บทที่ 35 สนทนายามค่ำคืน

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 35 สนทนายามค่ำคืน Ink Stone_Romance

ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ยังไม่มีใครพบเห็น

เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานเท่าใดแล้ว สวนอวี๋ฟางมีสาวใช้มากมายเช่นนี้ แต่ที่นี่กลับถูกเก็บกวาดซะสะอาดเรียบร้อย

หมิงเวยยิ้มเย็น เดิมทีนางคิดว่ามีใครบางคนสร้างสถานการณ์เพื่อทำร้ายฮูหยินสามก็ชั่วร้ายพอแล้ว ไม่คิดว่าสิ่งที่ชั่วร้ายที่แท้จริงจะอยู่ที่นี่

“ปิงซิน เจ้ายืนขึ้นเองได้หรือไม่” ปิงซินกุมศีรษะที่เปื้อนเลือดของนางแล้วค่อยๆ ลุกขึ้น

“คุณ คุณหนูเจ้าคะ…” นางตกใจกลัว “เจ้าออกไปเรียกแม่นมถงให้ซู่เจี๋ยไปหาฮูหยินผู้เฒ่า…”

“ไม่ได้!” ฮูหยินสามขัดจังหวะ “จะให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้ไม่ได้!”

หมิงเวยหมุนตัวกลับมา “ท่านแม่ ทำไมหรือเจ้าคะ”

ฮูหยินสามปากสั่น “เรื่องอื้อฉาวเช่นนี้ หากท่านย่าของลูกรู้เข้า มันจะไม่ดีสำหรับลูก”

หมิงเวยทำได้เพียงพูดว่า “เรื่องนี้ต้องมีคนจัดการหรือไม่”

นางไม่คิดที่จะให้นายท่านหกตาย แต่เรื่องนี้จะต้องมีเรื่องยุ่งยากตามมา ซึ่งเป็นผลเสียต่อฮูหยินสามแน่นอน

จวนที่มีเรือนใหญ่หลายหลังเป็นเรื่องยุ่งยากมาก หากเป็นนางเมื่อชาติที่แล้ว คนต่ำช้าเช่นนั้นนางคงฆ่าทิ้งไปแล้ว

“บอกแม่นมให้ไปตามท่านลุงสอง” ฮูหยินสามลดเสียงลง “เขารู้ว่าควรทำอย่างไร”

หมิงเวยพยักหน้า นางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้ปิงซิน “เจ้ากลับไปบอกแม่นมถงตามนั้น แล้วรีบจัดการกับแผลของตัวเองด้วย”

“เจ้าค่ะ” ปิงซินรับผ้าเช็ดหน้ามาปิดแผล เดินหายเข้าไปในความมืดเพื่อรีบออกไปรายงาน

ฮูหยินสามมองไปยังนายท่านหกที่นอนร้องโหยหวนอยู่บนพื้นเพื่อคลายความเกลียดชังและความกลัวของตนเอง

“ลูกไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ ทำไมถึงใจกล้าเช่นนี้! บอกให้ลูกหนีไปก็ไม่ยอมไป”

ฮูหยินสามที่สติกลับมาแล้วตีบุตรสาว นางร้องไห้อีกครั้ง “ลูกคงไม่รู้ว่าพละกำลังของบุรุษแข็งแรงเพียงใด เจ้าจะหนีไปได้อย่างไรกัน หากเขาจับตัวลูกได้แล้วถ้า…”

ฮูหยินสามไม่กล้าคิดต่อ

หมิงเวยหัวเราะ ถึงแม้วิชาของนางจะยังไม่กลับมา แต่ก็ไม่ยากที่จะหลบหนีเงื้อมมือของคนที่ไม่เคยเรียนการต่อสู้มาก่อน

นอกจากนี้ สถานการณ์เมื่อสักครู่ นางก็ไม่สามารถทิ้งพวกนางไว้ข้างหลังได้หรอก

เพียงแต่ไม่คิดว่าจะทำให้ฮูหยินสามตกใจถึงเพียงนี้ พอมาคิดดูอีกที เงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ต่างหากที่น่าตกใจ

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้นางก็กอดฮูหยินสามเบาๆ หลายปีที่ผ่านมา นางต้องเผชิญกับเรื่องแบบนี้มากี่ครั้งกัน

แม่นมถงรีบพาซู่เจี๋ยเข้ามาแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นนายท่านหกนอนกุมท้องอยู่บนพื้น “ฮูหยินเจ้าคะ! นี่ นี่…”

“แม่นม!” ฮูหยินสามร้องไห้

แม่นมถงสงบลงอย่างรวดเร็ว “ซู่เจี๋ย เจ้ารีบส่งจดหมายไปตามยายเฒ่าหม่าที่ฝั่งตะวันออก แล้วรีบไปตามนายท่านสองมาด้วย”

“เจ้าค่ะ” ซู่เจี๋ยหน้าซีดด้วยความตกใจ นางรีบสงบสติอารมณ์ และวิ่งหายออกไปในความมืด

แม่นมถงถาม “นายท่านหกบาดเจ็บตรงไหนหรือเจ้าคะ อันตรายถึงชีวิตหรือไม่”

“ไม่ถึงตายหรอก” หมิงเวยปล่อยมือแล้วเดินไปหานายท่านหก

ฮูหยินสามรีบคว้าตัวนางทันที “อย่าไปนะ!”

