ้งทำเช่นนี้จริงๆ แล้วก็เพื่อปลอบใจเธอ และวิธีของเขาก็ดูเหมือนจะนิ่มนวลเล็กน้อย หากเธอไม่เฉลียวฉลาดคงไม่มีทางเข้าใจประโยคนั้นของเขา

เมื่อมองท่าทางนิ่งสงบของเขาในตอนนี้ ความหวาดกลัวที่อยู่ในใจของเธอก็ค่อยๆ เลือนหายไป

พวกเขาสนทนากันต่ออีกเล็กน้อย เมื่อเอ่ยถึงความสุขใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่ก็มีรอยยิ้ม ดวงตาดำขลับคู่นั้นเมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟก็เป็นประกายสดใส

เสวี่ยหยวนจิ้งใช้ไม้เขี่ยไฟเล่น สักพักก็โยนกิ่งไม้หนึ่งหรือสองกิ่งเข้าไปในเตาที่ทำจากหินสองก้อน บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นมองสีหน้าเบิกบานของอีกฝ่ายเวลาพูดคุย ช่างดูสดใสน่ารักยิ่งนัก ทำให้มุมปากของเขาค่อยๆ โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างกลั้นไม่ได้

แม้จะได้ยินแม่นางน้อยพูดไม่หยุด ในใจเขากลับไม่รู้สึกรำคาญแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้วเขาเป็นคนรักความสงบ และไม่ชอบคบหากับคนที่พูดมากเป็นที่สุด แต่เขารู้ว่าเสวี่ยเจียเยว่ไม่ใช่คนพูดมากในวันปกติ คืนนี้อีกฝ่ายคงตกใจกลัวเสียงหมาป่าเมื่อครู่นี้จริงๆ เมื่อจิตใจหวาดกลัว จึงพูดกับเขาไม่หยุดเช่นนี้กระมัง

ทว่าพรุ่งนี้พวกเขาจะต้องออกไปเก็บของป่าแต่เช้า คืนนี้ต้องพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่อาจนั่งสนทนาจนถึงเช้าได้ เมื่อถึงตอนที่เสวี่ยเจียเยว่หยุดพูด เสวี่ยหยวนจิ้งจึงส่งถ้วยน้ำที่เทจากหม้อให้อีกฝ่ายเงียบๆ

เมื่อครู่นี้เขาเทน้ำใส่หม้อเล็กน้อย จากนั้นก็นำไปวางบนเตา น้ำในหม้อเดือดปุดๆ และมีไอน้ำตลบอบอวลอยู่ภายในถ้ำ

ไอน้ำกระทบใบหน้าทำให้พวกเขารู้สึกอบอุ่นขึ้นมาก เสวี่ยเจียเยว่คิดไม่ถึงว่าเสวี่ยหยวนจิ้งจะส่งถ้วยน้ำมาให้เธอ จึงตะลึงงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับถ้วยมาพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพี่”

เมื่อกล่าวจบก็ยกถ้วยน้ำขึ้นดื่มหนึ่งอึก น้ำถ้วยนี้ไม่ได้ร้อนจนถึงขั้นลวกปากแล้ว สามารถยกขึ้นดื่มได้อย่างง่ายดาย

เสวี่ยเจียเยว่ถอนหายใจอย่างอดมิได้ หากบอกว่าเสวี่ยหยวนจิ้งเป็นคนรอบคอบก็คงไม่ผิด เมื่อเทน้ำที่ต้มจนเดือดใส่ถ้วยแล้ว ก็วางเอาไว้ให้หายร้อนก่อนจะส่งให้เธอ อีกอย่าง… ยังส่งมาตอนที่เธอหยุดพูด แต่เมื่อคิดถึงสีหน้าที่เย็นชาเป็นปกติของเขา รวมถึงการกระทำเหล่านี้ ก็ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวเขาไม่น้อย ถึงขั้นอยากจะหนีไปให้ไกลเสียให้ได้

อย่างไรก็ตาม น้ำที่มีอุณหภูมิอยู่ในระดับพอดีถ้วยนี้ ถือเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่งของเธอ ร่างกายและจิตใจจึงอบอุ่นเป็นอย่างมาก

เสวี่ยเจียเยว่คิดว่าตอนนี้เสวี่ยหยวนจิ้งดีกับเธอแล้ว เช่นนั้นเธอก็ต้องดีกับเขาเหมือนกัน

