บทที่ 42 วางเหยื่อล่อ
“งั้น…หมายความว่าอาวุโสจ้าวนั้นจะบอกว่าพวกเราสมควรจะตั้งแง่กับแผนกวิชายุทธพิเศษต่อไปอย่างนั้นหรือ” ผอ.หวังถามออกมาด้วยความรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างที่สุด
ถ้าไม่ใช่เพราะการสอดมือของจ้าวหยางล่ะก็ ความขัดแย้งของแผนกวิชายุทธพิเศษและแผนกเล่นแร่แปรธาตุควรจะยุติไปแล้วจากการไกล่เกลี่ยของผอ.หวัง
แต่เมื่อจ้าวหยางปฏิเสธ ด้วยการที่จ้าวหยางเองก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักและเป็นรองเพียงเขาเท่านั้นทำให้ผอ.หวังเองก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้มากนัก
“คำถามของผอ.หวังนั้นถูกต้องแล้ว พวกเราไม่ควรจะปล่อยให้ไอ้เด็กสายเลือดผสมนี่อยู่ต่อไป ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวจะทำให้หลู่ฟางติดเชื้อไปด้วยอีกคน”
“เอาอย่างนี้เป็นยังไง ข้าจะไม่ออกหน้าแทนแผนกเล่นแร่แปรธาตุในการขับไล่เฉินเฉียงแล้วก็ได้ ตราบใดที่ไอ้เด็กสายเลือดผสมนี่กล่าวขอโทษเฟิงไคเหลียงและจ่ายค่าทำขวัญให้สักหน่อยเรื่องนี้ก็ถือว่าจบๆกันไป เจ้าคิดว่ายังไง”
ผอ.หวังทำได้เพียงถอดถอนลมหายใจออกมาเท่านั้นเมื่อได้ยิน
ความต้องการของจ้าวหยางนั้นถึงจะดูเกินเลยแต่ก็ถือว่าประนีประนอมอย่างมากกับเรื่องในครั้งนี้ ฮู่ต้าไฮ่ควรจะสามารถยอมรับได้ นี่ทำให้เขานั้นหันไปหาฮู่ต้าไฮ่อีกครั้ง
“อาจารย์ฮู่ ท่านคิดว่ายังไง”
ฮู่ต้าไฮ่ได้มองไปยังจ้าวหยางด้วยสายตาดูแคลนอีกครั้ง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความสุขแต่เรื่องนี้สำหรับนั้นพอจะยอมรับได้ แต่ประเด็นสำคัญก็คือเฉินเฉียงจะยอมรึเปล่า
แต่ก่อนที่ฮู่ต้าไฮ่จะได้หันไปถามศิษย์ของตน เฉินเฉียงได้ก้าวขึ้นมาข้างหน้าก่อนที่จะชี้ไปที่เฟิงไคเหลียงและพูดออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“ท่านอยากจะให้ข้าขอโทษเขาเนี่ยนะ เขาไม่คู่ควรที่จะได้รับ”
เมื่อคนอื่นได้ฟังแล้วต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของเฉินเฉียงนั้นก้าวร้าวเกินไป
ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็เห็นว่าทั้งฮู่ต้าไฮ่ ผอ.หวัง และฉีเหริน พยายามหาทางลงเรื่องนี้ให้ดีที่สุด และพอจะยอมรับความต้องการของจ้าวหยางได้ แต่พวกเขากลับไม่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นจะกล้าแตกหักจริงๆ
