บทที่ 43 ของปลอม

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

“ไม่ได้!” อวี้เหวินแทบไม่ต้องใช้เวลาคิดก็ปฏิเสธอวี้ถังทันที

อวี้ถังและอวี้หย่วนมองไปยังอวี้เหวิน

อวี้เหวินกล่าว “หากอวี้ถังเดาไม่ผิด เก้าส่วนการตายของหลู่ซิ่นย่อมเกี่ยวพันกับภาพวาดนี้ เดิมทีพวกเราก็ไม่รู้ว่าเบื้องหลังของคนผู้นี้เป็นใคร แล้วจะให้นายท่านสามสกุลเผยมาเดือดร้อนด้วยได้อย่างไร?”

อวี้ถังใบหน้าร้อนฉ่า

นางคิดเพียงว่าชาติก่อน เผยเยี่ยนเป็นผู้ที่เก่งกาจเหนือใคร กลับลืมไปว่าเผยเยี่ยนในชาติก่อนไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเรื่องในสกุลพวกเขา ถึงกระทั่งไม่รู้จักนางแต่อย่างใด

บิดาพูดถูก

ภาพวาดนี้แบกรับชีวิตคนๆ หนึ่งไว้แล้ว พวกเขาไม่อาจเห็นแก่ตัวลากเผยเยี่ยนลงมาด้วยได้

เวลานี้อวี้ถังจึงค่อยค้นพบอย่างตกใจว่า เส้นทางของตัวเองได้เดินไปอย่างบิดเบี้ยวแล้ว

นางกล่าวตามตรง “ท่านพ่อ เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ?”

“เจ้าให้เวลาข้าคิดหน่อยเถิด!” อวี้เหวินยิ้มอย่างขมขื่น

เห็นได้ชัดว่าเขาก็อับจนหนทางเช่นกัน

อวี้ถังนึกถึงหลู่ซิ่นขึ้นมา

เขาก็คงไม่รู้ว่าภาพนี้ซ่อนความลับไว้ภายในหรอกกระมัง? มิเช่นนั้นเขาก็คงไม่จากไปเช่นนี้

หลังจากนางกลับหลินอัน คงต้องจุดธูปไหว้เขาเสียแล้ว

อวี้ถังถอนหายใจอย่างเงียบเชียบ จู่ๆ ในใจก็ปรากฏความคิดหนึ่งขึ้นมา

นางหยั่งเชิงกล่าว “ท่านพ่อ ไม่อย่างนั้น พวกเราให้ลุงหลู่เป็นแพะรับบาปไปเลย? อย่างไรเรื่องนี้ก็เป็นเขาที่ก่อเรื่อง สกุลหลู่เองก็ตัดสัมพันธ์เขาแล้ว ไม่ได้ไปมาหาสู่ ย่อมไม่อาจติดร่างแห”

อวี้เหวินก็อับจนหนทางแล้วจริงๆ ตระหนักได้ว่าคนธรรมดาสามคน เอาชนะขงเบ้งคนเดียว[1] ตั้งแต่เล็กอวี้ถังก็ฉลาดมีไหวพริบ ไม่แน่ว่าอาจจะมีความคิดอะไรดีๆ “เจ้าลองพูดให้ข้าฟังสิ”

อวี้ถังกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา “ท่านลองคิดดูสิเจ้าคะ ลุงหลู่เอาชีวิตมาทิ้งเพราะเรื่องนี้ คนพวกนั้นย่อมเคยมาหาลุงหลู่แล้ว หากไม่เป็นเพราะรู้ว่าภาพวาดอยู่ที่สกุลเรา ก็คงเป็นเพราะลุงหลู่ไม่รู้ความลับในภาพนี้เช่นกัน จึงไม่ได้กำชับอะไรให้ชัดเจนทั้งสิ้น ข้าตรึกตรองดู ไม่ว่าจะเป็นอย่างหน้าหรืออย่างหลัง เรื่องสำคัญที่พวกเราควรต้องจัดการอย่างเร่งด่วนก็คือดึงสกุลของพวกเราออกมาจากเรื่องนี้ เช่นนั้นมิสู้พวกเราก็เอาภาพนี้ให้พวกเขาไปเลย”

“ข้าเข้าใจที่เจ้าพูด” อวี้เหวินเอ่ย “แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าจะเอาภาพนี้ให้พวกเขาอย่างไร?”

อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คนพวกนั้นเข้าไปค้นเรือนของพวกเราแล้วไม่พบภาพมิใช่หรือ? ยามที่พวกเรากลับไป มิสู้บอกกับคนอื่นว่าพวกเรามาหังโจวเพื่อเก็บของต่างหน้าให้ลุงหลู่ หากพวกเขาได้ยินคำพูดนี้ ย่อมจะหาวิธีเอาของต่างหน้าของลุงหลู่มาไว้ในมือ ถึงเวลานั้นพวกเราก็บอกกับคนอื่นว่าจะเอาของต่างหน้าของลุงหลู่เผาไปให้เขาทั้งหมด…”

อวี้หย่วนตาเป็นประกาย “นี่เป็นความคิดที่ดี! พวกเขาต้องคิดวิธีให้ของต่างหน้าพวกนี้มาอยู่ในมือเป็นแน่ พวกเราก็แค่ส่งภาพนั้นออกไปด้วย?”

อวี้ถังพยักหน้าติดต่อกัน คล้อยตามอวี้หย่วน ก่อนกล่าวกับอวี้เหวิน “ท่านไม่ต้องพูดว่าภาพนั้นคือแผนที่ คนทั่วไปอย่าพูดเลยว่าเคยเห็น แต่แค่ได้ยินก็คงไม่เคยเช่นกัน พวกเราไม่รู้จักย่อมเป็นเรื่องปกติ ถึงเวลานั้นพวกเราก็แค่พูดว่า ไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร แค่นี้ก็สามารถดึงตัวเองออกมาจากเรื่องนี้ได้แล้วกระมัง”

“เจ้าพูดมีเหตุผล” อวี้เหวินปัดความรู้สึกมืดมัวเมื่อครู่ทิ้งไป เดินหัวเราะรอบห้อง “แต่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ พวกเรายังคงต้องปรึกษาหารือกันดีๆ”

แต่ทิศทางส่วนใหญ่ก็คงไม่ผิดพลาดอะไรแล้ว

อวี้ถังและอวี้หย่วนต่างก็โล่งใจ อดเผยยิ้มให้กันไม่ได้

ด้านอวี้เหวินกลับกล่าวพึมพำอยู่ตรงนั้น “ต้องคิดวิธีปิดบังคนพวกนั้น ไม่อาจให้พวกเขาทราบว่าพวกเรารู้ความลับของภาพนี้” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน กล่าวกับอวี้หย่วน “เรื่องนี้ยังต้องรบกวนอาจารย์เฉียน ให้เขาหาวิธีเก็บภาพไว้เหมือนเดิม”

“ท่านพ่อ!” อวี้ถังตัดบทสทนาของอวี้เหวิน “คืนสู่สภาพเดิมเกรงว่าคงไม่เหมาะเท่าไร…ทุกคนต่างรู้ว่าสกุลของเราซื้อภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ จากลุงหลู่แล้ว”

ใช่แล้ว! หากมีคนถามถึงภาพของพวกเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร?

