ชีวิตบนเรือไม่ได้ผ่อนคลายสบายๆ เลยสักนิดเดียว ซึ่งสาเหตุหลักเป็นเพราะการกระทำของตัวหลินหลันเอง โดยหลังจากหลี่หมิงอวินได้รับบาดเจ็บ หลินหลันก็ต้องกลายเป็นผู้คอยจดบันทึกของเขาไปโดยปริยาย หลี่หมิงอวินเมื่ออ่านหนังสือจะมีนิสัยคุ้นชินอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อมองเห็นถึงประเด็นที่สำคัญหรือจุดที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็มักต้องเขียนความเข้าใจกำกับลงไปไว้ด้วย ยิ่งหนักไปกว่านั้นคือ สิ่งที่เขาเข้าใจมันมากมายเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นระยะเวลาเกือบวันทั้งวันของหลินหลันจึงหมดไปกับการช่วยหลี่หมิงอวินจดบันทึก
“ความเห็นอกเห็นใจคือจุดเริ่มต้นของความเมตตากรุณา ความละอายแก่ใจเป็นจุดเริ่มต้นของความชอบธรรม การรู้จักถ่อมตัวเป็นจุดเริ่มต้นของความสุภาพ การแยกแยะระหว่างถูกและผิดเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา…เป็นรากฐานธรรมชาติแต่เดิมของความเป็นมนุษย์ ความเลวร้ายบนโลกมาจากแห่งหนใด ความเลวร้ายก็สถิตอยู่แห่งหนนั้น” หลี่หมิงอวินพูดพรรณนากับตนเอง แล้วหัวคิ้วของเขาก็เลิกขึ้น ราวกับแสดงความคิดเห็นที่ค่อนข้างไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก
หลินหลันถามขึ้นด้วยอาการเบื่อหน่าย “อันนี้ก็ต้องบันทึกลงไปด้วยไหม”
หลี่หมิงอวินส่ายหน้า “เพียงแค่รู้สึกพิลึกชอบกล”
หลินหลันกล่าวขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย “นี่มีอะไรให้ให้น่ารู้สึกพิลึกชอบกลกันเล่า เมิ่งเหล่าโถว [1] ก็เพียงแต่โน้มน้าวผู้คนให้เป็นคนดี ทุกคนควรเป็นสุภาพบุรุษที่มีศีลธรรม แล้วสังคมก็จะเต็มไปด้วยการปรองดองสามัคคีกัน”
ทันใดนั้นนัยน์ตาของหลี่หมิงอวินก็ฉายความประหลาดใจขึ้น คาดไม่ถึงว่าหลินหลันจะสามารถจับใจความแล้วพูดออกมาได้เช่นนี้ จึงจุดประกายความสนใจที่อยากจะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับนางขึ้นมา “ทว่าคำพูดของเมิ่งจื่อที่ว่า คุณธรรมทั้งสี่ประการนี้คือรากฐานธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ ไฉนจึงกล่าวถึงสิ่งนี้ว่าคือความเป็นธรรมชาติซึ่งมีติดตัวมาแต่กำเนิด”
หลินหลันพ่นลมหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “ไร้สาระน่า เจ้าเคยเห็นเด็กทารกที่รู้จักมารยาทความยุติธรรมและความละอายแก่ใจตั้งแต่แรกเกิดหรือไม่? ก็ไม่ใช่ว่าเกิดจากการสั่งสอนในภายหลังทั้งนั้นหรอกหรือ หากคุณธรรมทั้งสี่ประการนี้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เช่นนั้นขงจื่อ เมิ่งจื่อและคนอื่นๆ ยังจะต้องเปลืองแรงเขียน หนังสือคำสอนปรัชญา ‘ลุ่นอวี่’ ‘เมิ่งจื่อ’ อะไรพวกนี้อีกหรือ แล้วยังจะมีใครที่ต้องการให้พวกเขามาพร่ำสอนอยู่อีกหรือ”
