ตอนที่ 38 ของขวัญบ้าบอ

ปฏิญญาค่าแค้น

เยี่ยซินเอ๋อร์ซึ่งพักอยู่ห้องข้างๆ ระยะใกล้มากที่สุด จึงเป็นคนแรกที่เปิดประตูห้องของหลินหลันเข้ามา 

 

 

นางตะโกนถามอย่างตื่นตกใจ “เปี่ยวเกอ เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือ” เพราะร้อนรนใจยิ่งนัก นัยน์ตาแห่งความห่วงใยที่ถูกปิดซ่อนจึงฉายออกมาอย่างเด่นชัด 

 

 

หลินหลันรู้สึกประหลาดใจต่อการเคลื่อนไหวของเยี่ยซินเอ๋อร์ที่รวดเร็วปานจรวด ดูไม่เหมือนคนป่วยที่หมดสภาพจากอาการเมาเรือเลยสักนิด แต่เรื่องที่น่ากังวลใจไปยิ่งกว่านั้นคือนางไม่คาดคิดว่าจะทำให้หลี่หมิงอวินได้รับบาดเจ็บ ด้วยความรู้สึกร้อนใจเมื่อครู่ จึงเผลอออกแรงมากไปจริงๆ แม้ว่าจะปล่อยนิ้วที่ถูกหนีบของหลี่หมิงอวินให้เป็นอิสระในทันที แต่นิ้วทั้งสามของหลี่หมิงอวินก็กลับบวมเป่งขึ้นโดยเร็ว หลินหลันจ้องมองไปยังนิ้วที่บวมแดงของหลี่หมิงอวิน ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร 

 

 

การถูกหนีบในครั้งนี้ช่างโหดร้ายเกินไปแล้ว ทุกส่วนเล็กๆ ของร่างกายมีความสัมพันธ์กับหัวใจ หลี่หมิงอวินสูดลมหายใจเข้าเฮือกใหญ่สองสามครั้ง จึงสามารถสกัดกั้นความเจ็บปวดที่แสนบีบหัวใจลงไปได้ และบังคับสติอารมณ์ให้สงบลง “ข้าไม่ทันระวัง นิ้วเลยถูกหนีบเข้าให้” 

 

 

หลินหลันมองไปที่เขาด้วยความตกตะลึง คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะเอาความผิดโยนใส่ตัวเองทั้งหมด 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ก้าวเข้าไปเบื้องหน้า ตรวจดูอาการบาดเจ็บของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง รอยจากการถูกหนีบสีเข้มปรากฏบนนิ้วนั่น และเมื่อนึกถึงเสียงร้องดังลั่นของผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องขึ้นมา หัวใจของนางก็เกิดเจ็บปวดยิ่งนัก แล้วดวงตาก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาก่อนจะตามด้วยเสียงพึมพำอย่างวิตกกังวล “บาดเจ็บมากขนาดนี้ ควรจะทำอย่างไรดี อีกทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ากระดูกหักหรือไม่…” 

 

 

หลี่หมิงอวินที่เดิมทีเพียงแค่รู้สึกปวด ทว่าเมื่อครู่นี้ถูกเยี่ยซินเอ๋อร์จับมือเข้า ทำให้รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นไปอีกเล็กน้อย จึงมองไปยังผู้ที่ยืนทำหน้าตกตะลึงอยู่ด้านข้างด้วยความไม่พอใจ และเอ่ยออกไปด้วยถ้อยเสียงเย็นชาอยู่เล็กน้อย “เจ้าเป็นหมอ ยังไม่รีบเข้ามารักษาข้าอีก” 

 

 

หลินหลันเพิ่งได้สติกลับคืนมา รีบก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าวและเบียดแทรกเยี่ยซินเอ๋อร์ให้ออกห่าง “เปี่ยวเหม่ยรีบถอยออกไปก่อน ให้ข้าได้ทำการรักษาเปี่ยวเกอของเจ้า” 

 

 

แม่โจวและคนอื่นๆ ก็พากันมาถึงด้วยความรีบร้อน ทว่าทำเพียงส่งเสียงเอ่ยถามเข้ามาเท่านั้น “เป็นอะไรไป เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้นเช่นนั้นหรือ” 

 

 

เห็นได้ชัดว่าแม่โจวคาดไม่ถึงว่าเยี่ยซินเอ๋อร์จะอยู่ด้านในด้วย อีกทั้งยังยืนอยู่ด้านข้างร้องห่มร้องไห้อย่างเงียบๆ รูปการเช่นนี้คงอดไม่ได้หากใครต่อใครจะพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา 

 

 