อวี้เหวินถามอวี้หย่วน “เช่นนั้นในเมื่ออาจารย์เฉียนอยู่ในแวดวงนี้ เจ้าลองถามเขาได้หรือไม่ ดูว่าเขารู้จักนักคัดลอกภาพวาดโบราณฝีมือดีหรือไม่ พวกเราก็เชิญคนมาคัดลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ มาไว้ในบ้านของพวกเรา”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไร้ข้อผิดพลาดแล้ว

อวี้หย่วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แกว่งขวานหน้าช่างมีฝีมือ เชิญใครก็มิสู้เชิญอาจารย์เฉียน…เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่แล้ว”

“ดีเหลือเกิน!” อวี้เหวินกล่าว “เมื่อครู่ข้ายังกังวลว่าจะดึงคนมาเกี่ยวข้องมากเกินไป เกรงว่าเก็บความลับไม่อยู่”

อวี้หย่วนยิ้ม “ท่านวางใจเถิด อาจารย์เฉียนไม่รู้ว่าพบเจอเรื่องเช่นนี้มามากน้อยเท่าใดแล้ว ไม่อย่างนั้นพอเจอภาพที่ถูกประกบอยู่ด้านในก็คงไม่เรียกข้าเข้าไปดูทันทีเช่นนี้หรอก”

อวี้เหวินผงกศีรษะ “เช่นนั้นก็เอาแบบนี้แหละ!”

อวี้หย่วนตอบรับ เก็บภาพ เตรียมจะไปหาทางอาจารย์เฉียนทันที “ฉวยยามที่ฟ้ายังไม่สว่างเท่าใด ทำเรื่องนี้ให้เสร็จเร็วขึ้นดีกว่า พวกเราก็จะได้สบายใจเร็วขึ้นเช่นกัน รีบกลับไปหลินอัน”

อวี้ถังกลับรั้งอวี้หย่วนไว้ กล่าวกับอวี้เหวิน “ท่านพ่อ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนัก ข้ามาใคร่ครวญดีๆ ในเมื่ออาจารย์เฉียนผู้นั้นมีฝีมือทางด้านนี้ เรื่องทั้งหมดอยู่ในความรับผิดชอบของผู้เดียว มิสู้พวกเราขอให้เขาช่วยลอกแผนที่นี้ด้วยล่ะเจ้าคะ”

“อวี้ถัง” อวี้เหวินไม่เห็นด้วย “พวกเราไม่อาจข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกได้ หากสามารถถอยห่างได้ไกลเท่าใดก็ถอยให้ไกลเท่านั้น ไม่ว่าในนี้จะมีความลับอันใด พวกเราก็อย่าได้ลอบมองเลย บางที ยิ่งรู้มากก็ยิ่งตายไว ทั้งยังตายอย่างอเนจอนาถ”

อวี้ถังกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ท่านพ่อ หลักการนี้ข้าก็เข้าใจ แต่ข้ารู้สึกว่าพึ่งพาใครก็มิสู้พึ่งตัวเอง พวกเราสามารถส่งภาพไปอย่างราบรื่นย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากคนพรรค์นั้น เดิมทีก็ไม่เชื่อพวกเราล่ะ? หรือพวกเรายังหวังให้พวกเขามอบความเมตตาให้ได้? จิตใจคิดร้ายผู้อื่นมิควรมี แต่การระวังคนอื่นก็มิควรขาดเช่นกัน!”

นี่เป็นบทเรียนที่นางได้รับหลังจากแต่งเข้าสกุลหลี่

ทั้งเป็นการตัดสินใจแน่วแน่หลังจากที่นางกลับมาเกิดอีกครั้ง

พึ่งภูเขายังมียามที่เขาล้ม พึ่งน้ำก็มียามที่น้ำแห้งเช่นกัน มีแค่ต้องควบคุมทุกอย่างไว้ในมือตัวเองเท่านั้น จึงจะสามารถพลิกแพลงตามสถานการณ์ ไม่อาจพ่ายแพ้

“ท่านพ่อเจ้าคะ…” นางโน้มน้าวอวี้เหวิน “ครั้งนี้ท่านฟังข้าเถิด! ไม่ว่าเรื่องอันใดก็ไม่ควรประมาท หากคนพวกนั้นรู้ว่าพวกเราพบความลับของภาพนี้ พวกเขาจะไม่คิดฆ่าพวกเราปิดปากหรือ? จะสงสัยว่าภาพนั้นปลอมหรือไม่? พวกเราควรจะรู้ว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นมาอย่างไร? ก็เหมือนลุงหลู่ หากเขารู้ว่าในภาพนี้มีสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ เขาจะยังมีจุดจบเช่นนี้หรือ? คนอื่นไม่รู้ แต่พวกเรารู้ เขาไม่รู้ว่าในภาพนี้มีความลับ แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตรอด”