ไม่เพียงเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นหลู่ฟางแม้แต่ศิษย์ทั้งในและนอกแผนกต่างก็ไม่ต้องการที่จะทำให้สำนักนั้นต้องเสื่อมเสีย และเรื่องมาถึงขั้นที่ว่าแค่เฉินเฉียงขอโทษทุกอย่างก็จะจบ และเรื่องราวระหว่างแผนกวิชายุทธพิเศษและแผนกเล่นแร่แปรธาตุจะคลี่คลาย แต่เฉินเฉียงกับไม่ยอมจบด้วยการที่เขาต้องเป็นฝ่ายผิดคนเดียว
นี่เขาไม่เคยคิดถึงพี่น้องร่วมแผนกเลยรึไงกัน
“ศิษย์น้องเฉิน เจ้าแค่ต้องเอ่ยคำขอโทษเท่านั้น อย่าทำให้ท่านอาจารย์ต้องลำบากใจอีกเลย หากว่าศิษย์น้องไม่ต้องการเสียหน้า ศิษย์พี่คนนี้จะยอมขอโทษแทนก็ได้ แถมจะจ่ายแต้มคะแนนแทนให้ด้วย เจ้าคิดว่าไง”
กัวเหลียงที่อยู่ข้างๆเฉินเฉียงในตอนนี้พยายามหว่านล้อมเฉินเฉียงด้วยเสียงเบาๆ หลังจากนั้นเขาก็ได้ก้าวเดินออกมาข้างหน้าเพื่อที่จะขอโทษแทนเฉินเฉียง
“ศิษย์พี่กัว ท่านไม่ต้องทำเช่นนั้น”
เฉินเฉียงได้ดึงกัวเหลียงกลับเข้ามาอย่างเบามือก่อนที่จะพูดออกมา “เฟิงไคเหลียง เจ้าต้องการแต้มคะแนนหนึ่งหมื่นแต้มสำหรับทำยาให้ศิษย์พี่ใหญ่ของข้าสินะ”
“ขอบอกตรงๆเลยนะ ตอนนี้ข้ามีเงินอยู่ห้าหมื่นแต้มพร้อมที่จะจ่ายให้แทนในทันทีเลยก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าไอ้คนที่กล้าเอ่ยปากค่าปรุงยาให้กับพี่ใหญ่ของข้านั้นจะมีค่าคู่ควรกับแต้มคะแนนหนึ่งหมื่นนั่นจริงๆเหรอ”
เฟิงไคเหลียงที่เฝ้ารอดูเหตุการณ์อย่างพึงพอใจอยู่อยู่นั้นได้เปลี่ยนมาเป็นสายตาเย็นชาในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเฉินเฉียง เขาไม่คิดว่าขยะอย่างเฉินเฉียงจะกล้ามาถามคำถามแบบนี้กับเขา แต่เขาก็ยังคงยืนอยู่อย่างสุขุมและพูดออกมา “ถ้าเจ้ามีปัญญาจ่ายหมื่นแต้มคะแนนให้ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า ข้าก็มีความสามารถพอที่จะปรุงยาให้เขา”
“แต่กับระดับของยาที่ออกมานั้นก็ถือว่าอีกเรื่องหนึ่ง”
“ยาที่ได้อาจจะออกมาอาจเป็นระดับต่ำก็ได้ กลับเรื่องนี้ไม่มีใครคาดเดาได้อยู่แล้ว”
เฉินเฉียงเมื่อได้ยินก็ได้พูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ต่อ “เฟิงไคเหลียง เจ้าแน่ใจว่าเจ้านั้นแค่ให้ได้แต้มคะแนนไปหนึ่งหมื่นและสามารถปรุงยาได้จริง แต่เจ้าก็ทำได้เพียงแค่ปรุงยาเกรดต่ำออกมาเท่านั้นงั้นเหรอ”
“กับแต้มคะแนนหนึ่งหมื่นนี้ สำหรับข้ามันไม่ได้สำคัญอะไรเลย แต่เหตุผลที่ข้าไม่ออกหน้ามาจ่ายก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพราะข้าไม่เชื่อในฝีมือคนอย่างเจ้า”
“เจ้า…” เฟิงไคเหลียงชี้ไปที่เฉินเฉียงด้วยความเดือดดาลพูดตอกกลับมาไม่ถูก หลังจากนั้นเขาได้ยิ้มและพูดออกมาอย่างเย็นชา “อย่าบอกนะว่าก็อีแค่ศิษย์อย่างพวกแกต้องการให้อาจารย์ของข้าเป็นคนปรุงยา เขาก็แค่ศิษย์คนหนึ่ง ไม่คู่ควรที่จะให้อาจารย์ของข้าต้องเป็นคนหลอมอย่างแน่นอน”