หลี่หมิงอวินคาดไม่ถึงเลยว่าเสียงร้องโวยด้วยความเจ็บปวดของตนเพียงครั้งเดียว จะสร้างความตื่นตระหนกให้คนมากมายขนาดนี้ มันช่างน่าอับอายยิ่งนัก จึงรีบตอบกลับไป “แม่โจว ไม่มีอะไร แค่ไม่ทันระวังนิ้วมือจึงถูกหนีบเข้าให้” 

 

 

แม่โจวได้ยินว่านิ้วมือได้รับบาดเจ็บ บวกกับมองเห็นหลินหลันกำลังจับมือข้างขวาของหมิงอวินเส้าเหยีย จึงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาชั่วขณะ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นเล็กน้อยด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นห่วงเป็นใย “เหตุใดจึงไม่ระวังเยี่ยงนี้ไปได้ มือข้างนี้ของท่านต้องใช้เขียนหนังสือ หากเกิดบาดเจ็บไปถึงกระดูกแล้วจะทำอย่างไรเจ้าคะ!” 

 

 

“คงไม่ถึงขั้นบาดเจ็บไปถึงกระดูก ท่านดูสิ นี่ไม่ใช่ว่ายังขยับได้อยู่หรอกหรือ” หลี่หมิงอวินขยับนิ้วโดยกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ 

 

 

“อย่าขยับเช่นนั้นสิเจ้าคะ กุ้ยซ่าว เจ้ารีบไปหยิบช่ายโหยว [1] มาหน่อยสิ” แม่โจวเห็นว่านิ้วของหมิงอวินเส้าเหยียกำลังบวมเป่งจนเหมือนแครอท จึงเรียกใช้กุ้ยซ่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความกังวล 

 

 

กุ้ยซ่าวจึงวิ่งไปยังห้องครัวอย่างเร่งรีบ 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยความสงสัย “ช่ายโหยว…สามารถช่วยได้หรือ” 

 

 

“จะช่วยไม่ได้ได้อย่างไรกัน นี่เป็นวิธีรักษาพื้นบ้าน ตอนที่ท่านพ่อของเจ้ายังเป็นเด็กซุกซน แล้วตกลงมาจากต้นไม้ จนหน้าผากบวมเป่งขนาดเท่าหนึ่งกำปั้นมือ ก็ใช้ช่ายโหยวนี่แหละทาถึงได้หายดี” 

 

 

หลินหลันกล่าวอธิบายเสริม “ช่ายโหยวมีคุณสมบัติคือความอุ่น ช่วยรักษาผิวหนังที่มีการอักเสบ สามารถขจัดอาการบวมและแดงได้” 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์ทั้งรู้สึกน้อยอกน้อยใจและรู้สึกโกรธ นางก็แค่ถามด้วยความสงสัยเท่านั้นเอง เหตุใดแม่โจวจึงต้องเอ่ยถึงเรื่องของท่านพ่อนางขึ้นมาด้วย น้ำเสียงยังเสมือนกับรำคราญเยี่ยงนี้อีก ซึ่งแม่โจวไม่ได้เป็นเช่นนี้เมื่อครั้งอยู่ที่บ้าน 

 

 

แม่โจวในตอนนี้ไม่ได้มีหน้าที่ไปคอยดูแลความรู้สึกของเยี่ยซินเอ๋อร์ ก่อนจะเอ่ยดุผู้ที่กำลังแออัดเฝ้ามองอยู่บริเวณประตู “คนที่ไม่เกี่ยวข้องพากันแยกย้ายไปให้หมด มีหน้าที่ทำอะไรก็กลับไปทำหน้าที่ของตนเองเสีย” 

 

 

กลุ่มคนรีบพากันแยกย้ายไป ขณะที่เยี่ยซินเอ๋อร์ก็ได้แต่เก็บเอาประโยคที่ได้ยินนี้ใส่ไว้ในหัวใจ คนที่ไม่เกี่ยวข้อง แม่โจวกำลังหมายถึงนาง? เหตุใดนางจึงกลายเป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องไปได้ ในเมื่อคนที่ได้รับบาดเจ็บเป็นลูกพี่ลูกน้องของนาง แม่โจวคิดว่าตนเองเป็นใครกัน เป็นเพียงแค่ข้ารับใช้คนหนึ่งก็เท่านั้น อีกทั้งยังไม่ได้เลี้ยงดูเปี่ยวเกอมา เยี่ยซินเอ๋อร์รู้สึกบึ้งตึงอยู่ภายในใจ และกลับเลือกที่จะยืนอยู่เช่นนั้นไม่ไปไหน 

 

 

กุ้ยซ่าวไปและกลับเพียงชั่วพริบตา นำเอาช่ายโหยวมาอย่างว่องไว 

 

 

หลินหลันกล่าว “ส่งมาให้ข้าเถิด ข้าช่วยทาให้เส้าเหยียเอง” 

 

 

หลินหลันใช้ช่ายโหยวช่วยหลี่หมิงอวินทาลงไปอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นนิ้วที่บวมและแดงของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ จึงรู้สึกผิดอยู่ในใจมากยิ่งขึ้น 