ในภพที่จากมา หากใครทำดีกับเสวี่ยเจียเยว่ เธอจะจำได้เป็นอย่างดี จากนั้นก็ตอบแทนคนเหล่านั้นเป็นสองเท่า

เพราะเหตุนี้เธอจึงดื่มน้ำถ้วยนี้จนหมด ก่อนจะวางถ้วยลงแล้วส่งยิ้มสดใสให้เสวี่ยหยวนจิ้ง

เด็กหนุ่มดูออกว่ารอยยิ้มและคำขอบคุณของอีกฝ่ายนั้นจริงใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรู้สึกอบอุ่นในใจไม่น้อย

หลังจากนั้นไม่นาน เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินเขาถามขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เจ้านอนไม่หลับ? หวาดกลัวหรืออย่างไร”

เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็อ่านใจอีกฝ่ายได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

ใบหน้าของเสวี่ยเจียเยว่แดงระเรื่อ จากนั้นเธอก็พยักหน้ายอมรับ

“ใช่เจ้าค่ะ เสียงหมาป่าหอนเมื่อครู่ทำให้ข้าตกใจไม่น้อย เพราะข้ากลัวจึงนอนไม่หลับ ก็เลยอยากจะพูดคุยกับท่านพี่พอให้ผ่านพ้นค่ำคืนที่แสนยาวนานนี้ไปได้”

ฟังจากคำถามของเสวี่ยหยวนจิ้ง เขาคงเดาออกตั้งนานแล้ว หากเธอปิดบังต่อไปก็คงไม่มีประโยชน์อันใด

เมื่อเสวี่ยหยวนจิ้งได้ยินแม่นางน้อยตอบเช่นนั้น คิ้วเรียวงดงามพลันขมวดเล็กน้อย

“นอนลง” จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น น้ำเสียงยังคงราบเรียบและเย็นชา

แม้ว่าเสวี่ยเจียเยว่จะข้ามภพมาอยู่ในร่างของเด็กแปดขวบ แต่ในค่ำคืนที่เงียบสงัด สองคำนั้นก็ทำให้เข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย

เสวี่ยหยวนจิ้งมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง สายตาดูเหมือนจนปัญญาและอยากจะหัวเราะออกมาในเวลาเดียวกัน

“นอนลง แล้วหลับตาพูด”

เสวี่ยเจียเยว่เข้าใจทันที จึงนอนลงอย่างว่าง่าย แล้วหลับตาพูดกับเสวี่ยหยวนจิ้งที่พูดบ้างไม่พูดบ้าง

ทันใดนั้นเสียงราบเรียบของเด็กหนุ่มก็ดังขึ้น “ลองคิดถึงเรื่องที่เจ้ามีความสุข”

เรื่องที่มีความสุขอย่างนั้นหรือ…

เสวี่ยเจียเยว่นึกถึงตากับยาย และบ้านหลังเล็กที่เคยอยู่ด้วยกัน

ตาชอบปลูกดอกไม้ ลานบ้านที่ไม่กว้างนักมีดอกไม้ต้นหญ้ากว่าครึ่งลาน เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในช่วงฤดูร้อน เธอกับตาจะสร้างร่มเงาเพื่อบังแสงแดดให้แก่ดอกไม้และต้นหญ้าเหล่านั้น ส่วนยายก็ทำกับข้าวอยู่ในครัว กลิ่นหอมของซี่โครงหมูตุ๋นมันฝรั่งน้ำแดงโชยออกมา และมีเสียงของยายดังออกมาจากในครัว

“ตาหลานคู่นั้นเข้าบ้านมากินข้าวได้แล้วจ้า”

ในที่สุดเสวี่ยเจียเยว่ก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างช้าๆ ส่วนเสวี่ยหยวนจิ้งเหลือบมองอีกฝ่ายเงียบๆ แม้เสวี่ยเจียเยว่จะหลับไปแล้ว แต่ใบหน้ายังคงแต้มด้วยรอยยิ้ม ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อครู่อีกฝ่ายคิดถึงเรื่องอะไร สีหน้าจึงดูผ่อนคลายและอิ่มอกอิ่มใจเช่นนี้ เขาไม่เคยเห็นแม่นางน้อยมีสีหน้าเช่นนี้มาก่อนเลย