หลี่หมิงอวินยิ่งรู้สึกสนใจมากขึ้นกว่าเดิม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่ารากฐานของความเป็นมนุษย์ควรเป็นอย่างไร”
หลินหลันครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่ควรพูดออกไปอย่างซับซ้อนและเข้าใจยากมากจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงหลี่หมิงอวินเกิดนึกสงสัยในตัวนาง ต้องให้เข้าใจได้ว่านางเป็นเพียงแค่หญิงสาวชาวบ้านที่สามารถวินิจฉัยอาการป่วยและรักษาโรคได้นิดหน่อยผู้หนึ่งก็เท่านั้น “ข้าคิดว่าจุดเริ่มแรกของความเป็นมนุษย์ ไม่มีหรอกความเมตตาหรือความเลวร้ายอะไรนั่น เพราะว่าเด็กทารกล้วนไม่รู้ประสาอะไรทั้งสิ้น ไม่ต่างจากกระดาษขาวหนึ่งแผ่นก็เท่านั้น แต่หลังจากได้พบเจอผู้คนและสัมผัสเรื่องราวในแต่ละวันซึ่งเป็นเสมือนปากกาหมึก ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าบนกระดาษสีขาวแผ่นนี้จะขีดเขียนไว้ด้วยหมึกสีแดงหรือสีดำก็เท่านั้น”
“วิธีการพูดเช่นนี้ของเจ้า ค่อนข้างมีความแปลกใหม่ทีเดียว” หลี่หมิงอวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เดิมทีก็เป็นเช่นนี้หนิ! รากฐานความเป็นมนุษย์ไม่ว่าจะดีจะร้าย ต่างก็แข่งขันกันไปแข่งขันกันมา ไม่เห็นน่าสนใจตรงไหนเลย ข้ายังเคยได้ยินมาว่า มีคนนำทารกแรกเกิดไปทิ้งในป่า ต่อมาทารกถูกหมาป่าคาบไป เขาจึงเติบโตมาในฝูงหมาป่าและมีนิสัยใจคอเหมือนกับหมาป่า เจ้าสามารถพูดได้ว่าคนเช่นนี้เป็นคนดีหรือชั่วเช่นนั้นหรือ แล้วยังสามารถเรียกว่ามนุษย์ได้อยู่หรือไม่” หลินหลันยกตัวอย่างจากเมาคลีลูกหมาป่าในยุคสมัยใหม่มาเป็นเครื่องพิสูจน์
หลี่หมิงอวินถอนหายใจแล้วจึงกล่าวขึ้น “ความเป็นจริงแล้วคงเรียกว่ามนุษย์ไม่ได้” ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วจริงจังขึ้นมา “เรื่องที่เจ้าพูดเป็นเรื่องจริงหรือ เป็นไปได้อย่างไรกันที่จะมีบิดามารดาซึ่งจิตใจโหดเหี้ยมได้เยี่ยงนี้”
หลินหลันยักหัวไหล่ “โลกกว้างใหญ่ไพศาลไม่แปลกที่จะมีเรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นมากมาย ดังนั้นจึงเอ่ยได้ว่า ไม่มีผู้ใดเป็นสุภาพบุรุษสูงส่งตั้งแต่กำเนิด แล้วก็ไม่มีผู้ใดชั่วร้ายทั้งชีวิตมาตั้งแต่กำเนิดเช่นกัน ทั้งหมดเป็นผลจากการได้เรียนรู้ในภายหลังทั้งสิ้น เมิ่งเหล่าโถวก็ช่างน่าเบื่อเสียจริง ในอดีต ‘เมิ่งหมู่ซานเชียน’ [2] ก็ได้อธิบายถึงปัญหานี้ไว้ชัดเจนตั้งนานแล้ว เขายังมีหน้ามาเอ่ยถึงคุณธรรมรากฐานสี่ประการอะไรนี่อีก ไม่เท่ากับว่าเป็นการสบประมาทมารดาของตนเองหรือไร ปัญหาน่าเบื่อเช่นนี้ยังจะสามารถทำให้เจ้าสับสนได้อยู่ก็สุดยอดแห่งความเขลาแล้วล่ะ” หลินหลันกล่าวออกไปด้วยความรำคาญ
หลี่หมิงอวินอดไม่ได้ที่จะยกสองมือประกบเข้าหากันและฉีกยิ้ม “วิเศษมาก แม้ว่าคำพูดของเจ้าจะขัดกับคัมภีร์ ทว่ากลับมีความงดงามในตัวเอง”