อวี้เหวินและอวี้หย่วนมองนางอย่างตกตะลึง ค่อนวันก็ยังไม่กล่าวอะไร

อวี้ถังกลับไม่หลบสายตาของบิดาและพี่ชายแม้แต่น้อย นางยืนอย่างมั่นคง ปล่อยให้พวกเขาพินิจนาง ใช้ท่าทีเช่นนี้บอกพวกเขาว่านางนั้นตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่อาจจะเปลี่ยนอย่างง่ายๆ ทั้งคิดตกในเรื่องนี้แล้วให้บิดาและพี่ชายวางใจ นางเติบใหญ่จนสามารถรับผิดชอบได้

เนิ่นนาน ก่อนแววตาที่เคร่งขรึมของอวี้เหวินจะถูกย้อมไปด้วยรอยยิ้ม

เขามองอวี้หย่วนไปทีหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “สกุลอวี้นั้น ภายหลังต้องมอบให้พวกเจ้าสองพี่น้องแล้ว ข้าและพ่อเจ้าล้วนแก่แล้ว กลัวเรื่องกลัวราว ทั้งตามความเปลี่ยนแปลงของโลกนี้ไม่ทันแล้ว”

“ท่านพ่อ!”

“ท่านอา!”

อวี้ถังและอวี้หย่วนพูดขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน

อวี้เหวินโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าอย่าได้คิดว่าข้าพูดเพราะท้อแท้ แต่ข้ากำลังดีใจอยู่ เห็นได้ว่าคำกล่าวของบรรพบุรุษนั้นยังคงมีเหตุผล มนุษย์นั้นใช้ได้หรือไม่ ต้องดูยามที่มีเรื่องสำคัญว่าสามารถประคองได้หรือเปล่า พวกเจ้าล้วนเป็นเด็กที่ประคองเรื่องราวในยามสำคัญได้ ข้าวางใจเป็นอย่างยิ่ง” พูดจบ เขาก็สูดลมหายใจเข้าลึก “เช่นนั้นก็ทำตามนี้แหละ!”

อวี้หย่วนและอวี้ถังรีบห้ามขึ้นพร้อมกัน “ท่านเบาเสียงหน่อย! กำแพงมีหู ประตูมีช่อง!”

อวี้เหวินหัวเราะเสียงดัง พอหอมปากหอมคอก็หยุดไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ฟังพวกเจ้า ล้วนต้องฟังพวกเจ้า”

อวี้ถังและอวี้หย่วนส่งยิ้มให้กันอีกครั้ง ล้วนมองออกถึงความดีใจจากแววตาอีกฝ่าย อวี้ถังถึงขนาดรู้สึกว่า เพราะเรื่องนี้ ความสัมพันธ์ของนางและญาติผู้พี่จึงเปลี่ยนเป็นแน่นแฟ้นขึ้นในชั่วพริบตา

อวี้เหวินเก็บภาพพวกนั้น ทั้งถามอวี้ถังอย่างสนใจไปพลาง “เจ้ายังมีอะไรจะกำชับอีกหรือไม่?”

เพราะว่าบิดาและพี่ชายต่างก็ร่วมแรงร่วมใจ อวี้ถังจึงหัวแล่นอย่างว่องไว “ท่านพ่อ เกี่ยวกับเรื่องแผนที่นั้น ข้ามีวิธีหนึ่งเจ้าค่ะ”

อวี้เหวินได้ฟัง ก็สนใจขึ้นมา “เจ้าลองว่ามา!”