 

 

แม่โจวกล่าวย้ำเตือน “เส้าฟูเหริน มือของเส้าเหยียได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ระยะนี้ท่านจำเป็นต้องคอยดูอย่างใส่ใจ อย่าให้เขาถูกน้ำและอย่าให้ไปถูกอะไรเข้าอีก หากรักษาไม่หายและทิ้งอาการบาดเจ็บเรื้อรังเอาไว้ จนเส้าเหยียต้องสูญเสียลายมือที่ดีไป นั่นมันเกินกว่าที่พวกเราจะชดใช้ได้” 

 

 

หลินหลันผู้ก่อปัญหาขึ้นด้วยตัวของนางเอง กำลังรู้สึกผิดและละอายใจ จะมีเหตุผลใดให้ไม่ตอบรับกันเล่า นางพยักหน้ารัวๆ แล้วกล่าวรับประกัน “ข้าจะดูแลเขาให้ดีๆ ” 

 

 

แม่โจวจึงได้วางใจ “เช่นนั้นเรื่องตรงนี้ก็รบกวนเส้าฟูเหรินด้วย” 

 

 

เดินไปได้เพียงสองก้าว แม่โจวเห็นว่าเยี่ยซินเอ๋อร์ยังคงไม่คิดจะขยับเขยื้อน คิ้วของนางจึงขมวดขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหันไปพูดกับหลินอวิ้น “เสี่ยวเจี่ยะรองยังป่วยอยู่! ยังไม่รีบเข้าไปประครองเสี่ยวเจี่ยะรองพากลับไปพักผ่อนอีก” 

 

 

หลิงอวิ้นตอบรับ แล้วเข้าไปประครองเสี่ยวเจี่ยะรอง 

 

 

เยี่ยซินเอ๋อร์มองแล้วมองอีกไปที่หลี่หมิงอวิน นัยน์ตาคือความกังวลที่ไม่รู้จบ “เปี่ยวเกอ ต้องระวังให้มากขึ้นอีก อย่าได้ทำให้ได้รับบาดเจ็บซ้ำอีกนะเจ้าคะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินยิ้มเล็กน้อยขณะพยักหน้า “เปี่ยวเหม่ยก็ดูแลรักษาสุขภาพตนเองด้วย” 

 

 

เมื่อแม่โจวออกไปและเดินผ่านอวี้หลง ก็ส่งเสียงสบทฮึเบาๆ ขึ้นมา “เจ้ามากับข้า” 

 

 

อวี้หลงงุนงง เข้าใจไปว่าแม่โจวกำลังจะตำหนินาง ด้วยเพิ่งจะสั่งการไป ให้ดูแลเส้าเหยียและเส้าฟูเหรินให้ดีๆ ผลสุดท้ายกลับกลายเป็นว่านางเพิ่งจะห่างออกมาเพียงประเดี๋ยวเดียว เส้าเหยียก็ประสบอุบัติเหตุเข้าแล้ว 

 

 

หยินหลิ่วมองไปที่อวี้หลงอย่างเห็นอกเห็นใจโดยไม่สามารถช่วยอะไรได้ 

 

 

“ปวดมากใช่หรือไม่” หลินหลันเอ่ยถามอย่างรู้สึกผิด 

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าสำนึกผิดของนาง หลี่หมิงอวินจึงอดทนที่จะไม่เอ่ยตำหนินางออกไป แล้วชายตามองไปยังกล่องที่นางโยนลงบนเตียงหลังจากเหตุการณ์นั้น แล้วเอ่ยถาม “ในกล่องนั่นมีอะไรงั้นหรือ” 

 

 

ห๊า? หลินหลันรีบร้อนทำกล่องขนาดเล็กเข้าไปแอบซ่อนไว้ในตู้ แล้วเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไร ก็แค่ของขวัญที่เหล่าศิษย์พี่มอบให้น่ะ” ในใจรู้สึกถึงความไม่พอใจ หยินหลิ่วผู้นี้ก็ช่างไม่รู้อะไรเลย เหตุใดจึงได้วางกล่องเอาไว้ในตำแหน่งที่เห็นอย่างชัดเจนเยี่ยงนี้ 

 

 

หยินหลิ่วถือถาดเคลือบที่ผ่านการแกะสลักเอาไว้ในมือ กล่าวขึ้นอย่างระมัดระวัง “เส้าเยี่ย เส้าฟูเหริน ได้เวลารับประทานอาหารแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

หลี่หมิงอวินมองไปที่มือของตนเอง ก่อนจะมองไปที่หลินหลัน 

 

 

หลินหลันเอ่ยขึ้นอย่างใจกว้าง “ข้าป้อนเจ้าเอง” 

 

 

