บทที่ 43 เริ่มหลอมยา
“เฉินเฉียง หยุดก่อเรื่องได้แล้ว พวกเรากลับกันได้แล้ว” เมื่อเห็นว่าความขัดแย้งระหว่างแผนกวิชายุทธพิเศษและแผนกเล่นแร่แปรธาตุกำลังจะปะทุขึ้นอีกครั้งทำให้ฮู่ต้าไฮ่ต้องออกหน้าอีกครั้ง แม้ว่าเขาจะเชื่อมั่นว่าเฉินเฉียงนั้นเป็นฝ่ายถูกและเชื่อว่าเฉินเฉียงจะทำได้จริงก็ตาม
อย่างไรก็ตาม จ้าวหยางยังคงไม่ยอมคิดจะให้เรื่องนี้จบลงได้ง่ายๆแบบนี้
“อาจารย์ฮู่ แบบนี้มันไม่ดีนา”
“สำนักของเรานั้นสนับสนุนให้ศิษย์กล้าที่จะต่อสู้เพื่อเปรียบฝีมือกัน ในฐานะอาจารย์แล้วก็ควรสนับสนุนไม่ใช่รึไงกัน”
“ถูกต้อง อาจารย์ฮู่ ในเมื่อเฉินเฉียงและเฟิงไคเหลียงทำข้อตกลงกันแล้ว จะดีกว่าหากท่านไม่เข้าไปยุ่ง ถึงแม้จะรู้ว่ายังไงเฉินเฉียงก็ต้องแพ้ แต่จะดีกว่าหากใช้เรื่องนี้ในการสะกดข่มความโอหังของเด็กนี่ได้”
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ผอ.ก็ยังพูดออกมา ฮู่ต้าไฮ่เองในตอนนี้ก็ทำได้แต่มองไปยังเฉินเฉียงด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
เฉินเฉียงมองอาจารย์ของตนและทำเพียงยักไหล่ใส่เท่านั้น เขาหันหลังกลับไปหาหลู่ฟางและพูดออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดมอบส่วนผสมยาให้ข้าด้วย เดี๋ยวข้าจะปรุงยาให้พี่เดี๋ยวนี้แหละ”
“ศิษย์น้อง ฟังที่อาจารย์พูดดีกว่านะ เลิกก่อเรื่องได้แล้ว ยานี้ไม่ได้สำคัญกับแผนกวิชายุทธของพวกเราสักเท่าไหร่นัก ต่อให้ศิษย์น้องยกเลิกตอนนี้ ศิษย์พี่ก็เชื่อว่าไม่มีใครกล้าโต้แย้งอย่างแน่นอน”
เหตุผลหนึ่งที่หลู่ฟางไม่บ้าทำตามน้ำไปกับเฉินเฉียงนั้นเป็นเพราะว่ากว่าเขาจะได้ส่วนผสมยาพวกนี้มาได้นั้นต้องใช้เวลานานอย่างมาก มีหรือที่เขาจะปล่อยให้เฉินเฉียงไปเล่นให้เสียเปล่า
“ไม่ต้อง ไอ้ขยะ ข้าจะเตรียมส่วนผสมยาให้แกเอง ไม่ใช่ว่าแกอยากจะหลอมยาตรงนี้เลยไม่ใช่รึไง”
“และด้วยยาล้ำค่าเหล่านี้ ข้าล่ะอยากรู้จริงๆว่าขยะอย่างแกจะเรียนรู้อะไรได้กับอีแค่เพียงสิบวันนี้”
เมื่อเฟิงไคเหลียงพูดจบก็ได้โยนถุงสมุนไพรให้เฉินเฉียง
“ขอบคุณ” เฉินเฉียงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เฉินเฉียงเมื่อได้รับยามาแล้วก็ได้นำเตาปรุงยาออกมาจากแหวน
“ห้ะ ไอ้หมอนี่มีแม้กระทั่งเตาปรุงยาอยู่กับตัว”
เมื่อได้เห็นเตาปรุงยาที่เฉินเฉียงออกมาแล้ว คนที่ดูอยู่โดยรอบต่างก็หัวเราะเยาะเย้ยออกมากันเป็นการใหญ่
“เป็นนักรบขยะหกสายเลือดแล้วยังจะเรียนรู้การปรุงยาในสิบวันอีก โคตรน่าเหลือเชื่อเลยว่ะ”
“หากไอ้เวรนี่ปรุงยาขึ้นมาได้ ข้ายอมกินเตาปรุงยาเลยว่ะ”
“ไอ้เด็กคนนี้นี่มันแปลกคนจริงๆ ตอนเขาสอบเข้านั้นก็ทำลายสถิติการสอบเข้าได้ ใครจะรู้ เขาอาจจะปรุงยาทะลวงจุดชีพจรได้จริงๆก็ได้”
“หวู่เอ้อหลาง ดูเหมือนว่าเจ้าจะยกหางไอ้เด็กนี่เกินไปหน่อยนะ อย่าบอกว่ารู้ที่มาที่ไปของมัน”