เวลานี้อวี้หย่วนก็ไม่รีบแล้ว นั่งลงข้างโต๊ะอีกครั้ง

ทั้งสามคนล้อมวงกันพูดคุยภายใต้แสงไฟริบหรี่

อวี้ถังกล่าว “ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าลุงหลู่มีบางคำพูดที่ยังพูดถูก ตัวอย่างเช่น พ่อของเขาเคยเป็นที่ปรึกษาทางทหารให้ใต้เท้าจั่ว จั่วกวงจง ไม่แน่ว่า ภาพนี้อาจจะเป็นของใต้เท้าจั่วจริงๆ”

ส่วนกล่าวว่าได้มาหรือใช้วิธีอื่นฉกชิงมา นั่นก็ไม่มีใครรู้แล้ว

อวี้ถังกล่าว “ดังนั้นข้าคิดว่า หากท่านจะสืบเรื่องแผนที่ ทางที่ดีที่สุดควรไปเมืองหลวงหรือไม่ก็ฝูเจี้ยนเจ้าค่ะ”

อวี้เหวินฟังก็ตื่นตัวขึ้นมา “เจ้าหมายความว่า…เมืองหลวงมีมังกรซ่อนพยัคฆ์เร้น ผู้ที่มีความรู้มากมาย ใต้เท้าจั่ว เป็นนักรบที่มีชื่อเสียงในการขับไล่โจรสลัดญี่ปุ่น จึงมีอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ทางฝูเจี้ยนเป็นจำนวนมาก?”

“ข้ากระทั่งคิดว่าไปฝูเจี้ยนจึงจะได้อะไรมากกว่า” อวี้ถังกล่าวต่อ “นอกจากทางใต้เท้าจั่ว สกุลหลู่ก็คงไม่อาจเอาภาพนี้มาได้ หากเป็นเช่นนี้ ใต้เท้าจั่วล่วงลับไปสิบกว่าปีแล้ว หากแผนที่สูญหาย ยามที่ใต้เท้าจั่วมีชีวิตอยู่ก็ควรจะมีคนมาซักไซ้ไล่เลียง แต่เรื่องนี้กลับเพิ่งมาเกิดเอาตอนนี้ ย่อมไม่ใช่คนของราชสำนักที่มาสืบสาวราวเรื่อง…”

ถึงเวลานั้นย่อมต้องอันตรายเป็นอย่างมาก!

แต่หากสลัดจากเรื่องร้ายนี้ไม่พ้นเล่า?

พวกเขาจำเป็นต้องเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ

อวี้เหวินและอวี้หย่วนล้วนรู้ว่าคำพูดที่ยังกล่าวไม่จบของนางคืออะไร

อวี้ถังกล่าวต่อ “น้ำที่วาดบนแผนที่นี้ หากไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับแม่น้ำก็คงเกี่ยวข้องกับทะเล ส่วนถึงเวลานั้นพวกเราจะพูดแบบไหน อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องขออาจารย์เฉียนลอกภาพวาดและแผนที่นี้ให้อยู่ดี ฉะนั้นแล้วเหตุใดจึงไม่ทำให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ภาพต้นฉบับเอาไว้ที่เรา ส่วนของเลียนแบบก็ให้เป็นของต่างหน้าของลุงหลู่ จากนั้นพวกเราแบ่งภาพต้นฉบับอีกครั้ง แอบเอาภาพหนึ่งไปถามว่ายามที่พวกเราจัดการของต่างหน้าของลุงหลู่ก็พบภาพนี้เข้า ขอความชี้แนะจากคนพวกนั้นว่าภาพนี้วาดอะไร เป็นที่แห่งใด? ก็ได้แล้วนี่เจ้าคะ!”