“หลักคำสอนในคัมภีร์ก็ใช่ว่าจะถูกต้องเสมอไป อย่างที่ข้าเคยพูดไป เมิ่งเหล่าโถวไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามสอนคนให้มีเมตตาและคำพูดของเขายังถือว่ามีผลลัพธ์ในทางที่ดีเสียด้วย” หลินหลันพูดอย่างเป็นกลาง
หลี่หมิงอวินพยักหน้า และทันใดนั้นเองก็คิดบางเรื่องขึ้นมาได้ ก่อนจะจงใจปั้นท่าทีเคร่งขรึมและกล่าวออกไป “อย่าเอาแต่เรียกคำก็เมิ่งเหล่าโถวสองคำก็เมิ่งเหล่าโถว เช่นนี้เป็นการไม่ให้ความเคารพแก่นักปรัชญา”
หลินหลันนึกขึ้นมาได้เกี่ยวกับการตีความคำว่า ‘เหล่าโถวจื่อ [3] ’ ที่แสนชาญฉลาดของหลิวหลัวกัว ขณะนั้นเองจึงเอียงศีรษะและยิ้มให้หลี่หมิงอวินซึ่งกำลังเผยท่าทีจริงจัง “คำว่าเหล่าคืออะไร คำว่าเหล่ายังใช้เป็นคำเรียกผู้อาวุโสและผู้ซึ่งได้รับการเคารพนับถือ เหมือนกับคำว่า เหล่าเหย่ เหล่าเซียนเซิง เหล่าไทไท แล้วโถวล่ะคืออะไร โถวยังหมายได้ถึงหัวหน้าครอบครัว หัวหน้าสถานการศึกษาเล่าเรียน ส่วนคำว่าจื่อคืออะไรน่ะหรือ คำว่าจื่อยังหมายได้ถึงผู้มีความสามารถและมีอิทธิพล เช่นนี้แล้วเมิ่งจื่อในฐานะปรมาจารย์ขงจื่อคนที่สองของลัทธิขงจื่อ ยังควรถูกเรียกว่าเหล่าโถวจื่อได้อยู่หรือไม่”
หลี่หมิงอวินถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ฟังนางอธิบายออกมาได้อย่างงดงามเป็นอย่างยิ่ง และอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้น ราวกับว่ากำลังได้ฟังหญิงสาวซึ่งเป็นที่รักของตนออดอ้อนออเซาะ ช่างให้ความรู้สึกที่เพลิดเพลินอยู่เล็กน้อยอย่างไม่รู้ตัว และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ว่าการพูดคุยกับนางทำให้มีความสุขได้มากมายเช่นนี้
มองดูรอยยิ้มที่เป็นธรรมชาติซึ่งเผยให้เห็นหญิงสาวตัวเล็กแสนทรงเสน่ห์และไร้เดียงสา หลี่หมิงอวินจึงเผลอใช้ปลายนิ้วลูบลงไปบนสันจมูกเล็กๆ ของนาง แล้วกล่าวออกไปด้วยรอยยิ้ม “เมื่ออยู่ข้างนอกต่อหน้าผู้อื่นไม่อนุญาตให้ใช้คำเรียกเช่นนี้”
กล้าลูบจมูกนางงั้นเหรอ ได้สิ๊! หลินหลันยื่นมือออกมาแล้วสะกิดลงบนสันจมูกของเขาอย่างแรง อีกทั้งยังวางท่าทางแบบที่ว่า หากเจ้ากล้าก็ลองทำดูอีกสิ พลางทำตาโตจ้องไปที่เขา
หลี่หมิงอวินทั้งรู้สึกเคืองทั้งรู้สึกตลกในเวลาเดียวกัน “พอได้แล้ว วันนี้พอแค่นี้เถอะ! ข้าอยากออกไปอาบแดดเสียหน่อย”
“ยังจะอาบแดดอะไรอีก พระอาทิตย์จะตกดินอยู่แล้ว” หลินหลันมุ่ยปากพลางเก็บปากกาหมึก กระดาษและหินฝนหมึกอย่างรวดเร็ว เจ้าหนอนหนังสือผู้นี้ มัวแต่อ่านหนังสือจนไม่รู้กลางวันกลางคืนไปแล้ว
หลี่หมิงอวินตกตะลึง และเมื่อลองมองผ่านบานหน้าต่าง ก็เห็นว่าด้านนอกเป็นเวลาสายัณห์เสียแล้ว เขาเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “เช่นนั้นก็ไปชมพระอาทิตย์ตกกันเถอะ!”