“ในวันนี้ หากไม่ใช่เป็นเพราะผู้อาวุโสจ้าวและผอ.หวังมาอยู่ที่นี่ล่ะก็ อย่าว่าแต่หมื่นแต้มคะแนนเลย หนึ่งแสนแต้มคะแนนข้าก็ไม่ทำ”
เมื่อเห็นความไม่ลงรอยของทั้งสองคนนี้ทำให้หลู่ฟางและศิษย์ในแผนกวิชายุทธพิเศษต่างก็รีบหันไปมองอาจารย์ของตนกันอย่างร้อนรน
ผอ.ได้แต่ส่ายหัวไปมาอย่างเอือมระอา พร้อมกับแสดงความไม่พอใจในท่าทีของเฉินเฉียง
ถึงแม้การทำตัวหยิ่งยโสแบบนี้ในสำนักเต่าดำนั้นจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่นั่นจะทำได้ก็ต้องมีปูมหลังที่แข็งแกร่งด้วยเช่นกัน
สำหรับคนที่ไม่มีความสามารถใดๆแล้วนั้น ความหยิ่งยโสนี้ก็เปรียบได้ดั่งคนตาบอดที่ก่อปัญหาให้กับคนรอบข้าง
อย่างไรก็ตาม คำพูดต่อมาของเฉินเฉียงนั้นได้ทำให้ผู้คนที่กำลังกล่าวคำสาปแช่งด่าทอและกระวนกระวายอยู่ในใจนั้นเปลี่ยนเป็นอลม่านในทันใด
“กับแค่การปรุงยาเปิดจุดชีพจรถึงกับกล้าเอ่ยปากขอค่าหลอมยาหนึ่งหมื่นแต้มคะแนน ฮึ่ม แผนกเล่นแร่แปรธาตุนี่ช่างเข้าใจหาวิธีทำธุรกิจที่กดขี่กันจริงๆ”
“อย่าคิดนะว่าพวกเราเหล่าแผนกฝึกวิชายุทธพิเศษเมื่อขาดแผนกเล่นแร่แปรธาตุไปแล้วจะทำอะไรไม่ได้น่ะ”
“คิดจริงๆหรือว่ามีเพียงแผนกเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้นที่มีความสามารถในการปรุงยา”
“ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดมอบส่วนผสมในการปรุงยาให้ศิษย์น้องคนนี้ แล้วศิษย์น้องคนนี้จะปรุงยาทะลวงจุดชีพจรอย่างดีให้กับศิษย์พี่เอง”
“ห้ะ”
ในทันทีที่สิ้นสุดคำพูดของเฉินเฉียง เสียงผู้คนโดยรอบถึงกับสะดุ้งเฮือกและพูดคุยกันไปทั่ว
“ก่อนหน้านี้คิดว่าไอ้หมอนี่เพียงแค่ทำตัวยิ่งยโส ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เพียงเท่านั้น แต่ไอ้หมอนี่มันบ้าไปแล้ว”
ไม่สิ ต้องเรียกว่าคลั่งไปแล้ว
ก็อีแค่เด็กเพิ่งเข้าได้เดือนกว่าเนี่ยนะจะปรุงยาเปิดจุดได้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ตอนแรกที่ได้ยินว่าไอ้เด็กอย่างแกสามารถทำลายสถิติการสอบเข้าของสำนักเต่าดำของเรานั้นยังคิดว่าเป็นอัจฉริยะอยู่บ้าง ไม่นึกว่าไอ้ขยะหกสายเลือดอย่างแกนั้นจะปรุงยาได้ด้วย แกนี่มันเหลือเกินเหลือการจริงๆ”
เมื่อคำพูดแดกดันจากทุกคนมาเข้าหูฮู่ต้าไฮ่แล้ว ฮู่ต้าไฮ่เองก็อดทนรนไม่ไหวต้องพูดออกมาด้วยเสียงอันดังก้อง “เฉินเฉียง เจ้าจะโอหังเกินไปแล้วนะ ต่อหน้าทุกคนมากมายทั้งเหล่าอาจารย์และเหล่าศิษย์ร่วมสำนักเต่าดำ อย่าได้พูดอะไรไร้สาระ คอยดูเหอะ เมื่อเจ้ากลับไปแผนก อาจารย์จะทำการลงโทษเจ้า”