“โอ้ เป็นจ้าวฮั่นนี่เอง แล้วนายน้อยจ้าวล่ะ ทำไมท่านถึงได้รู้จักเด็กนี่ดีนัก”
“ข้าไม่รู้จักมัน” จ้าวฮั่นตอบก่อนที่จะพูดต่อ “แต่ข้าได้ยินมาว่าไอ้เด็กนี่อยู่ในอาณานิคมหนึ่งที่อยู่ภายใต้ตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทรา และได้สิทธิในการสอบเข้าจากตึกจอมพลฯ”
“นี่แสดงให้เห็นว่าตัวมันนั้นแม้จะมาจากอาณานิคมเล็กๆแต่ก็มีเส้นสายที่ดีระดับหนึ่ง จึงไม่แปลกที่ข้าจะถามเจ้าเมื่อครู่นี้”
อย่างไรก็ตาม ความจริงแล้วจ้าวฮั่นไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนแบบนี้จะถูกแนะนำมาโดยตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทรา
“และที่น่าสนุกยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่ก่อนหน้านี้ไอ้เด็กนี่ไปทำอะไรมา”
หวู่เอ้อหลางถามออกมาอย่างสนใจ “แล้วเขาไปทำอะไรมาล่ะ”
“มันเป็นหนึ่งในทีมเก็บกู้ซากศพของอาณานิคมเขาหมาง”
“ห้ะ ทีมเก็บกู้ซากศพ เป็นไปไม่ได้น่า นั่นมันงานต่ำสุดในอาณานิคมเลยไม่ใช่เหรอ”
หลังจากเว้นช่วงไปสักพัก จ้าวฮั่นก็ได้พูดออกมาอย่างดังให้รับฟังเกี่ยวกับความเป็นมาของเฉินเฉียง
“กับอีแค่คนจากทีมเก็บกู้ซากศพจะมีค่าคู่ควรในการเข้าสำนักเต่าดำได้ยังไง”
“นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการทำตัวโอหังกล้าก่อกวนศิษย์น้องเฟิงและแผนกเล่นแร่แปรธาตุอีก”
“หลังจากที่ไอ้ระยำนี่หลอมยาพลาดแล้ว มันจะต้องอับอายอย่างที่สุด”
“เมื่อถึงตอนนั้นจะดีกว่าที่พวกเราจะขับไล่ไอ้คนแบบนี้ออกไปจากสำนักเต่าดำ”
ฉีเหรินที่ได้ยินก็หันไปมองและหันไปดูเฉินเฉียงด้วยสีหน้าเย็นชาหลังจากได้ยินสิ่งที่ศิษย์สำนักได้คุยกันเขาก็เดินออกไป
แต่กับผู้อาวุโสจ้าวนั้นกับยิ้มกว้างอย่างเห็นได้ชัดจนปากจะฉีกถึงรูหู
ส่วนเฉินเฉียงนั้น หลังจากได้รับส่วนประกอบยามาจากเฟิงไคเหลียง เขาก็ทำการนั่งลงตรงนั้น จุดไฟ และใส่สมุนไพรกว่าสิบชนิดเข้าไปในเตาปรุงยา
เฉินเฉียงไม่ได้แยแสต่อสิ่งที่จ้าวฮั่นออกมาพูดเกี่ยวกับอดีตของเขาแต่อย่างใด
ในตอนนี้เขาเพียงแค่รอคอยจนกว่าจะปรุงยาเปิดจุดลมปราณเสร็จเพียงเท่านั้น
“เหอะ การปรุงยาเปิดจุดลมปราณจะง่ายแบบนี้ได้ยังไงกัน ศิษย์พี่เฟิง ศิษย์พี่ในฐานะที่เป็นมืออาชีพด้านนี้แล้ว ทำไมศิษย์พี่ไม่เปิดเผยความลวงโลกของไอ้เด็กนี่ให้ทุกคนเห็นกันไปเลยล่ะจะได้ประหยัดเวลาพวกเรา”
เฟิงไคเหลียงที่ได้ยินก็คิดจะทำตาม เขาจ้องมองไปยังเฉินเฉียงที่กำลังปรุงยานี้อย่างเย็นชา แต่เมื่อเขาได้เหลือบไปเห็นยาที่กำลังถูกปรุงอยู่ในเตาแล้ว ดวงตาของเขากลับพลันเปลี่ยนเป็นลุกลี้ลุกลนในทันที
ด้วยการที่ระดับการปรุงยาของเฟิงไคเหลียงนั้นอยู่ในระดับที่เรียกว่าใกล้เคียงกับอาจารย์ของเขาอย่างฉีเหรินที่สุด นี่จริงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขานั้นไม่เคยคิดที่จะเคารพฮู่ต้าไฮ่และอาจารย์คนอื่นในสำนักตลอดหลายปีที่ผ่านมา นั่นก็เพราะเขาคิดว่าสำนักนั้นอยู่ได้เพราะแผนกเล่นแร่แปรธาตุของเขา