หมิงเวยปลอบนาง “เขาถูกลูกแทงที่จุดสำคัญ ตอนนี้เขาเจ็บเกินกว่าที่จะลุกขึ้นได้ ไม่มีแรงจับลูกหรอกเจ้าค่ะ”

“แต่ว่า…” หมิงเวยถอนหายใจ “ท่านลุงสองรู้เห็นเหตุการณ์ด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”

ฮูหยินสามเลี่ยงที่จะสบตาด้วย แค่นี้หมิงเวยก็รู้ชัดเจนแล้ว

เกรงว่าจะไม่ใช่แค่คนรู้เห็นเหตุการณ์

นางลองพูดอีกประโยค “ท่านอาหกบาดเจ็บหนักเช่นนี้ ท่านลุงสองคงคิดว่าลูกทำร้ายผู้อาวุโสกว่า”

แม่นมถงกลับพูดว่า “คุณหนู นายท่านสองไม่มีทางคิดเช่นนั้นหรอกเจ้าค่ะ”

“ทำไมล่ะ”

แม่นมถงไม่อธิบาย แต่กลับบอกว่า “สรุปก็คือคุณหนูไม่ต้องกังวลไปหรอกนะเจ้าคะ”

หมิงเวยกลับยิ่งกังวลมากยิ่งขึ้นท่าทีของแม่นมถงบอกได้อยู่เรื่องหนึ่ง นายท่านสองกับฮูหยินสามมีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง

เมื่อเป็นเช่นนั้นนางยิ่งไม่อาจแหวกหญ้าให้งูตื่นได้! นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ “พวกท่านฟังข้านะ…”

…………

ในราตรีดึกเงียบสงัด

ณ เรือนเล็กฝั่งตะวันออกที่ไกลออกไปจากจวนตระกูลหมิง แสงไฟดวงเล็กๆ ทำให้มองเห็นเงาของคนสองคนที่นั่งตรงข้ามกันทอดตัวยาวออกไป

นายท่านสองมองคนฝั่งตรงข้ามที่กำลังชงชาอย่างไม่รีบร้อน ลวกถ้วยชา วางชา ล้างชา เทน้ำ…ใบชาที่ลอยอยู่ในถ้วย ค่อยๆ คลี่ตัวออกอย่างยืดหยุ่นราวกับเต้นระบำอยู่ และผู้ที่ทำสิ่งนี้มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำตั้งแต่ต้นจนจบ นายท่านสองถอนหายใจ “ท่านเป็นคนที่มีความอดทนสูง”

อีกฝ่ายพูดเบาๆ ว่า “หากไม่มีความอดทน คงไม่อยู่รอดมาได้อย่างทุกวันนี้”

“ก็จริง” พอชงชาเสร็จ นายท่านสองก็ยกถ้วยชาขึ้นเพื่อดมกลิ่นหอมแล้วดื่มอย่างช้าๆ

แต่คนฝั่งตรงข้ามกลับไม่ดื่ม รอเขาดื่มเสร็จจึงดื่มไปถามไปว่า “คดีความของตระกูลหลีจะปล่อยให้ค้างคาเช่นนี้หรือ”

นายท่านสองตอบอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วจะให้ทำอย่างไรเล่า เรื่องส่วนตัวของหนุ่มสาวจะให้ผู้ตรวจการไปตัดสินน่ะหรือ มันเป็นเรื่องไร้สาระ!”

อีกฝ่ายขมวดคิ้วไม่พูดอะไร นายท่านสองเห็นเช่นนั้นจึงถามด้วยความเป็นห่วง “มีปัญหาอะไรหรือ”

“คุณชายหยางผู้นี้คิดอะไรอยู่กันแน่ หากเขารับแม่นางจากตระกูลหลีไปซะดีๆ ก็คงไม่เกิดปัญหาขึ้นเยอะเช่นนี้หรอก”

นายท่านสองยิ้ม “สำหรับเขาแล้วมันเป็นเรื่องปกติจริงๆ ที่เมืองหลวงเขามีชื่อเสียงในเรื่องการไม่ปฏิเสธผู้ที่เข้าหา เติบโตมาด้วยใบหน้าเช่นนั้นดึงดูดให้พวกหญิงสาวชื่นชอบ เขาไม่ปฏิเสธหญิงที่มาเข้าใกล้ แต่เขาไม่เคยรับผิดชอบ”