“ให้อวี้หลงไปเป็นเพื่อนเจ้าแล้วกัน ข้าต้องการพักผ่อน เขียนหนังสือมาตลอดทั้งวันจนมือจะหักอยู่แล้ว” หลินหลันบีบนวดท่อนแขนอย่างปวดเมื่อย แล้วเอนลำตัวพิงเข้ากับพนักพิงเก้าอี้อย่างขี้เกียจ พลางบ่นอุบอิบไปด้วย
หลี่หมิงอวินยื่นมือที่บาดเจ็บขึ้นมาเสมอเบื้องหน้าของนางแล้วส่ายไปมา “เฮ้! คนที่มือเกือบจะหักเป็นข้าต่างหาก”
หลินหลันรู้สึกถึงความพ่ายแพ้ในทันที ได้แต่เจ็บแค้นเคืองโกรธ นางลุกพรวดยืนขึ้นแล้วมุ่งไปหยิบกล่องยา
“เจ้าจะทำอะไร” หลี่หมิงอวินมองนางอย่างไม่วางตา
หลินหลันเปิดกล้องยาแล้วขวานหาสิ่งของด้านใน “ข้าต้องค้นคว้าตัวยาที่ได้ผลดีเป็นพิเศษเพื่อช่วยรักษาเจ้าให้หายดีโดยเร็วไว และมือของข้าจะได้เป็นอิสระเสียที”
หลี่หมิงอวินอดที่จะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาจึงแบกมือของตนเองออกไปจากใต้ท้องเรือ ปล่อยให้นางได้ค้นคว้าตามที่ต้องการ
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้หลินหลันได้ใช้เวลาว่างไปกับการคิดค้นยาสำหรับรักษาอาการเมารถและอาการเมาเรือ อันที่จริงแล้วมันก็คือยาเป่าจี้ [4] อย่างไรก็ตามยาเม็ดนี้ได้รับการพัฒนาโดยหลี่จ้าวจีที่มณฑลฝอซานในสมัยราชวงศ์ชิง หลินหลันใช้สูตรการผสมยาของเขา แล้วนำมาปรับปรุงให้ดีขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตั้งชื่อยาไว้ว่าเป่าหนิง ซึ่งจะช่วยให้ไม่ต้องเผชิญกับการดื่มยาที่ขมขื่นอีกทั้งผลลัพธ์ก็ยังดีเกินคาดเสียด้วย โดยเยี่ยซินเอ๋อร์และอวี้หลงต่างก็กำลังรับประทานยาตัวนี้และอาการเมาเรือก็ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
หลินหลันยังมีความต้องการที่จะทำยาบำรุงอวัยวะภายในทั้งหก [5] , ยาลิ่วเว่ยตี้หวาง [6] , ยาฮั่วเซียงเจิ้นชี่ [7] และอื่นๆ ออกมา และในอนาคตเมื่อได้เปิดร้านขายยาเป็นของตนเอง ก็จะจัดให้ยาเหล่านี้เป็นยาขึ้นชื่อประจำร้าน
ขณะที่กำลังวุ่นวายอยู่นั้น เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
หลินหลันคิดว่าเป็นหยินหลิ่ว จึงเอ่ยปากออกไปในทันที “เข้ามาเถอะ!”
“พี่สะใภ้ ท่านพี่ไม่อยู่หรอกหรือ” เสียงอ่อนโยนที่ชัดเจนของเยี่ยซินเอ๋อร์ดังขึ้นจากด้านหลังของนาง
หลินหลันหันกลับไป และเห็นว่าเยี่ยซินเอ๋อร์กำลังยืนอย่างสงบเสงี่ยมถือถาดเคลือบสีแดงขนาดเล็กเอาไว้ นางจึงยิ้มและกล่าวออกไป “ที่แท้เป็นเปี่ยวเหม่ยนี่เอง เจ้ามีธุระอะไรกับพี่ชายของเจ้างั้นหรือ”
เยี่ยซินเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ข้าตั้งใจมาพบพี่สะใภ้เป็นพิเศษ หลายวันมานี้ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมาก เพราะยาเป่าหนิงของพี่สะใภ้ ร่างกายข้าจึงรู้สึกกระปรี่กระเปราขึ้นเป็นอย่างมาก ข้าเห็นว่าพี่สะใภ้และท่านพี่อ่านหนังสือกันอย่างหนักทุกวัน เยี่ยซินเอ๋อร์จึงตั้งใจให้ทางห้องครัวทำโจ๊กรังนกมาให้ เพื่อบรรเทาความเมื่อยล้าของพี่สะใภ้”
นั่นทำให้หลินหลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที แต่ก็รีบลุกขึ้นไปรับถาดมาไว้ “เช่นนี้ก็เกรงใจแย่เลย!”