ยามนี้เรื่องสำคัญที่เร่งด่วนคือเตรียมสิ่งที่ควรจะเตรียมไว้ให้พร้อม ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้ในอนาคต

“ไม่เลว!” อวี้เหวินแปะมือนาง “เอาแบบนี้แหละ! เตรียมภาพวาดให้ดีก่อน เผื่อมีการเปลี่ยนแปลงอะไรกระชั้นชิด พวกเราจะรับมือไม่ทัน”

“แต่ท่านก็อย่าได้ฝืนเกินไป” อวี้ถังกำชับบิดา “เรื่องนี้จะเล็กจะใหญ่ รักษาชีวิตไว้ย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”

“เจ้าวางใจ ข้ายังต้องรอดูเจ้ารับลูกเขยเข้าบ้านอยู่!” อวี้เหวินหยอกล้อลูกสาว

อวี้ถังยิ้มให้บิดา ในใจกลับไม่ได้ผ่อนคลายลงสักนิด

นางมีลางสังหรณ์อย่างเลือนรางว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

นางเพียงหวังว่าลมฝนครั้งนี้จะไม่กระทบผู้คนมากไปกว่านี้

อวี้หย่วนกลับยกนิ้วโป้งให้อวี้ถังอย่างชื่นชม

อวี้ถังกระตุกยิ้มให้เขา

ประกายไฟในตะเกียงส่งเสียงแตก ‘เปรี๊ยะๆ’ อยู่พักใหญ่ อวี้เหวินกล่าวกับอวี้ถังและอวี้หย่วนด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “เอาตามที่อวี้ถังกล่าว ขออาจารย์เฉียนช่วยทำภาพสามแผ่น แผ่นแรกอิงตามภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ที่พวกเราส่งไปก่อนหน้านี้ คืนสู่สภาพเดิม อีกแผ่นลอกภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ อีกแผ่นก็ลอกแผนที่นั้น ภาพต้นฉบับพวกเราเก็บไว้ ลองคิดดูก่อนว่าตัวเองจะสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าแผนที่นี้วาดอะไรบ้าง หากไม่ไหวจริงๆ ข้าก็จะไปฝูเจี้ยน แล้วค่อยไปเมืองหลวง เดี๋ยวข้าจะไปหาคนที่คุ้นเคย ดูว่ามีใครจะไปฝูเจี้ยนหรือไม่ เมื่อไปฝูเจี้ยนก็จะมีคนที่คุ้นเคยคอยสืบข่าวได้”

นี่คงจะต้องเสียเงินในบ้านมิใช่น้อยอีกแล้ว

ยังมีอวี้หย่วน ร้านค้าที่ถนนฉางซิ่ง เมื่อถึงสิ้นปีก็จะสร้างเสร็จ ร้านเครื่องลงรักของสกุลอวี้ก็ต้องฉวยโอกาสใช้ช่วงปลายปีเปิดกิจการอีกครั้งเช่นกัน อวี้หย่วนต้องไปดูแลช่วยเหลือร้านค้า ถึงเวลานั้นใครจะออกไปเป็นเพื่อนบิดานางกัน?

เรื่องต่างๆ นานา ล้วนพาให้อวี้ถังปวดหัว

แต่อวี้หย่วนไม่รู้ถึงความกังวลของอวี้ถัง เห็นว่าได้จัดการเรื่องราวอย่างเหมาะสมแล้ว ก็หยัดกายขึ้นอย่างร่าเริง เก็บภาพสามแผ่นพกติดกาย ออกจากประตูไป

อวี้ถังสูดลมหายใจเข้าเบาๆ

คิดได้ ก็ต้องทำได้ นางจะพยายามอย่างเต็มที่

ความพยายามอยู่ที่คน ความสำเร็จอยู่ที่ฟ้า!