และด้วยการที่ว่าเฟิงไคเหลียงมีระดับปรุงยาล้ำกว่าใครในสำนักนี้เองทำให้เขานั้นเห็นอย่างชัดเจนว่าเทคนิคการปรุงยาของเฉินเฉียงนี้แม้แต่เขาก็ยังเทียบไม่ได้
เป็นไปได้ยังไงกัน
ไม่มีทางเลยที่เด็กจากทีมเก็บกู้ซากศพจากอาณานิคมที่ห่างไกลแบบนั้นจะได้รับการให้ความรู้ขนาดนี้
แล้วถ้าที่เฉินเฉียงพูดเป็นความจริงล่ะ หากเขาใช้เวลาเพียงสิบวันก็สามารถบรรลุการปรุงยาได้ในระดับสูงจริงล่ะ
ไม่ใช่ว่าไอ้เด็กนี่แท้จริงแล้วคืออัจฉริยะหรอกเหรอ
ยิ่งเฟิงไคเหลียงจ้องมองมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาทีเต็ม ถึงแม้ตอนแรกเหล่าผู้คนจะมีการกล่าวคำถากถางออกมาอยู่ แต่ในตอนนี้ทุกคนกลับเงียบงัน นั่นก็เพราะทุกคนได้เห็นท่าทีของเฟิงไคเหลียงนั่นเอง
“อาจารย์ จะเป็นไปได้ไหมว่าศิษย์น้องจะรู้จักวิธีปรุงยาจริงๆ”
หลู่ฟางอดไม่ได้ที่จะถามออกมาในขณะที่มองเฉินเฉียงที่ในตอนนี้กำลังทำการปรุงยาเปิดจุดชีพจรที่เขานั้นถวิลหามานาน
“ใครจะไปรู้ล่ะ หลู่ฟาง เจ้า… ไม่สิศิษย์น้องของเจ้าผู้นี้นั้นเป็นคนที่ยากจะคาดเดาจริงๆ” ฮู่ต้าไฮ่ในตอนนี้ทำได้เพียงหรี่ตามอง แต่ใบหน้าของเขานั้นกลับแสดงออกมาอย่างผ่อนคลายมากยิ่งขึ้นไปทั่วทุกชั่วขณะ
จากท่าทางของเฟิงไคเหลียงที่เห็นกระบวนการปรุงยาของเฉินเฉียงนั้นพอจะบอกได้ว่าสมควรจะไม่มีปัญหา เพราะไม่อย่างนั้นเฟิงไคเหลียงก็คงไม่ตกในสภาพเหงื่อไหลท่วมกายแบบในตอนนี้
ในตอนนี้ภายในห้องแล้วนอกจากเสียงไฟจากเตาปรุงยาแล้วไม่มีเสียงอื่นใดอีก
ฉีเหรินที่หายไปนานก่อนหน้านี้ก็ได้กลับมายังจุดที่เฉินเฉียงกำลังปรุงยาอยู่
ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง เฉินเฉียงก็ได้ดับไฟในเตาปรุงยาลง
เมื่อเขาเผยอฝาออก กลิ่นหอมของยาก็ได้คละคลุ้งไปทั่ว
“ใช่แล้วครับอาจารย์ กลิ่นนี้แหละ”
คนที่ส่งเสียงออกมาด้วยความประหลาดใจคนแรกคือหลู่ฟาง
“ขอดูหน่อย”
เฉินเฉียงที่เพียงพึ่งจะเปิดฝาเท่านั้น หม้อยาของเขาก็โดนฉวยออกไปโดยที่ตัวเขายังไม่มีโอกาสได้ทำอะไรมากกว่านี้เลยด้วยซ้ำ
“ผู้อาวุโสฉี เป็นยังไงบ้าง”
ฮู่ต้าไฮ่รีบพุ่งเข้าไปหาในทันทีก่อนที่จะวางมือของเขาไปยังไหล่ของฉีเหรินอย่างคาดหวัง
“สำเร็จสิ แถมยังเป็นระดับกลางอีกด้วย”
ฉีเหรินตอบมาอย่างตรงไปตรงมา
“หะ ขั้นกลาง เป็นไปได้ยังไงกัน”
เฟิงไคเหลียงนั้นได้หน้าถอดสีในทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ของตน
จากการรับรู้ของเขานั้นย่อมรู้ดีว่าด้วยเทคนิคปรุงยาของเฉินเฉียงนั้นสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เขานั้นไม่คิดว่าเฉินเฉียงจะสามารถปรุงยาเปิดจุดชีพจรระดับกลางได้เพียงด้วยการปรุงยาเพียงรอบเดียว
เป็นอีกครั้งที่เฟิงไคเหลียงต้องแพ้พ่าย