เฉินเฉียงตอบกลับราวกับเล่นละครบทหนึ่ง “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่ได้พูดจาไร้สาระแต่อย่างใด นี่เป็นเพียงการปรุงยาเปิดจุดชีพจรเท่านั้น สำหรับศิษย์แล้วมันง่ายมากจริงๆ”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิงไคเหลียงได้หัวเราออกมาดังลั่นก่อนที่จะชี้ไปที่เฉินเฉียงและพูดออกมา “ไอ้เด็กโอหัง ในสายตาของข้าผู้นี้ ขยะอย่างแกไม่ได้ต่างไปจากเศษอึหมา อยากจะปรุงยาเปิดจุดชีพจรเหรอ พูดมันง่ายกว่าทำโว้ย”
“ง่ายงั้นเหรอ”
“กว่าข้าคนนี้จะปรุงยาเปิดจุดชีพจรสำเร็จต้องใช้เวลากว่าห้าปี แล้วไอ้เศษขยะอย่างแกที่เข้ามาได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนดีเนี่ยนะ กล้าเอ่ยปากออกมาว่าทำได้ คนอย่างแกนี่ถ้าไม่เรียกว่าโอ้อวดคุยโวก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว”
“ว้าวววว ห้าปีเลยเหรอ”
“ศิษย์พี่นี่ช่างสมเป็นอัจฉริยะจริงๆ”
“ศิษย์น้องคนนี้เพียงแค่ยืมตำรามาจากห้องข้อมูลมาอ่านแค่สิบวันก็เรียนรู้ได้แล้ว ไม่เห็นว่าไอ้การปรุงยาเปิดจุดชีพจรนี่จะยากตรงไหน”
“สิบวันเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า” เฟิงไคเหลียงยังคงหัวเราะดังลั่นต่อไป ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ฮู่ต้าไฮ่และคนอื่นๆเมื่อได้ยินแล้วกับรู้สึกอับอายในคำพูดของเฉินเฉียงอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อเฟิงไคเหลียงหัวเราะเยาะจนอิ่มหนำและหยุดปากของตนเองลงแล้ว เฉินเฉียงก็ได้พูดออกมาอย่างช้าๆ “ศิษย์ พี่ เฟิง อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่กังขาในความสามารถของศิษย์น้องคนนี้”
“ในเมื่อเป็นอย่างนั้นทำไมเราไม่มาพนันสักหน่อยล่ะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยม ไอ้ขยะอย่างแกรนหาที่ตายแท้ๆ คนอย่างข้าจะเล่นด้วยแล้วกัน แล้วแกต้องการพนันอะไร”
“ก็ง่ายๆ ถ้าศิษย์น้องคนนี้สามารถปรุงเม็ดยาเปิดจุดชีพจรให้ศิษย์พี่ใหญ่หลู่ฟางได้ ต่อแต่นี้ แผนกเล่นแร่แปรธาตุจะต้องไม่สร้างเรื่องยุ่งยากให้กับศิษย์แผนกวิชายุทธพิเศษอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นคือ ศิษย์พี่จะต้องปรุงยาให้พวกเขาฟรีๆโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด”
เฟิงไคเหลียงไม่คัดค้านแม้แต่น้อย และได้ถามขึ้นมาในทันที “แล้วถ้าแกแพ้ล่ะ”
“เรื่องนั้นก็ง่ายมาก นอกจากแต้มคะแนนหนึ่งหมื่นแต้มแล้ว ศิษย์น้องคนนี้ยินดีที่จะทำตามข้อเรียกร้องของศิษย์พี่เฟิงทุกอย่าง”