หยินหลิ่วนำอาหารซึ่งถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วส่งให้แก่หลินหลัน หลินหลันขยับเก้าอี้ตัวเตี้ยไปนั่งอยู่ด้านข้างหลี่หมิงอวิน แล้วคอยป้อนอาหารให้เขาทีละคำ 

 

 

หลินหลันไม่ได้คิดอะไรในใจ นี่เป็นเพียงแค่การดูแลผู้ป่วยก็เท่านั้น ทว่าหลี่หมิงอวินกลับรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเอาเสียมากๆ แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หลินหลันป้อนอาหารให้แก่เขา ในครั้งก่อนที่เขาถูกงูดอกไม้กัดจนได้รับบาดเจ็บ นอนกึ่งเป็นกึ่งตายอยู่บนเตียง ก็เป็นหลินหลันที่คอยดูแลเขา ทว่าตอนนั้นเขาไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ ซึ่งผิดกับในตอนนี้ คนสองคนกำลังนั่งหันหน้าเข้าหากัน… 

 

 

เพื่อคลายบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกอึดอัดและวางตัวไม่ถูก หลี่หมิงอวินจึงเอ่ยปากถามขึ้น “ศิษย์พี่ของเจ้าส่งอะไรมาให้หรือ” 

 

 

หลินหลันขมวดคิ้ว “เจ้าช่วยหยุดซักไซ้ถามคำถามนี้จะได้ไหม” 

 

 

หลี่หมิงอวินชักสีหน้าขรึมแล้วพูดขึ้น “ข้าได้รับบาดเจ็บเพราะสิ่งต้องสงสัยนี่ เจ้าจึงควรให้ข้าได้รู้ว่าในนั้นมีอะไรอยู่กันแน่” 

 

 

“ให้นี่เป็นเรื่องความลับส่วนตัวของข้าจะได้ไหม ลูกผู้ชายไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของผู้อื่น” หลินหลันเอ่ยดักเขาด้วยคำพูดดังกล่าว เพราะถึงให้ตายก็ไม่บอกเขาหรอกว่ามีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น มิฉะนั้นนางจะยอมดำลงไปในแม่น้ำให้จมน้ำตายกันไปข้างหนึ่ง ยังจะดีเสียกว่าต้องถูกหัวเราะเยาะ กล่องบ้าบอนั่น นางควรจะโยนมันทิ้งไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ 

 

 

“เป็นยา?” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ 

 

 

หลินหลันหน้าแดง “ไม่บอก” 

 

 

มองดูนางที่แสดงอารมณ์ออกมาเสียชัดเจนขนาดนี้ หลี่หมิงอวินก็พอจะเดาออกได้แล้ว จึงอดไม่ได้ที่เผยรอมยิ้มขึ้นมา 

 

 

ทันทีที่รอยยิ้มของเขาปรากฏ ความโมโหของหลินหลันก็พลุ่งพล่าน กล่าวดุออกไป “เจ้ายิ้มอะไร ไม่อนุญาตให้ยิ้ม” 

 

 

นั่นยิ่งทำให้หลี่หมิงอวินเพิ่มความมั่นใจเข้าไปอีกว่าตนเองคาดเดาได้อย่างถูกต้อง และก็ไม่อาจกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ได้อีกครั้ง 

 

 

หลินหลันลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห แล้วนำชามข้าวยัดใส่มือหยินหลิ่ว “เจ้ามาป้อนที” 

 

 

ตนเองรีบวิ่งไปเปิดตู้แล้วหยิบเอากล่องขนาดเล็กออกมา ก่อนจะเดินดุ่มด่ามออกจากห้องไป 

 

 

หลี่หมิงอวินตะโกนไล่หลังนาง “เฮ้! เจ้าอย่าได้ทิ้งเชียวนะ! ไว้นำไปมอบให้เฉินจื่ออวี้ก็ได้…” 

 

 

หลินหลันสบทขึ้นในใจ มอบให้กับผีน่ะสิ 

 

 

หยินหลิ่วไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น “เส้าฟูเหรินเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” 

 

 

ไม่ง่ายเลยที่หลี่หมิงอวินจะพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้ “ไม่มีอะไร กินข้าวเถอะ” 

 

 

หลินหลันวิ่งขึ้นมายังดาดฟ้า ลงมือเปิดกล่องนั้นออก แล้วนำขวดแก้วขนาดเล็กที่อยู่ด้านในโยนลงแม่น้ำไปทีละขวดๆ พลางกรนด่าไปด้วย “จะไปไหนก็ไปไอ้ผู้ชายหื่นกาม จะไปปลดปล่อยที่ไหนก็ไปให้ไกลๆ เลย…” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ช่ายโหยว (菜油) คือน้ำมันพืชคาโนล่า เป็นน้ำมันพืชที่คนจีนนิยมในการทำอาหาร