“นั่นมันที่เมืองหลวง แต่ครั้งนี้เขาออกจากเมืองหลวงตามคำสั่งของฝ่าบาท” อีกฝ่ายเคาะป้านจื่อซา[1]เบาๆ “ขุนนางในสำนักหวงเฉิงซือ ไม่ว่าฝ่าบาทจะโปรดปรานเผยกุ้ยเฟยมากเพียงใด แต่พระองค์ไม่ยกตำแหน่งนี้ให้ใครง่ายๆ หรอก จะบอกว่าเขาไม่มีความสามารถหรือข้าไม่เชื่อ”

นายท่านสองอดสงสัยไม่ได้ “ท่านคิดมากไปหรือเปล่า ดูจากเรื่องที่เขาทำไปก่อนหน้านี้ มันช่างไร้สาระเสียจริง”

“ฮึๆ ท่านอย่าลืมสิว่าใครเลี้ยงดูเขามา เด็กที่องค์หญิงหมิงเฉิง และโป๋หลิงโหวเลี้ยงดูมาจะมีลักษณะเป็นเช่นไรกัน”

“นั่น…” นายท่านสองคิดอยู่พักหนึ่ง “อาจไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิดก็เป็นได้ เขาอาจจะมาเพื่อเป็นผู้ช่วยเจี่ยงเหวินเฟิง”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “หากมาเพื่อช่วยเหลือ เหตุใดถึงได้แสดงท่าทีที่ไม่สอดคล้องกับเจี่ยงเหวินเฟิงเช่นนั้นเล่า นี่เป็นการอำพราง พวกเขาสองคนมาที่ตงหนิง เห็นได้ชัดว่าเจี่ยงเหวินเฟิงมาเพื่อตรวจตราแต่ละเมือง แต่ข้าเกรงว่าพระบัญชาลับๆ ของฝ่าบาทจะเป็นเหตุผลหลัก”

“นั่นอาจเป็นแค่เหตุผลที่ท่านคาดเดาไปเอง”

“เตรียมตัวไว้ก่อน เราจะได้ไม่เจ็บทีหลัง” เขาพูด “เราเคยแพ้มาแล้วครั้งหนึ่งและเราจะแพ้อีกไม่ได้”

ประโยคนี้ทำเอานายท่านสองถึงกับออกอาการ “ถ้างั้นวันรุ่งขึ้นข้าจะไปหาจวิ้นอ๋อง”

“ไม่ได้!” เขาปฏิเสธอย่างหนักแน่น

“ทำไมกันเล่า” นายท่านสองไม่เข้าใจ “พวกเราควรฉวยโอกาสนี้ไว้ไม่ใช่หรือ”

“ท่านจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่มีใครในฝั่งจวิ้นอ๋องคิดถึงเรื่องนี้ การตามติดจะดูเป็นการเอาใจใส่มากเกินไป สำหรับจวิ้นอ๋องแล้วพวกเราไม่ได้มีน้ำหนักมากขนาดนั้น”

นายท่านสองถอนหายใจ “ปีนั้นแค่ก้าวพลาด ตอนนี้ยากเสียจริง”

“ผิดก็คือผิด พูดถึงไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งสำคัญคือต้องคว้าโอกาสในตอนนี้ให้ได้” อีกฝ่ายยกชาขึ้นมาดื่มในที่สุด “เปลี่ยนเป็นวันอื่นเถิด การช่วยเหลือฝ่าบาทครองบัลลังก์ หากได้มาง่ายๆ มันจะไปมีค่าได้อย่างไร”

นายท่านสองพยักหน้าอย่างช้าๆ “ที่ท่านพูดมาก็ถูก”

ในที่สุดเขาก็ดื่มชาอึกนี้ลงเสียที “จริงสิ…” ในขณะที่นายท่านสองกำลังจะพูดก็มีเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังมาจากด้านนอก

“ใคร” นายท่านสองระวังตัว

เสียงแก่ๆ เสียงหนึ่งดังขึ้น “นายท่านขอรับ แม่นางซู่เจี๋ยต้องการพบท่าน นางบอกว่าเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น รีบให้ท่านไปที่สวนอวี๋ฟางโดยด่วนขอรับ”

นายท่านสองหันมามองอีกฝ่ายทันที “ไปเถอะ” เขาโบกมือท่าทางดูปกติ “หากไม่ใช่เรื่องสำคัญ นางคงไม่ส่งคนมาตามท่านหรอก”

……………………………………….

[1] ป้านจื่อซา : เป็นภาชานะชงชาที่มีมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์หมิง และได้รับการยอมรับว่าเป็นภาชานะที่เหมาะสำหรับการชงชามากที่สุด