เยี่ยซินเอ๋อร์เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ “ล้วนเป็นคนกันเองทั้งนั้น น้องสาวไม่ควรเพียงแต่ขอให้พี่สะใภ้ดูแลอยู่ฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่น้องสาวควรทำอะไรให้พี่สะใภ้บ้างถึงจะถูกต้องมิใช่หรือเจ้าคะ”
หลินหลันจึงพูดและฉีกยิ้มออกไป “เช่นนั้นก็ขอบใจเปี่ยวเหม่ยมากจ้ะ” ขณะที่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความสงสัย คนอย่างเยี่ยซินเอ๋อร์เนี่ยนะจะไม่มีอะไรแอบแฝงนอกเสียจากต้องการแสดงความหวังดี คาดเดาไม่ออกเลยว่าที่แท้จริงแล้วนางมีจุดประสงค์อะไรกันแน่
เยี่ยซินเอ๋อร์กล่าวด้วยเนื้อเสียงนุ่มนวล “พี่สะใภ้รีบดื่มตอนยังอุ่นๆ เถิด! หากปล่อยไว้เย็นแล้วจะไม่อร่อยน่ะเจ้าค่ะ”
คำเรียกร้องนั้นยากเกินกว่านางจะเอ่ยปฏิเสธได้ หลินหลันจึงต้องว่างมือจากงานของนาง และดื่มโจ๊กรังนกเข้าไป เยี่ยซินเอ๋อร์เดินไปอยู่ด้านข้างกล่องยาแล้วสัมผัสวัตถุดิบยาเหล่านั้น ดูเหมือนกำลังประหลาดใจเป็นยิ่งนัก ก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “ช่างน่าอิจฉาพี่สะใภ้เหลือเกินที่มีความสามารถด้านทักษะการแพทย์ ที่จริงข้าอ่อนแอมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทำให้คนในครอบครัวต้องคอยเป็นกังวลอยู่ร่ำไป จึงเคยคิดที่จะเรียนรู้ด้านการวินิจฉัยและรักษาอาการป่วย ไม่ต้องถึงขั้นที่ว่าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยและช่วยชีวิตผู้อื่นได้หรอก หวังแค่เพียงจะสามารถฟื้นฟูร่างกายได้ของตนเองได้ก็เป็นพอ ทว่าน่าเสียดายที่ไม่อาจทำได้อย่างที่คาดหวังเอาไว้”
คำพูดนี้มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้องการให้หลินหลันเข้าร่วมในการสนทนาด้วย…เปี่ยวเหม่ยก็สนใจเกี่ยวทักษะทางการแพทย์ด้วยเช่นนั้นหรือ
หลินหลันใช้เวลาในการดื่มโจ๊กรังนกอย่างยาวนาน โดยมองไปที่เยี่ยซินเอ๋อร์ด้วยรอยยิ้มและทำเพียงแสร้งเป็นไม่เข้าใจในสิ่งที่นางต้องการสื่อ
เยี่ยซินเอ๋อร์รออยู่ชั่วขณะ เห็นว่าหลินหลันไม่ได้เอ่ยต่อบทสนทนาในคำพูดของนาง จึงเป็นฝ่ายเปิดประเด็นขึ้นมาเองเสียเลย “พี่สะใภ้ หรือไม่ ขอเยี่ยซินเอ๋อร์ได้เรียนรู้จากพี่ด้วยเถิด!”