ในยามที่อวี้ถังกำลังครุ่นคิดในใจ เวลานี้จึงค่อยพบว่าตัวเองหิวจนแทบนั่งตัวตรงไม่ได้

นางขอร้องกับอวี้เหวิน “ท่านพ่อ ข้าคงไม่ต้องงดอาหารแล้วกระมัง? ยามนี้ข้ากินข้าวต้มได้สามชามเชียว”

เรื่องนี้มีทางออกแล้ว อวี้เหวินก็ผ่อนคลายขึ้นมา หยอกลูกสาวว่า “หึ เจ้าคิดว่าเจ้ายังกินอะไรได้กัน? หลังจากงดอาหารก็ทำได้เพียงกินข้าวต้มเท่านั้น ทั้งต้องค่อยๆ กินไปทีละนิด กินไปชามเดียวก่อน หากไม่เป็นอะไรจึงค่อยเพิ่มจำนวนไป เมื่อวานข้าพูดกับเถ้าแก่เนี้ยแล้ว เช้าวันนี้นางจะต้มข้าวต้มให้เจ้า”

อวี้ถังมองท้องฟ้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวก็คร่ำครวญขึ้นมา “ท่านพ่อ ยามนี้ฟ้ายังไม่สางเลย ไม่รู้ว่าทางครัวต้มข้าวต้มแล้วหรือยัง ข้าหิวจนหน้ามืดตาลายแล้ว ท่านไปซื้อซาลาเปาไส้เนื้อให้ข้าสักสองลูกเถิดนะเจ้าคะ เมื่อวานยามที่ข้าออกไป ไม่ไกลจากด้านหน้าโรงรับจำนำสกุลเผย ละแวกตรงที่พวกเราลงเรือ ท่าเรือเล็กๆ ของถนนเสี่ยวเหอ ตรงนั้นย่อมมีอาหารเช้าขายแต่เช้าตรู่ ซาลาเปาไส้เนื้อไม่ได้ เต้าฮวยก็ยังดี! ท่านพ่อ ข้าขอร้องท่านล่ะ!”

อวี้เหวินหัวเราะ ก่อนจะออกไปซื้ออาหารเช้าให้อวี้ถัง

อวี้ถังนอนคว่ำหน้ารออวี้เหวินตรงบานหน้าต่างอย่างน่าสงสาร

อวี้เหวินไม่เพียงซื้อเต้าฮวยกลับมา แต่ยังซื้อซาลาเปาไส้เนื้อมาด้วย

ดวงตาอวี้ถังเป็นประกาย

แต่อวี้เหวินกลับวางเต้าฮวยลงเบื้องหน้าอวี้ถัง “นี่ของเจ้า!” คล้อยหลังก็ยัดซาลาเปาไส้เนื้อใส่ปากตัวเอง กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ “นี่ของข้า”

อวี้ถังร้องไม่ออก ดื่มเต้าฮวยไปหนึ่งคำอย่างหงุดหงิด

ยังดีที่บิดานางไม่ได้ถึงกับละเลยนาง เต้าฮวยนี้อย่างไรก็หวานอร่อย ทำให้นางได้ฟื้นฟูกำลังขึ้นบ้าง

ส่วนข้าวต้มของเถ้าแก่เนี้ย นางก็ไม่ได้ละเลย กินจนเกลี้ยงชาม

อวี้เหวินยังคงกระตุ้นนาง “เจ้าอยู่ที่นี่ทำปิ่นดอกไม้ดีๆ อย่าลืมทำให้แม่เจ้าหนึ่งอันด้วย ตอนเย็นข้าวางแผนจะไปเดินเที่ยวตลาดกลางคืนตรงถนนเสี่ยวเหอกับพี่เจ้า ถึงเวลานั้นกลับมาจะเล่าให้เจ้าฟัง”

อวี้ถังแกล้งแทงเข็มที่กลีบเลี้ยงดอกไม้บนปิ่นแรงๆ ในใจกลับคล้ายเอ่อล้นไปด้วยน้ำเชื่อม หัวตาก็มีหยาดน้ำแวววับเช่นกัน

มีบิดาอยู่ข้างกาย มีมารดาอยู่รอคอย วันเวลาเช่นนี้ จึงจะนับเป็นความสุขที่แท้จริง!

———————————

[1] คนธรรมดาสามคน เอาชนะขงเบ้งคนเดียว อุปมาว่า หลายหัวย่อมดีกว่าหัวเดียว