นี่เป็นความตั้งใจจริงหรือมีความตั้งใจอื่นแอบแฝงไว้ด้วยกันแน่ หลินหลันแสร้งเผยทีท่าประหลาดใจ “แต่ทว่าการเรียนรู้ทักษะการแพทย์มันเป็นเรื่องที่ยากมากนะ”
เยี่ยซินเอ๋อร์เดินเข้ามาอย่างอ้อยอิ่งแล้วหย่อนตัวลงนั่งเบื้องหน้าของหลินหลันอย่างใจเย็น ก่อนจะเผยรอยยิ้มอันแสนอ่อนโยนและเนื้อเสียงจริงใจ “เยี่ยซินเอ๋อร์อยากเรียนรู้จริงๆ เจ้าค่ะ ไม่หวังถึงขั้นสามารถรักษาได้สารพัดโรค เพียงแค่ขอเรียนรู้การดูแลรักษาสุขภาพเล็กๆ น้อยๆ กับพี่สะใภ้ก็พอ พี่สะใภ้จะยินยอมสอนข้าหรือไม่เจ้าคะ”
หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงแค่เรียนรู้เพื่อการดูแลสุขภาพถือเป็นเรื่องง่ายดาย และด้วยความชาญฉลาดของเปี่ยวเหม่ยที่มี อาศัยการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการรักษาสุขภาพสักสองเล่มก็สามารถทำได้แล้ว”
“เช่นนั้นจะได้อย่างไรเจ้าคะ การอ่านหนังสือหรือจะได้ผลสู้เท่าการสอนโดยพี่สะใภ้เอง พี่สะใภ้ พี่ตอบตกลงเถิดนะ!” เยี่ยซินเอ๋อร์แสดงท่าทางอ้อนวอน
หลินหลันจึงไม่อาจปฏิเสธได้ และได้แต่กล่าวออกไปว่า “เช่นนั้นไว้ข้ามีเวลาว่างแล้วจะสอนเจ้าสักนิดหน่อยแล้วกัน”
เยี่ยซินเอ๋อร์ดีอกดีใจ ลุกขึ้นยืนแล้วแสดงท่าคาราวะให้แก่หลินหลัน “เช่นนั้นซินเอ๋อร์ขอขอบคุณพี่สะใภ้ไว้ล่วงหน้าด้วยแล้ว”
หลินหลันหัวเราะแห้งๆ “เปี่ยวเหม่ยเกรงใจไปแล้ว ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น”
ไม่ว่าเยี่ยซินเอ๋อร์จะแอบแฝงความคิดอะไรเอาไว้ หากนางตั้งใจที่จะเรียนรู้อย่างแท้จริง นางก็ไม่ใช่คนใจแคบหวงวิชา เพียงแค่สอนๆ นางก็เท่านั้น แต่หากเยี่ยซินเอ๋อร์มีความคิดเล่ห์กลใดๆ เช่นนั้นนางเองก็คงต้องจัดการด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
“พี่สะใภ้ เชิญท่านค่อยๆ รับประทานนะเจ้าคะ ซินเอ๋อร์ขอตัวลาก่อน” เยี่ยซินเอ๋อร์ที่บรรลุเป้าหมายเป็นที่เรียบร้อย จึงเดินออกไปด้วยความดีอกดีใจ
หลินหลันวางโจ๊กรังนกลง แล้วบ่นออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้ “ปากอ่อนด้วยการกินของของผู้อื่น [8] ประโยคนี้ช่างกล่าวไว้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย”
——
[1] มิ่งเหล่าโถว (孟老头) ในที่นี้หมายถึง ชายชราเมิ่งจื่อ (孟子Mèngzi) นักปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ที่รองจากขงจื๊อ ซึ่งเขายังเป็นศิษย์เอกของขงจื่ออีกด้วย
[2] เมิ่งหมู่ซานเชียน (孟母三迁) แปลว่า แม่เมิ่งจื่อย้ายบ้านสามครา เป็นคำพังเพยที่ใช้สอนให้เห็นความสำคัญของ
การมีสิ่งแวดล้อมในชีวิตที่ดี ความสำคัญของการศึกษา และความสำคัญของการได้รับการอบรม
เลี้ยงดูจากแม่ตั้งแต่ยังเยาว์วัย
[3] เหล่าโถวจื่อ (老头子) แปลว่า ผู้เฒ่า
[4] ยาเป่าจี้ (保济丸) คือ ยาแผนโบราณตำรับจีน สรรพคุณ แก้ท้องขึ้น ท้องอืด ท้องเฟ้อ เวียนหัว อาเจียน
[5] ยาบำรุงอวัยวะภายในทั้งหก ได้แก่ หัวใจ ปอด ตับ ไต ม้ามและถุงน้ำดี
[6] ยาลิ่วเว่ยตี้หวาง สรรพคุณ เสริมหยิน บำรุงไต ข้อบ่งใช้: ภาวะโรคหยินไตพร่อง
[7] ยาฮั่วเซียงเจิ้นชี่ สำหรับผู้มีอาการไข้ ร่วมกับทางเดินอาหาร เช่นคลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร
[8] ปากอ่อนด้วยการกินของของผู้อื่น (吃人家的嘴软) เป็นสำนวนซึ่งให้ความหมายว่า เป็นหนี้บุญคุณเล็กๆ ดังนั้นทำอะไรก็ต้องเกรงใจ ไว้หน้าเขาบ้าง